ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 727 นายกำลังสั่งฉันอย่างงั้นหรอ?

บทที่ 727 นายกำลังสั่งฉันอย่างงั้นหรอ?

“หลินอิ่ง สวัสดี ฉันชื่อหลินเซวียน” หลินเซวียนหัวเราะ แล้วเปิดปากพูดก่อนว่า “ถ้าตามศักดิ์แล้วฉันโตกว่านายหนึ่งรุ่น แต่นายกับฉันอายุต่างกันไม่เยอะ ในอนาคตมีอะไรเราก็คุยกันเหมือนคนรุ่นเดียวกันนั่นแหละ”

ในแวดวงลึกลับมักมีกฎที่ไม่ได้เขียนเอาไว้ ไม่เคยพูดถึงเรื่องอายุว่าน้อยหรือมาก แต่จะดูจากความสามารถของวิชาบูโด

ดังคำกล่าวที่ว่า ไม่ว่าจะทำอะไรไม่มีก่อนหรือหลัง ผู้ที่บรรลุเข้าใจก็เป็นครูได้

หลินอิ่งจึงพูดว่า “สวัสดี หลินเซวียน”

“คุณชายใหญ่ถ้าไม่ถือสาอะไรก็เชิญนั่งจิบชากันก่อนครับ แล้วค่อยๆพูดคุยกัน” หลินซวนหวาพูดอย่างสุภาพ

หลินซวนหัวเราะแล้วพูดว่า “อาสิบสองเกรงใจเกินไปแล้วครับ วันนี้ผมไม่ได้มาจิบชาหรอกครับ แต่มีคำสั่งจากแม่เฒ่า ให้ผมมาบอกกับหลินอิ่ง”

พูดจบ หลินเซวียนก็มองไปที่หลินอิ่ง ท่าทีเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น แล้วพูดขึ้นมาว่า “หลินอิ่ง แม่เฒ่าสั่งว่าให้นายออกเดินทางภายในสามวัน ไปที่มณฑลจี้โจว จัดการเรื่องของตระกูลเผยแห่งจี้โจว ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เมื่อถึงหลินซื่อกรุ๊ปที่มณฑลจี้โจวแล้ว จะมีคนมอบให้นายเอง”

“แม่เฒ่าเหมือนจะไม่เคยถามความเห็นของฉันมาก่อนนะ ว่าจะไปมณฑลจี้โจวไหม ต้องดูว่าฉันมีเวลาว่างไหม” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉยว่า “จะไปเมื่อไร ต้องดูอารมณ์ฉัน”

“การเดินทางครั้งนี้ ฉันก็จะไปที่มณฑลจี้โจวด้วย”

“ทางที่ดีนายควรจะร่วมมือกับฉันนะ”

น้ำเสียงของหลินเซวียนเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้น ใช้น้ำเสียงของผู้บังคับบัญชาสั่งยังไงอย่างนั้น

“นายกำลังสั่งฉันงั้นหรอ?” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “ถ้าฉันไม่ร่วมมือนายล่ะ?”

“งั้นนายก็คงต้องตาย” หลินเซวียนพูดอย่างเย็นชา

หลินอิ่งหัวเราะอย่างเยือกเย็น

“นายคงจะเข้าใจเรื่องที่ว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ดังนั้น ทางที่ดีนายควรวางตัวให้ดี ถ้านายวางตัวไม่ดีล่ะก็ ฉันจะกำจัดนายอย่างไร้ความปรานี” หลินเซวียนพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมแม้แต่นิดเดียว

ใช่แล้ว การต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดก็คือต้องมีคนใดคนหนึ่งตายกันไปข้าง

หลินอิ่งกับหลินเซวียน มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ชนะ ได้รับทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้แพ้ จะไม่ได้อะไรเลย

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หลินเซวียนก็มองไปที่หลินซวนหวา แล้วพูดว่า “อาสิบสองครับ หลายปีมานี้อาใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก กว่าจะกลับตระกูลหลินมามันไม่ง่าย ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขสองสามวัน ทางที่ดีอาต้องรู้จักรักษาไว้นะครับ”

“เกลี้ยกล่อมหลานของอาหน่อยเถอะครับ ถ้ารู้ว่าควรวางตัวเองอยู่ที่ไหน ผมก็จะให้เขาอยู่ในตระกูลหลินต่อไป ไม่อย่างนั้น ชะตากรรมของเขาจะไม่ได้ดีไปกว่าหลินเซี่ยว”

“อย่าคิดว่า ฆ่าหลินเซี่ยวคนเดียว จะปฏิบัติตัวคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์จริงๆ”

