ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 732 ข่าวข้อมูลจากเย่เฮย

บทที่ 732 ข่าวข้อมูลจากเย่เฮย

“อ้อ? นายหาเจอแล้วเหรอ?”หลินอิ่งสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถามขึ้นด้วยความสนใจ

งานหน้าที่ของเย่เฮย ก็มาจากที่เขาเคยเป็นหัวหน้าองครักษ์มังกรดำ คุ้นเคยเรื่องภายในของแก๊งมังกรอย่างมาก

หลินอิ่งให้เย่เฮยไปที่จี้โจว เพื่อที่จะให้แอบไปสืบว่าแก๊งมังกรได้ทิ้งแผนอะไรไว้หรือไม่

“ใช่ครับ ผมเจอคนสองคนที่มณฑลจี้โจว จากสายตาของผมแล้ว ไม่ผิดแน่นอน พวกเขาเป็นหัวกะทิขององค์รักษ์มังกรทั้งสองคนเลยครับ”เย่เฮยพูดขึ้นอย่างจริงจัง

หลินอิ่งพูดถามขึ้น”องค์รักษ์มังกร? สาขาไหน?”

“ตกลงองค์รักษ์มังกรสาขาไหนนั้น ผมก็ไม่เคยเห็นสองคนนั้นลงมือมาก่อน ผมไม่อาจรู้ได้ครับ”เย่เฮยพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง”แต่สามารถรู้ได้ว่าเป็นองครักษ์มังกรดำและองครักษ์มังกรเขียว”

หลินอิ่งพูดขึ้น”ดีมาก นายสะกดรอยตามต่อไป สืบรายละเอียดให้ชัดเจนยิ่งดี”

เย่เฮยจะต้องรู้จักคนของหัวหน้าองครักษ์มังกรดำแน่นอน ส่วนองครักษ์มังกรเขียวในตอนนี้ได้สร้างความสัมพันธ์กับตัวเองแล้ว ลักษณะเฉพาะก็บอกเย่เฮยไปแล้ว เย่เฮยไม่มีทางปล่อยให้เล็ดลอดจากสายตาไปได้แน่นอน

จี้โจวยังมีองครักษ์มังกรคนอื่นๆที่กำลังปฏิบัติการอยู่?

ถ้าอย่างนั้นก็ยังมีท่านมังกรทรงเกียรติคอยควบคุมสั่งการอยู่ด้วยสินะ?

นี่มันช่างลึกซึ้งและน่าครุ่นคิดจริงๆ……

“ครับ”เย่เฮยพูดขึ้นอย่างเคารพนอบน้อม”ท่านจะมาที่จี้โจวตอนไหนครับ? ผมได้รับข่าวจากข้างนอก ต่างบอกว่าท่านจะมาเป็นตัวแทนของตระกูลหลินในการเข้าร่วมการประชุมหกตระกูลลึกลับที่จี้โจว”

“ออกเดินทางวันนี้ พรุ่งนี้ฉันก็จะถึงจี้โจวแล้ว”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ

“นายกับหวงชิงซานแอบปฏิบัติหน้าที่อย่างลับๆต่อไป รอแผนเตรียมการจากฉัน”

“น้อมรับคำสั่งจากประมุขแก๊งมังกร”เย่เฮยพูดขึ้นด้วยความเคารพนอบน้อม

วางสายลง ดวงตาที่นิ่งลึกของหลินอิ่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถ

เรื่องที่จี้โจวในครั้งนี้มันไม่ง่ายเลยจริงๆ สำหรับเหตุการณ์ที่จี้โจวในครั้งนี้ เขากำลังเล่นเกมหมากรุกที่ยิ่งใหญ่อยู่ เป้าหมายของเขา ไม่ใช่แค่ตระกูลเผยเพียงเท่านั้น

หลังจากยี่สิบกว่านาทีผ่านไป

กู่ชางไห่ก็ขับรถมาจอดอยู่ด้านหน้าของร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่ง

หลินอิ่งขึ้นไปที่ชั้นสามของร้านอาหาร

“คุณ คุณชายสาม สวัสดีค่ะ……”

ตอนที่หลินอิ่งเดินมาถึงประตูห้องไพรเวทนั้น หญิงสาวที่ดูร่าเริงห้าวหาญคนหนึ่ง มองหลินอิ่งด้วยความเคารพยำเกรง พร้อมกับทักทายด้วยความสั่นกลัว

หลินอิ่งชำเลืองตามองเล็กน้อย ก่อนจะหันสายตากลับ

คนที่ยืนต้อนรับอยู่ตรงหน้าห้องไพรเวท ก็คือลูกศิษย์ของท่านเฉินเฟิง เหอซานกู

“คุณชายสาม เรื่องที่ตึกชางไห่เมื่อครั้งที่แล้วเป็นเพียงแค่การเข้าใจผิดเท่านั้น เป็นความผิดของฉันทั้งหมด ฉันมีตาหามีแววไม่ ไม่รู้ว่าท่านกับอาจารย์เคลียร์เรื่องความแค้นกันชัดเจนแล้ว”เหอซานกูก้มหน้าขอโทษ”ครั้งนั้นฉันก็ถูกหลินเซี่ยวทำให้เข้าใจผิดเหมือนกัน ถูกเขาใช้เป็นเครื่องมือ หวังว่าท่านจะไม่ถือสาฉันนะคะ”

เหอซานกูถูกหลินอิ่งทำให้ตกใจสุดๆตอนที่อยู่ที่ตึกชางไห่ก่อนหน้านี้ ต่อมาพอกลับมาอยู่ต่อหน้าของอาจารย์ ท่านเฉินเฟิง ก็รายงานสถานการณ์แถมเติมน้ำมันใส่ไฟลงไปอีก

ตอนแรกนึกว่าอาจารย์จะกราดเกรี้ยวระเบิดโมโหออกมา คิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะระเบิดโมโหออกมาจริง แต่กลับมาลงที่เธอแทน

หลังจากที่กลับมาจากลังยา อาจารย์ก็ประกาศกับภายในว่า เหอซานจินตายไปก็ไม่สาสมกับความผิดที่ได้ทำ ถูกตัดออกจากหุบเฉินเฟิง ใครก็ห้ามพูดถึงความแค้นนี้เป็นอันขาด

ส่วนคุณชายสามหลินอิ่ง กับเขาก็เป็นเพื่อนต่างชั่วอายุกัน แล้วก็เป็นรุ่นพี่อาวุโสของพวกนายด้วย

ในตอนนั้นเหอซานกูตกใจกับข่าวข้อมูลนี้จนอึ้งตะลึงไป เดิมทีคิดว่าจะอาศัยพึ่งพาอาจารย์เพื่อที่จะแก้แค้นหลินอิ่งระบายความโกรธแค้น แต่ผลที่ได้กลับแม้แต่ท่านเฉินเฟิง ตัวอาจารย์เองก็ดูเหมือนจะเกรงกลัวหลินอิ่งด้วยซ้ำ

“ไปซะ ไป!ไปเอาชามาเสิร์ฟให้คุณชายอิ่งเดี๋ยวนี้!”

ในตอนนี้เอง ท่านเฉินเฟิงก็เดินออกมาจากห้องไพรเวท พูดสั่งกำชับเหอซานกู

“บุคคลระดับคุณชายอิ่ง จะมาถือสาคิดเล็กคิดน้อยกับคนชั้นล่างแบบเธอหรือไง? อย่ามาทำให้ฉันขายหน้านะ”

“ค่ะ ค่ะ”

เหอซานกูถอยออกไปอย่างนอบน้อมเชื่อฟัง

หลังจากสั่งสอนลูกศิษย์เสร็จแล้ว ท่านเฉินเฟิงก็ยิ้มทักทายหลินอิ่ง พร้อมกับพูดขึ้น”คุณชายอิ่ง เชิญนั่งครับ”

หลินอิ่งเดินเข้าไปในห้องไพรเวทตามปกติ นั่งลงที่ที่นั่งตำแหน่งสูงสุด

ท่านเฉินเฟิงนั่งลงข้างๆ

ไม่นาน เหอซานกูก็ยกน้ำชาเดินเข้ามา พอเห็นอาจารย์ของตัวเองที่มีท่าทางเคารพนอบน้อมต่อหน้าของหลินอิ่งแล้ว ก็หวนนึกถึงสมัยก่อนที่ตัวเองทำตัวเย่อหยิ่งโอหังอย่างไม่รักตัวกลัวตายต่อหน้าหลินอิ่งในตอนนั้น ในใจก็รู้สึกอับอายขึ้นมา

“ที่คุณชายอิ่งมาในครั้งนี้ มีคำสั่งอะไรหรือครับ?”หลังจากที่เหอซานกูออกไปแล้ว ท่านเฉินเฟิงก็มองหลินอิ่ง พร้อมกับพูดถามขึ้นอย่างระมัดระวัง

หลินอิ่งสีหน้านิ่งเฉย ยกแก้วชาขึ้นมาสักพัก ก่อนจะจิบไปหนึ่งคำ

“คุณชายอิ่ง ผมได้ยินมาว่าแม่เฒ่าตระกูลหลินให้ท่านไปเข้าร่วมการประชุมของหกตระกูลลึกลับที่จี้โจวด้วยกันกับคุณชายใหญ่หลินเซวียน”

ท่านเฉินเฟิงค่อยๆพูดขึ้น”คุณชายมาที่จี้โจว ต้องการมามอบหมายผมให้ไปย้ายไปใช่ไหม?”

“ผมก็พอมีเส้นสายความสัมพันธ์ที่จี้โจวอยู่เหมือนกัน มีลูกศิษย์อยู่ข้างกายอยู่บ้าง สามารถไปทำงานเล็กๆน้อยๆให้กับคุณชายได้อยู่”ท่านเฉินเฟิงพูดประจบประแจง

“นายไม่ต้องไปจี้โจวแล้ว”หลินอิ่งวางแก้วชาลง พูดขึ้นอย่างนิ่งๆ”ฉันมีแผนการของฉัน”

“ที่ฉันมาในวันนี้ เพื่อมามอบหมายให้นายอยู่ที่ชางโจวต่อไป รอคำสั่งของฉันทุกเมื่อ”หลินอิ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“ครับ!น้อมรับแผนการของคุณทั้งหมดครับ”ท่านเฉินเฟิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“ยื่นมือมานี่”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ

พอได้ฟังแบบนั้น ท่านเฉินเฟิงก็สีหน้าตกใจ รีบลุกขึ้นทันที ยื่นแขนซ้ายออกไป

ตอนแรก ส่วนที่หลินอิ่งสกัดจุดไว้ก็คือมือซ้ายที่ใช้ดาบของเขา

ทำให้เส้นการไหลเวียนของเลือดที่มือซ้ายของเขาแทบจะถูกสกัดจุดไว้ทั้งหมด ไม่สามารถออกแรงได้ สูญเสียพลังไปอย่างมาก

หลินอิ่งนิ้วเริ่มขยับ ฝ่ามือเร็วดั่งสายฟ้า กดลงไปที่ข้อมือของท่านเฉินเฟิงอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่กดจะมีพลังชี่กังพุ่งออกมา ทำให้ข้อต่อของท่านเฉินเฟิงเกิดเสียงดังหวึ่งๆๆ

หลังจากลมหายใจสามเฮือกผ่านไป

หลินอิ่งดึงมือกลับมา ยกชาขึ้นมาดื่มไปหนึ่งคำ

“คลายจุดการไหลเวียนเลือดลมของนายไปส่วนหนึ่งแล้ว ถ้านายอยากที่จะฟื้นฟูกลับไปถึงจุดสุดยอด ก็ต้องดูว่านายจะทำผลงานออกมายังไง”

ท่านเฉินเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วก็ถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก สีหน้าดีใจ ก้มหน้าพูดขึ้นอย่างเคารพ”คุณชายอิ่งวางใจได้ครับ ถ้าเป็นคำสั่งของคุณ ต่อให้บุกน้ำลุยไฟผมก็จะไม่ลังเลเลย”

เขารู้สึกว่า ที่หลินอิ่งทำในตอนนี้ อย่างน้อยก็ให้เขาฟื้นฟูพลังกลับมายี่สิบเปอร์เซ็นต์ พูดง่ายๆก็คือประหยัดงานหนักไปได้สักพักใหญ่เลย

จากอายุขนาดนี้ของเขาแล้ว ถ้าอยากที่จะฟื้นฟูบูโด แทบจะเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานก็ไม่สามารถช่วยได้

ใครเป็นคนทำคนนั้นก็ต้องเป็นคนแก้ไข เรื่องนี้ ต้องเป็นหลินอิ่งคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้

“แค่นี้ก่อนแล้วกัน ฉันมีเรื่องที่ต้องทำ”

หลินอิ่งลุกขึ้นยืน

ท่านเฉินเฟิงเดินไปส่ง พร้อมกับพูดขึ้นอย่างเคารพนอบน้อม”ขอส่งคุณชายอิ่งครับ ผมขอให้คุณชายอิ่งประสบความสำเร็จที่จี้โจวนะครับ”

ช่วงค่ำวันนี้ เครื่องบินส่วนตัวลำหนึ่งบินออกจากสนามบินชางโจว มุ่งตรงไปยังจี้โจว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท