วันถัดมาหลินเสวียนหลานเดินเตร็ดเตร่อยู่แถววัดหลิงอิ่นทั้งวันเพื่อสอบถามคนแถวนั้น แต่ก็ไม่เจอพระที่แปลเซียมซีเมื่อสามปีก่อนเลย ในช่วงเย็นระหว่างเตรียมตัวออกจากวัดหลิงอิ่นเพื่อเดินทางไปซื้อตั๋วรถกลับเซี่ยงไฮ้ ในขณะที่เดินออกจากประตูเขาบังเอิญเจอกับคนรู้จักคนหนึ่ง
สวี่อี้หรานเองก็รู้สึกแปลกใจ เขาคิดไม่ถึงว่าจะเจอหลินเสวียนหลานที่วัดหลิงอิ่น ตอนนั้นจึงรีบทักทายก่อนว่า “คุณหลิน ทิวทัศน์เมืองหางโจวไม่เลวเลยเนอะ!”
“ใช่ครับ!” หลินเสวียนหลานฝืนยิ้ม เขากับสวี่อี้หรานไม่ถือว่าสนิทสนมกัน แต่เพราะว่าเคยเจอหน้าค่าตาอยู่สองครั้ง ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามเป็นคนทักทายก่อน เขาเลยเมินเฉยไม่ได้
“คุณมาคนเดียวเหรอครับ” สวี่อี้หรานถามอย่างสนอกสนใจ “จินเหลียนยังไม่กลับมาเหรอ”
หลินเสวียนหลานยิ้มๆ ถ้าเธอกลับมาแล้วจะปิดบังเขาได้เหรอ นี่เป็นเรื่องที่เห็นกันอยู่ตรงหน้า? แต่ปากก็พูดออกไปว่า “น่าจะอีกสักสองสามวันถึงจะกลับมา คุณเองก็มาขอพรที่วัดหลิงอิ่นเหรอ”
“ไม่ใช่หรอกครับ” สวี่อี้หรานส่ายหน้าพูด “ผมมาหาคน”
“อ้อ” หลินเสวียนหลานรู้สึกแปลกใจ มาถึงที่นี่เพื่อมาหาคน?
“ไปเถอะครับ ผมจะพาคุณไปเปิดโลกกว้าง” สวี่อี้หรานพูดจบก็ไม่สนใจว่าหลินเสวียนหลานจะยินยอมหรือไม่ ลากตัวเขาไปด้วยทันที
หลินเสวียนหลานมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี แม้ตนอยากจะปฏิเสธ แต่ในใจก็รู้สึกสงสัย คิดดูแล้วก็เดินตามเขาไปดูสักหน่อยดีกว่า แต่วัดหลิ่งอิ่นแม้จะตัดอินดับวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ทิวทัศน์สวยงาม แต่สุดท้ายมันก็เป็นวัดของพระ มีอะไรน่าดูกัน?
“ช่วงนี้ที่บริษัทไม่ยุ่งเหรอครับ” สวี่อี้หรานถาม
“ยังไม่เท่าไหร่ครับ” หลินเสวียนหลานยิ้ม ไม่แปลกที่สวี่อี้หรานจะร่าเริงขนาดนี้ เขาเป็นดั่งนักปราชญ์ ผู้แสวงหาความสงบด้วยการลิ้มรสสุรา แต่ไม่ได้มุ่งเสพแค่รสชาติของสุรา เขาก็แค่อยากจะสอบถามข่าวคราวของซีเหมินจินเหลียนหรือไม่ก็ความชอบส่วนตัวของเธอจากเขาเท่านั้น
“จินเหลียนชอบเสื้อผ้าแบรนด์ไหนเหรอครับ?” สวี่อี้หรานถามอย่างไม่อ้อมค้อม
“คำถามนี้คุณน่าจะไปถามจ่านมู่หรงมากกว่า” หลินเสวียนหลานโคลงศีรษะ “ยังไงเขากับเธอก็อยู่ด้วยกันตั้งแต่เช้าจรดเย็น”
“คงไม่ใช่ว่าคุณไม่เคยมอบของให้เธอหรอกใช่ไหม?” สวี่อี้หรานถามจริงจัง “มีคนจีบสาวด้วยวิธีแบบนี้ด้วยเหรอ?”
หลินเสวียนหลานหมดคำจะพูด ประโยคนี้จะให้เขาพูดอย่างไร? ถึงเขาอยากตามจีบเธอ แต่ก็ต้องให้โอกาสเขาสักหน่อยไหม? ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดสักหน่อย แต่ปัญหาก็คือมีสองพี่น้องตระกูลจ่านอยู่ข้างกายซีเหมินจินเหลียนนี่สิ ตอนนี้ไหนจะสวี่อี้หรานอีก
“แล้วคุณล่ะ?” หลินเสวียนหลานส่ายศีรษะพูด “คุณดีกว่าผมแค่ไหนกัน?”
สวี่อี้หรานบ่นพึมพำประโยคที่เขาฟังไม่เข้าใจ หลินเสวียนหลานเลยไม่ได้จี้ถามต่อ มองเขาทำเรื่องง่ายๆ อย่างคุ้นเคยด้วยการเดินอ้อมเขตท่องเที่ยวของวัดหลิงอิ่นข้างหน้ามายังด้านหลัง ตรงนั้นมีป้ายไม้ขนาดใหญ่เขียนตัวหนังสือชัดเจนว่าห้ามนักท่องเที่ยวเข้า แต่สวี่อี้หรานกลับทำเหมือนไม่เห็น สาวเท้าเดินเข้าไป
“คุณสวี่…” หลินเสวียนหลานขมวดคิ้ว “ที่นี่เป็นอารามของหลวงจีน พวกเราไม่สามารถเข้าไปได้ตามใจชอบหรือเปล่าครับ?”
หลวงจีนก็ต้องการความเป็นส่วนตัว เข้าสถานที่ของคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้ามันเป็นการกระทำไร้มารยาท… หลินเสวียนหลานอยากจะเตือนสวี่อี้หรานเรื่องนี้
“ศิษย์พี่ของผมหลบอยู่ที่นี่” สวี่อี้หรานทำเสียงจุ๊ๆ
“ศิษย์พี่ของคุณ?” หลินเสวียนหลานถามอย่างสงสัย “ศิษย์พี่ของคุณออกบวชเหรอ?”
“หลวงจีนที่ชอบเสพหาความสำราญพร้อมกัน” สวี่อี้หรานพูดแบบไม่สนใจ
หลินเสวียนหลานพอเข้าใจได้ วัยรุ่นสมัยนี้ใครจะทนความเหงาได้กัน? ถึงจะบวชออกไป ในเวลากลางวันก็แค่สวมใส่จีวร แต่เรื่องเที่ยวเล่นก็ยังคงเป็นปกติไม่มีขาด ได้ยินว่าหลังจากลาสิกขาออกมาก็สามารถแต่งงานและมีลูกได้ แถมเคยมีคนบอกว่าอารามบางแห่งที่เคร่งครัดก็ยังคงประพฤติปฏิบัติเช่นเก่า อย่างน้อยก็ไม่อนุญาตให้ประพฤติตัวไม่ดีในวัดง่ายๆ
วัดหลิงอิ่นเป็นวัดขนาดใหญ่ ศิษย์พี่ของสวี่อี้หรานหากมีใบสุทธิถูกกฎหมาย เกรงว่าคงไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
“ที่นี่ล่ะ” ในระหว่างที่หลินเสวียนหลานกำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น สวี่อี้หรานก็พาเขาเดินไปที่กุฏิห่างไกล เอื้อมมือผลักไปยังประตูและเดินเข้าไป
ว่ากันตามจริงหลินเสวียนรู้สึกสนใจกุฏิของหลวงจีนเป็นอย่างมาก อยากจะเห็นว่าเหมือนในโทรทัศน์ที่แสนจะเรียบง่ายและธรรมดาหรือเปล่า
แต่เมื่อดูแล้ว สายตาของหลินเสวียนหลานก็ฉายแววความไม่เข้าใจขึ้นมา กุฏิแห่งนี้ไม่ได้แตกต่างจากบ้านทั่วไปเลย มีโทรทัศน์ เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน เพิ่มมาแค่อาสนะสงฆ์ไว้นั่งสมาธิเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่ของสวี่อี้หรานไม่ได้อยู่ในกุฏิ ทางด้านสวี่อี้หรานหย่อนก้นนั่งลงบนอาสนะสงฆ์เป็นที่เรียบร้อย มาเเล้วก็จงอยู่อย่างมีความสุข ดังนั้นหลินเสวียนหลานจึงนั่งลงตามเขา ในขณะเดียวกันก็เปิดหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นด้วยความสงสัย…
พลิกไปหลายหน้าก็เห็นรูปภาพที่ทำให้ใบหน้าใบหูร้อนผ่าว หลินเสวียนหลานตกใจ พระเจ้า…ศิษย์พี่ของสวี่อี้หรานคงไม่ใช่ชอบขบคิดปริศนาธรรมแบบนี้หรอกนะ?
หลวงจีนรูปนี้คงชอบอ่านหนังสือการ์ตูน บางทีตอนที่ซื้อมาคงซื้อผิดหรือเปล่า? หลินเสวียนพยายามหาข้ออ้างให้เขา แต่ระหว่างที่เขาเปิดหนังสืออีกเล่ม เขาก็ต้องปฏิเสธการคาดเดาของตัวเอง สายตาของเขาบังเอิญไปเห็นนิตยสารเล่มหนึ่งหน้าปกเป็นรูปนางแบบสาวสวยโป๊เปลือย พอที่จะทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นระรัวดั่งกลองชุด ไหนจะมีแผ่นซีดีอีกไม่รู้กี่แผ่น ดูจากชื่อที่เขียนว่ารักน้องต้องลองแอ้ม เกรงว่าก็คงเป็นประเภทเดียวกัน…
หลินเสวียนหลานไม่กล้าดูต่อไป หลวงจีนคงไม่ใช่แค่พระกินพระเที่ยวอย่างเดียวแล้ว เกรงว่าน่าจะเป็นพระมั่วเมาในกามด้วย
“ความชอบของหลวงพี่กว้างขวางเสียจริง!” หลินเสวียนหลานยิ้มออกมาน้อยๆ อย่าพูดถึงเรื่องหลวงจีนเลย แม้จะเป็นผู้ชายธรรมดาก็ชอบแอบดูของพวกนี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ใครจะไปกล้าวางเปิดเผยแบบพระรูปนี้กันล่ะ
“เขาก็เป็นคนแปลกนะครับ” สวี่อี้หรานยิ้มแห้ง
“อามิตตาพุทธ!” หน้าประตูมีเสียงดังขึ้น “มองมนุษย์อื่นว่าแปลก ตัวเองก็แปลกเช่นกัน!”
สำหรับคำพูดนี้ หลินเสวียนหลานเห็นด้วยกับพระรูปนี้ และตามเสียงที่แว่วมา ทันใดนั้นก็มีหลวงจีนหนุ่มรูปหนึ่งสวมใส่จีวรสีเหลืองเดินเข้ามาในกุฏิ
หลินเสวียนหลานสติเหม่อลอย ไต้ซือที่เขาต้องการตามหาอยู่ค่อนวัน ที่แท้ก็คือศิษย์พี่ของสวี่อี้หราน? เดิมทีคิดว่าวันนี้จะมาเสียเปล่า คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกันที่นี่
พระหลงในรูปรส…ดูจากของแต่ละอย่างในกุฏิที่เป็นเครื่องยืนยัน การตัดสินของเขาเมื่อสามปีก่อนนั้นไม่ผิด
“ศิษย์พี่ นี่คืออะไรเหรอ” สวี่อี้หรานหยิบนิตยสารปกนางแบบสาวสวยที่วางอยู่บนโต๊ะกางออกให้พระรูปนั้นดู “พระที่ออกบวชแบบหลวงพี่ก็ดูของแบบนี้ด้วย?”
“อามิตตาพุทธ อาตมาออกบวชนั้นเป็นเรื่องถูกต้อง” หลวงจีนพูดจริงจัง “แต่อาตมาก็เป็นมนุษย์และเป็นชายหนุ่มทั่วไป” ในระหว่างที่พูดเขาก็กวาดสายตามองหลินเสวียนหลาน แต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไร
หลินเสวียนหลานได้ยินเขาเรียกตัวเองด้วยสีหน้าจริงจังว่าชายหนุ่ม การแสดงออกนั่น…เหมือนกับสวี่อี้หรานไม่ผิดเพี้ยน เห็นแล้วอดกลั้นยิ้มไม่ไหว
“ผมไม่ได้มาพิสูจน์ว่าหลวงพี่เป็นผู้ชายหรือเปล่า!” สวี่อี้หรานส่ายหน้า “ผมมาหาหลวงพี่…”
“หากหาอาตมาให้เสี่ยงทายแล้วล่ะก็ อาตมาขอปฏิเสธ” หลวงจีนพูดจริงจังอีกครั้ง “หากมาเพื่อเยี่ยมเยียน อาตมาสามารถเป็นเจ้าบ้านที่ดีได้ ด้วยการพาพวกโยมออกไปเที่ยวสถานที่ดีๆ ในคืนนี้สักรอบ”
หลินเสวียนหลานได้ยินแล้วสงสัย ปากเขาที่พูดออกไปว่าเที่ยวสถานที่ดีๆ สักรอบ คือสถานที่ให้ความบันเทิงหรือเปล่า?
“ผมไม่ได้มาหาหลวงพี่เพื่อเที่ยวเล่นนะ!” สวี่อี้หรานลุกขึ้นยืน ชี้ไปที่หลวงจีนและสบถด่า “ผมมาเพื่อให้หลวงพี่เสี่ยงทายให้”
“โยมรู้ดีแก่ใจ ทำไมต้องมาหาอาตมาทุกครั้งด้วย?” หลวงจีนเปล่งสำเนียงพูดลำบากใจ
“ผม…” พูดถึงเรื่องนี้ สวี่อี้หรานกลัดกลุ้มจนขยี้ผมเผ้าของตัวเองอยู่นาน “เส้นผมบังภูเขา ไม่ใช่ว่าพี่ไม่รู้?”
“โยมเจอเรื่องอะไรให้กลัดกลุ้มใจหรือ” ในระหว่างที่พูด เขาก็เดินเข้ามาและย่อตัวลงนั่งบนอาสนะสงฆ์ กวาดสายตามองหลินเสวียนหลาน “อิ่นถังของโยมมีสีคล้ำดำ คิ้วดูมีเคราะห์ ในระยะนี้มีชะตาจะต้องเลือดตกยางออก”
หลินเสวียนหลานไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดี ประโยคนี้ฟังแล้วดูเลอะเทอะเหมือนหมอดูตาบอดข้างถนนเหลือเกิน
“ไต้ซือ ศิษย์มาเพราะมีเรื่องอยากจะถามท่านด้วยจากใจจริงสักหน่อย!” หลินเสวียนหลานคิดถึงคำแปลเซียมซีเมื่อสามปีก่อน
“ไอหยา!” จู่ๆ หลวงจีนท่านนั้นก็ตบศีรษะขาวโพลนของตัวเองอย่างหนักหน่วง ไม่สนใจสวี่อี้หราน ลากหลินเสวียนหลานมาพูด “พูดก็พูดเถอะ ว่าแล้วว่าทำไมถึงได้คุ้นหน้าค่าตาโยมเหลือเกิน ที่แท้ก็เคยเจอกันมาก่อน…ใช่ๆๆ โยมมีน้องสาวแสนสวยคนหนึ่งใช่หรือเปล่า? มาๆๆ อยากจะถามอะไรก็ว่ามา!”
“ศิษย์พี่ พี่…” สวี่อี้หรานหมดคำจะพูด เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่?
หลวงจีนไม่ได้สนใจสวี่อี้หรานเลย กวักมือเรียกหลินเสวียนหลาน “มาๆๆ ช่วยบอกหน่อยได้หรือไม่ว่าน้องสาวของโยมแต่งงานแล้วหรือยัง หากไม่มีช่วยแนะนำอาตมาได้หรือเปล่า อาตมาพอมีทรัพย์สินอยู่บ้าง น่าจะเลี้ยงดูสาวงามไหวอยู่!”
หลินเสวียนหลานอยากจะร้องไห้แต่น้ำตาไม่ไหล คิดอยู่นานถึงพูดว่า “ไต้ซือ กระผมแค่อยากถามท่านคำถามหนึ่ง…”
“โอ้ ว่ามาเถอะโยม!” พระพยักหน้าพูด “แค่ถามมาก็พอ”
หลินเสวียนหลานมองไปที่สวี่อี้หราน แต่ก็ฝืนใจพูดไปว่า “สามปีก่อน ศิษย์เคยมาเสี่ยงเซียมซีที่วัดหลิงอิ่น ไต้ซือเคยพูดว่า…ยามเมื่อดอกบัวสีทองเบ่งบานเต็มที่ ท่านพอจะอธิบายให้ฟังได้หรือไม่”
สวี่อี้หรานที่เดิมทีทำหน้าทำตาเบื่อหน่าย มองพระด้วยความมึนงง ที่แท้เขามาที่วัดหลิงอิ่นก็เพื่อมาหาศิษย์พี่ให้ช่วยแปลคำทำนายในเซียมซี่?
เพียงแต่ไม่รู้ว่ายามเมื่อดอกบัวสีทองเบ่งบานเต็มที่หมายความว่าอย่างไร? แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขายืนยันได้ มันต้องมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับซีเหมินจินเหลียน
หลวงจีนที่ตอนแรกมีใบหน้ายิ้มแย้ม เมื่อได้ยินแล้วก็พยายามควบคุมสีหน้าอยู่นาน “ตอนนั้นโยมถามว่าอะไรหรือ”
“เหมือนจะเป็นเรื่องบุพเพสันนิวาสครับ” หลินเสวียนหลานยิ้มฝืน ความจริงตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจสักนิด เรื่องทั้งหมดน้องสาวเขาเป็นคนจัดการทั้งนั้น
“โยมยื่นมือมาให้อาตมาหน่อย อาตมาจะดูลายมือให้” หลวงจีนขมวดคิ้วพูด
หลินเสวียนหลานยื่นมือออกไป หลวงจีนมองอยู่นานและถามวันเดือนปีเกิดเขา ไม่นานก็ขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “อันตรกัปเปลี่ยนไป ทั้งหมดล้วนถูกสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง โยมลองดูตามความเหมาะสมก็แล้วกัน! แต่อาตมาขอเตือนโยมไว้อย่าง ช่วงนี้ทางที่ดีห้ามออกจากบ้านไปไหน ไม่อย่างนั้นมีโอกาสเลือดตกยางออก จนกระทั่งอาจมีเกณฑ์ดวงถึงฆาต”
หลินเสวียนหลานฟังจนสติเลื่อนลอยเหมือนเดินอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก ขมวดคิ้วถาม “ไต้ซือพอจะอธิบายให้กระจ่างได้หรือไม่” อะไรคืออันตรกัป?
พระรูปนั้นส่ายหน้าเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา สวี่อี้หรานรู้สึกแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าอันตรกัปหมายถึงอะไร ตอนนั้นใบหน้าเปื้อนยิ้มพูดว่า “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่สามารถเสี่ยงทายให้ผมได้หรือไม่?”