หลินเซวียนพูดด้วยสีหน้าเยือกเย็นจบ ก็หันหลังเดินออกมาจากสวนหลังบ้านไป

สีหน้าของหลินซวนหวาเคร่งขรึมลง มองไปที่แผ่นหลังของหลินเซวียน กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“อิ่งเอ๋อ การปรากฏตัวของหลานเป็นสิ่งต้องห้ามของคุณชายใหญ่ เขาเล็งหลานไว้แล้ว” หลินซวนหวาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ในอดีตหลินเซี่ยวไม่เคยกล้าเผชิญหน้ากับหลินเซวียนอย่างโจ่งแจ้ง ครั้งนี้ แม่เฒ่าสั่งให้หลานเป็นแม่ทัพ แล้วให้หลานกับหลินเซวียนไปประลองฝีมือกันที่มณฑลจี้โจว เขาโกรธแล้วล่ะ”

“ช่างมันเถอะครับ” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “ผมมาที่ตระกูลหลิน ก็เพื่ออยากจะสู้เพื่อคุณปู่กับคุณแม่ จะผู้อาวุโสก็ดี หรือผู้อาวุโสสอง คนที่ปฏิเสธไม่ยอมรับ ผมก็จะจัดการให้ราบคาบ”

“หลานมีความมั่นใจมันก็ดี” หลินซวนหวาพยักหน้า “ถ้าต้องการอะไร ปู่พร้อมไปมณฑลจี้โจวช่วยหลานได้ตลอดเลยนะ”

“ปู่ขอแนะนำ ให้ฉีโม่อยู่ที่มณฑลชางโจวเถอะ ถ้าไปที่มณฑลจี้โจวด้วย ปู่กลัวว่าถ้ามีคนต่อกรกับหลานไม่ได้ แล้วจะลงมือกับฉีโม่” หลินซวนหวาพูดอย่างจริงจัง “ฉีโม่อยู่ที่มณฑลชางโจว ปู่ก็จะคอยดูแลให้ดี”

หลินอิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมองไปที่จางฉีโม่ พลางถามขึ้นมาว่า “ฉีโม่ คุณคิดยังไง?”

จางฉีโม่ลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “คุณจะไปนานเท่าไร?”

หลินอิ่งพูด “ไม่นานหรอกครับ ถ้าฝั่งนั้นสถานการณ์แน่นอนแล้ว ผมค่อยมารับคุณไป”

“งั้นก็ฟังคุณปู่แล้วกันค่ะ ฉันอยู่ที่เมืองชางโจวก็ดีเหมือนกัน ตลาดอัญมณีหยกที่นี่รุ่งเรืองมาก ฉันคิดจะลองเติบโตที่นี่ดู” จางฉีโม่พูด

หลินอิ่งพยักหน้า

เรื่องของมณฑลจี้โจวเกี่ยวข้องกับการถกเถียงในแวดวงลึกลับ อีกทั้งยังเป็นการต่อสู้ที่โหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง

คนธรรมดาเข้าไปในนั้น ถ้าไม่ระวังจะไม่เหลือแม้แต่กระดูก

เขาไม่ค่อยวางใจที่จะพาฉีโม่ไปด้วย เป็นกังวลว่าฉีโม่จะถูกลอบทำร้าย

……

ณ ห้องใต้หลังคาอันหรูหราที่ไหนสักที่ ในภูเขาลังยา

“เซวียนเอ๋อ ไปเจอหลินอิ่งมารึยัง?”

หลินเสวียนคุนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ปรมาจารย์ แล้วเอ่ยปากถาม

“เจอแล้วครับ”

หลินเซวียนนั่งตอบอยู่ข้างๆ

หลินซวนคุนถามไปอีกว่า “แกว่าเด็กคนนี้มันเป็นยังไง?”

หลินเซวียนพูดอย่างเรียบเฉย “หลินอิ่งก็งั้นๆแหละครับ”

“หลินอิ่งเป็นคนฆ่าหลินเซี่ยวเชียวนะ” หลินเสวียนคุนพูดอย่างจริงจัง

“หลินเซี่ยวเป็นแค่เศษสวะ ผมไม่เคยเห็นว่าหลินเซี่ยวเป็นคู่ต่อสู้” หลินเซวียนพูดอย่างหยิ่งทะนง

ในฐานะที่เขาเป็นท่านผู้นำในรายการแห่งดินของแวดวงลึกลับ ถูกขนานนามว่าเป็นคนหนุ่มที่มีแนวโน้มจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลก แน่นอนนี่เป็นความภูมิใจของตัวเอง

“ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าคิดยังไง ถึงได้ให้หลินอิ่งไปที่มณฑลจี้โจว เพื่อต่อสู้แย่งชิงกับผม?หลินอิ่งจะเอาอะไรมาสู้กับผม?เขาคู่ควรงั้นหรอ?” หลินเซวียนพูดอย่างเย็นชา สีหน้าเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง

หลินเสวียนคุนถาม “เซวียนเอ๋อ แกไปดูแลกิจการที่มณฑลจี้โจวเป็นยังไงบ้าง?แล้ววางแผนจะจัดการหลินอิ่งยังไง?”

“งานใหญ่ของผมในจี้โจวเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “หลินอิ่งไปที่จี้โจวด้วยมือเปล่าตัวคนเดียว นี่มันไม่ต่างอะไรกับเนื้อเข้าปากเสือ ผมอยากจะฆ่าเขา มันเป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ”

“มันขึ้นอยู่กับว่าหลินอิ่งจะวางตำแหน่งของตัวเองได้ไหม ถ้าเขายอมเป็นหมาให้กับผม แล้วเชื่อฟังว่านอนสอนง่าย ผมก็จะให้กระดูกเป็นรางวัลกับเขา ถ้ารู้สึกว่าตัวเองเก่ง งั้นก็รอตายได้เลย” หลินเซวียนพูดอธิบาย

“อืม” หลินเสวียนคุนพยักหน้า เหมือนจะมั่นใจในตัวลูกนอกสมรสคนนี้มาก

“เรื่องนี้แกจัดการเองแล้วกัน ขอแค่อย่าทำให้แม่เฒ่าโกรธก็พอ นอกจากนี้ หลินอิ่งยังมีคนใหญ่คนโตให้การสนับสนุน ระวังหน่อยนะ”

“เรื่องนี้ผมรู้ครับ มังกรเขียวที่อยู่ตี้จิงใช่ไหมล่ะ” หลินเซวียนหัวเราะยิ้มอย่างลึกลับ “พ่อครับ ต่อกรกับคนที่สนับสนุนหลินอิ่ง ผมมีแผนแล้วครับ”

……

วันที่สอง

หลินอิ่งกับฉีโม่จากกันที่ภูเขาลังเบา หลินซวนหวาก็ไปด้วยเช่นกัน

ทั้งสามนั่งรถคันเดียวกัน มาถึงเขตของมณฑลชางโจว

หลินซวนหวาได้รับกิจกรรมบางส่วนในเมืองชางโจว รับผิดชอบการทำธุระทางสังคม ถือว่าเป็นการงานสบาย แต่ก็ยังคงไม่ได้เข้าไปครอบครองแก่นอำนาจลึกลับของตระกูลหลิน

และแม่เฒ่าก็ได้มอบของขวัญให้กับฉีโม่ที่เป็นเหลนสะใภ้เป็นของขวัญพบเจอกันครั้งแรก

คฤหาสน์ทั้งหลังใจกลางเมืองชางโจว มูลค่ากว่าพันล้าน

รวมถึงบริษัทเครื่องประดับที่เดิมเป็นของตระกูลหลิน

แม่เฒ่าใจกว้างมาก แต่เธอก็ได้ใช้ความคิดเช่นกัน

หลินอิ่งวางแผนจะให้ฉีโม่พัฒนาต่อไปที่ชางโจว และยังสามารถอยู่เป็นเพื่อนหลินซวนหวาผู้เป็นปู่ด้วย

ทั้งหมดเดินทางไปที่คฤหาสน์ก่อน หลังจากวางสัมภาระแล้ว จึงค่อยเข้าไปในเมือง

เวลากลางวัน กู่ชางไห่ขับรถไปที่อาคารสำนักงานในย่านใจกลางเมืองชางโจวที่เจริญรุ่งเรือง

นี่คือบริษัทที่แม่เฒ่ามอบให้กับฉีโม่ เดิมทีมีชื่อว่าบริษัทชิงเหอจิวเวลรี่กรุ๊ป มีชื่อเสียงในเมืองชางโจวมาก

พอลงจากรถ จางฉีโม่ก็เหลือบมองที่อาคารสำนักงานที่สวยงามตระการตา ซึ่งมีสามสิบกว่าชั้น การออกแบบเป็นโครงสร้างแบบจำลองพิเศษ ค่อนข้างโดดเด่นในใจกลางเมือง

“นี่เป็นของรางวัลการพบเจอกันครั้งแรกของแม่เฒ่าที่มอบให้ฉันงั้นหรอ นี่มันมากเกินไปรึเปล่า” จางฉีโม่กล่าวอย่างสะท้อนใจ

จางฉีโม่คุ้นเคยกับสังคมนี้กับหลินอิ่ง และตัวเธอเองก็ได้สร้างชื่อเสียงที่เมืองตุงไห่ไม่น้อย แต่ก็ตกใจกับความใจกว้างของแม่เฒ่า

คฤหาสน์ทั้งหลัง กับบริษัทที่ใหญ่ขนาดนี้อีกต่างหาก นี่เป็นแค่ของขวัญเล็กๆสำหรับการพบเจอกันครั้งแรก?

ครอบครัวแม่ของหลินอิ่ง ไม่กล้าจินตนาการจริงๆ

โดยเฉพาะ จางฉีโม่ที่อาศัยอยู่ในภูเขาลังยาหลายวัน พอได้ยินหลินอิ่งกับหลินซวนหวาผู้เป็นปู่พูดคุยกัน รวมถึงคำพูดของแม่เฒ่า เธอยังรู้สึกมึนงงเลย ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องระหว่างพวกเขา

แต่ว่า สามารถสัมผัสได้ว่าตระกูลหลินร่ำรวยจริงๆ และบรรดาตระกูลร่ำรวยอะไรที่ว่ามานั้น ไม่สามารถเทียบกับตระกูลหลินได้จริงๆ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท