ตอนที่ 104 ผู้ชายต่างเป็นพวกหลอกลวงกัน
เจียงมู่เฉินชักจะหงุดหงิดขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว “ซือเหยี่ยน พวกเราผู้ชายโตๆ กันแล้วทั้งคู่อย่าพูดต่อล้อต่อเถียงกันไม่หยุดเหมือนผู้หญิงกันจะได้ไหม”
ซือเหยี่ยนฟังเขาพูดไป พลางเล่นผมเขาไป
“นายอย่าเพิ่งเล่นก่อนได้ไหม” เจียงมู่เฉินปัดมือเขาลง
ซือเหยี่ยนมองเขาด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง “เธอก็คือน้องสาว ส่วนคุณคือแฟนของผม ระหว่างเธอกับคุณ ผมเลือกคุณ”
สีหน้าเจียงมู่เฉินตกตะลึง เบนสายตาหนีทันทีหลังจากนั้น “ฉัน…ฉันต้องให้นายเลือกหรือไง”
ยามเขาพูดจา ใบหูก็ปรากฏสีแดงระเรื่อโดยไม่ได้ตั้งใจ
ท่าทางเล่นแง่ไม่ยอมรับของอีกฝ่ายอยู่ในสายตาของซือเหยี่ยนทั้งหมด เขาเข้าใกล้เข้าไปงับใบหูที่กำลังแดงขึ้นเรื่อยๆ
“นายกัดฉันทำไม”
เสียงพูดของเจียงมู่เฉินเพิ่งจะหยุดลง ทั้งตัวก็โดนกกกอดไว้เต็มอก
ทั้งคืนราวกับกำลังจี่ขนมเปี๊ยะไปกับกระทะ ถูกเขาจับพลิกไปพลิกมา สุดท้ายขาท่อนล่างเจียงมู่เฉินเป็นตะคริวกันไปหมด
อยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก…
เพราะคำพูดที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรของซือเหยี่ยน ทำใจตัวเองอ่อนยวบ จึงโดนเขาจับกดไปทั้งแบบนี้
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ร่างกายเจียงมู่เฉินปวดระบมไปทั้งตัว แทบอยากจะใช้กำลังจับกดอีกฝ่ายแทน
‘ไม่รู้หรือไงว่าเขาไม่มีประสบการณ์’
‘แล้วก็ไม่รู้จักจะอ่อนโยนบ้างเลย ผู้ชายต่างเป็นพวกหลอกลวงกันจริงๆ’
นอนตัวแข็งทื่อราวกับศพอยู่บนเตียงต่อไป เจียงมู่เฉินไม่อยากขยับตัว รู้สึกเหมือนร่างกายถูกฉีกออกแล้วถูกประกอบเข้าไปใหม่ซ้ำใหม่อีกครั้ง
เขานอนไป ก่นด่าสาปแช่งซือเหยี่ยนไป ให้เขาถูกปลดจากตำแหน่งเพราะทำเกินกว่าเหตุจะดีที่สุดเลย
ถึงอย่างไรของตัวเองยังดี ไอ้หมอนั่นแค่นอนหงายก็ได้แล้ว เขารับประกันว่าเขาจะปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างๆ อย่างสบายๆ
นอนต่ออีกสักพัก เจียงมู่เฉินถึงได้ยันกายขึ้นลุกไปอาบน้ำ วันนี้มั่วไป๋กลับมา เขายังต้องรีบไปสนามบินไปรับมั่วไป๋อยู่
หลังจากเตรียมตัวทุกอย่างเสร็จสรรพ ยามคิดว่าจะออกไปแล้ว เจียงมู่เฉินถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ารถของเขาไม่ได้อยู่ที่บ้านของซือเหยี่ยน คงจะให้เขาเรียกรถไปรับมั่วไป๋ไม่ได้หรอก
เจียงมู่เฉินล้วงหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงอย่างเนือยๆ ก่อนต่อสายหาซือเหยี่ยน
ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ในห้องประชุม มือถือที่วางไว้อยู่บนโต๊ะสั่นขึ้นมากะทันหัน ซือเหยี่ยนเห็นชื่อบนหน้าจอก็ยื่นมือหยิบมือถือขึ้นมาทันที
เขาไม่ได้เดินออกไปข้างนอก แต่รับสายโทรศัพท์ในห้องประชุมทั้งแบบนี้เลย
“ซือเหยี่ยน บ้านนายมีรถอะไรสำรองสักคันไหม ฉันต้องไปรับมั่วไป๋”
“ในโรงรถยังมีอยู่อีกคันหนึ่ง”
“อ่อ รู้แล้ว ให้ฉันยืมใช้หน่อยนะ กลับมาแล้วฉันจะคืนนาย” เมื่อเจียงมู่เฉินได้ยินว่ามีรถ เขาก็หาทางได้แล้ว
“ต้องการให้ผมกลับมา แล้วไปเป็นเพื่อนคุณไหม” เสียงซือเหยี่ยนอ่อนโยนเป็นพิเศษ
เจียงมู่เฉินได้ยินเขาเอ่ยอย่างอ่อนโยนกะทันหันแบบนี้ ก็เริ่มรู้สึกเกรงใจ รีบเอ่ยตอบ “นายจะมาประสมโรงอะไรล่ะ ฉันไปเองก็ได้แล้ว นายทำงานต่อเถอะ”
ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น “ได้ งั้นก็เดินทางปลอดภัย ระมัดระวังด้วย”
หลังจากวางสายไป คนทั้งห้องประชุมมองซือเหยี่ยนแบบไม่กล้าจะเชื่อหูตัวเอง ค่อนข้างตกใจพอควร
ได้ยินได้ฟังเสียงพูดนี้ น้ำเสียงช่างดูสนิทสนมกันเสียจริง
‘มีปัญหา ต้องมีปัญหาแน่ๆ’
ไป๋จิ่งจ้องซือเหยี่ยนเขม็ง อยากจะเห็นร่องรอยเบาะแสอะไรออกมาจากใบหน้าของเขา
ก็เห็นแค่ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาด้วยท่าทีเรียบเฉย “ประชุมกันต่อ”
คางไป๋จิ่งใกล้จะโดนเขาแช่แข็งจนหักหลุดออกมาแล้ว เปลี่ยนหน้าเร็วเกินไปไหมเพื่อน
เจียงมู่เฉินเข้าไปในโรงรถ ที่แท้ข้างในก็มีรถจากัวร์คันสีดำจอดไว้อยู่คันหนึ่ง เจียงมู่เฉินยืนถอนหายใจอยู่หน้ารถ นี่มันความสง่าอะไรกัน ไม่เหมาะกับเขาเลย
เจียงมู่เฉินส่งข้อความหาซือเหยี่ยนเงียบๆ
มือถือบนโต๊ะสั่นขึ้นมาอีกครั้ง ซือเหยี่ยนหยิบมือถือขึ้นมาดู [มีตาหามีแววไม่ เชยจริง]
ซือเหยี่ยนขำจนยกยิ้มมุมปากขึ้น แล้วพิมพ์ตอบ [ผมว่าแววตาของผู้ชายยังใช้ได้นะ]
ในห้องประชุมมีกลิ่นอายประหลาด ประธานซือผู้ไร้สีหน้าอารมณ์ไม่เพียงแต่จะประชุดไป เล่นมือถือไป ยังปรากฏรอยยิ้มหวานละมุนอีก…
โลกใบนี้ช่างเข้าใจยากและเหลือเชื่อเกินไปแล้ว…
เจียงมู่เฉินเห็นข้อความที่ซือเหยี่ยนส่งกลับมา มุมปากกระตุกจนอดเชิดขึ้นไม่ได้
เห็นเขาว่ามาแบบนี้ เขาก็ไม่แยแสเรื่องรถเชยๆ ของซือเหยี่ยนแล้ว เจียงมู่เฉินเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าออกไปสนามบิน
ตอนที่ 105 เป็นฝ่ายสารภาพเอง
ในสนามบินเจียงมู่เฉินยืนรออยู่หน้าทางออก ตั้งแต่มั่วไป๋ไปอเมริกา พวกเขาก็ไม่ได้เจอกันมาปีกว่าๆ แล้ว
เขานั่งบนเก้าอี้มองไปที่ทางออกตลอดเวลา กลัวจะตกหล่นไม่ทันเจอมั่วไป๋
ในที่สุดเครื่องบินก็ลงจอด เจียงมู่เฉินเด้งตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ ยืนรออยู่ตรงนั้น ผ่านไปประมาณสิบนาทีกว่าๆ ยามเจียงมู่เฉินเงยขึ้นมองด้วยความหวัง ในที่สุดก็เห็นมั่วไป๋เดินออกมาจากด้านใน
มั่วไป๋ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาใบเดียว ทั้งเนื้อทั้งตัวดูรัศมีเปล่งประกายดีกว่าตอนแรกๆ ที่จากไปมากทีเดียว
“เจียงมู่เฉิน นายกลายเป็นสภาพแบบนี้ได้ยังไง อกหักแล้วเหรอ” มั่วไป๋เห็นทรงผมเจียงมู่เฉิน ก็ชักจะงุนงงบ้างแล้ว ปลงไม่ตกถึงขนาดทำตัวเองเป็นแบบนี้เลยเหรอ
รอยยิ้มบนริมฝีปากของเจียงมู่เฉินชะงักงันไป เขาหมุนตัวแล้วเดินหน้าไป
มั่วไป๋เองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ถึงยังไงไม่ถึงสามวินาทีไอ้หมอนี่ก็ต้องกลับมา
เป็นไปตามคาด เขายังไม่ทันได้หยุดหัวเราะ เจียงมู่เฉินก็เดินกลับมาถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ทรงผมฉันทรงนี้ดูไม่ได้จริงๆ เหรอ”
มั่วไป๋คิดพิจารณาอย่างจริงจัง “ไม่ใช่ดูไม่ได้ ขี้เหร่จริงๆ ต่างหาก”
เจียงมู่เฉินห่อเ**่ยวลงชั่วพริบตา เมื่อคืนซือเหยี่ยนยังพูดกับเขาอยู่เลยว่าดูดี ที่แท้กำลังหลอกเขาอยู่นี่เอง
เขาเชิดดวงตาเอ่ยถามอย่างจริงจัง “ไม่งั้นนายเรียกรถกลับไปเองแล้วกัน ฉันมีความรู้สึกไม่ค่อยอยากจะรับนายขึ้นมากะทันหันพอดี”
มั่วไป๋กะพริบดวงตากลมโตของเขาปริบๆ ทำหน้าทำตาน่าสงสารมองไปยังเจียงมู่เฉิน “นายทิ้งฉันลงเหรอ”
เจียงมู่เฉินถอนหายใจ ส่งมือไปลากกระเป๋าเดินทางของเขามา “ช่างเถอะ ถือว่าคุณชายใจบุญสุนทานช่วยนายครั้งหนึ่งแล้วกัน”
สองคนเดินไปลานจอดรถของสนามบิน มั่วไป๋เห็นรถของเจียงมู่เฉิน แล้วมุมปากอดจะกระตุกไม่ได้ “แค่ปีกว่าๆ ปีเดียวเองที่ฉันไม่ได้เจอนาย รสนิยมนายก็ไม่น่าจะอะไรก็ได้ถึงขนาดนี้ไหม”
เจียงมู่เฉินยกกระเป๋าเดินทางยัดใส่ท้ายรถ “จะมากเรื่องอะไรขนาดนั้น”
“นายคงจะไม่อกหัก ได้รับการกระทบกระเทือน จนทำให้รสนิยมมองอะไรสวยๆ งามๆ ของนายเปลี่ยนไปหรอกใช่ไหม”
“มองฉันดีๆ หน่อยได้ไหม รถของซือเหยี่ยน ส่วนทรงผมนี่เป็นอุบัติเหตุ”
ระหว่างเดินทางไป มั่วไป๋สังเกตมองเจียงมู่เฉินพิจารณาอย่างจริงจัง “นายคบกับซือเหยี่ยนแล้วจริงๆ เหรอ”
“อืม จะปลอมได้อีกเหรอ”
“นายเป็นฝ่ายเริ่ม หรือว่าเขา”
เจียงมู่เฉินเอ่ยไป พลางลูบจมูกตัวเองป้อยๆ “ครึ่งครึ่งแหละ”
มั่วไป๋จ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อ “จริงเหรอ”
“ก็ได้ ฉันสารภาพเอง ฉันเป็นฝ่ายเริ่มก่อน” เจียงมู่เฉินคิดถึงเรื่องในคืนนั้น “แต่ว่าซือเหยี่ยนก็ตอบรับตกลงทันทีเลย”
เขารู้สึกว่าต้องไว้หน้าตัวเองบ้างอะไรบ้าง
มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น สีหน้าท่าทางมองอีกฝ่ายทะลุปรุโปร่ง
เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าตัวเองเวลาอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋เหมือนกับว่าไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอยู่อย่างไรอย่างนั้น ในดวงตากลมโตของเขาไม่ต่างจากการเข้าเครื่องเอกซเรย์ มองผ่านอะไรก็มองเห็นชัดเจนละเอียดจนหมด
“ครั้งนี้นายกลับมายังจะกลับไปอีกไหม”
“อยู่ที่นี่สักพักก่อนมั้ง ถ้าอาการดีขึ้นอาจจะไม่ต้องกลับไปแล้ว”
“อาการป่วยยังหนักมากอยู่เหรอ” เจียงมู่เฉินค่อนข้างจะเป็นห่วงเพื่อนคนนี้ของเขาอยู่ไม่เบา
“ไม่เป็นไร ฉันระวังเองได้”
เจียงมู่เฉินมองมั่วไป๋ด้วยความกังวล เห็นเขาเอียงหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย ในใจยิ่งจมดิ่งลง
ถานโจว สำหรับมั่วไป๋แล้ว ไม่ได้มีความทรงจำอะไรดีเท่าไหร่นัก
ตอนแรกที่เขาส่งตัวมั่วไป๋ไปอเมริกา สถานการณ์ของมั่วไป๋แย่ถึงขั้นที่จะทรุดลงเมื่อไหร่ก็ได้ ดีที่หนึ่งปีกว่าๆ มานี้ ได้ผ่านการรักษา จึงดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
ขับรถมาส่งมั่วไป๋ที่คอนโดมิเนียมเดิมที่เขาอาศัยอยู่ เพราะว่าข้างในไม่ได้มีคนมาอาศัยอยู่เป็นเวลานาน ทำให้ฝุ่นเกาะเต็มไปหมด
เขาไม่ชอบให้ใครมาเคลื่อนย้ายสิ่งของของเขา เจียงมู่เฉินครุ่นคิดตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนมั่วไป๋ทำความสะอาดคอนโดมิเนียม
ใช้เวลากว่าสองชั่วโมง ห้องในคอนโดมิเนียมถึงได้กลับคืนสภาพเดิม เขานอนหมดแรงเป็นอัมพาตอยู่บนโซฟา พร้อมก่นด่าซือเหยี่ยนขึ้นมาจนได้
มั่วไป๋เทน้ำใส่แก้วสองใบ ส่งให้เจียงมู่เฉินใบหนึ่ง เจียงมู่เฉินนอนเอื่อยๆ บนโซฟา ไม่ค่อยอยากจะขยับตัวเท่าไหร่นัก
“นี่นายเป็นอะไรไป แค่ทำความสะอาดเองไม่น่าจะถึงเหนื่อยถึงขนาดนี้ไหม” มั่วไป๋มองดูท่าทางของเพื่อนที่เหมือนใกล้จะขาดใจแล้ว
“ฉันปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความต้องการมากเกินไป พอใจยัง” เจียงมู่เฉินฝากความคิดถึงไปหาซือเหยี่ยนด้วยความโมโห
“นี่พวกนายรวดเร็วกันปานนั่งจรวดขนาดนี้แล้วเหรอ” มั่วไป๋เลิกคิ้ว
“มีความรักก็ได้มีกันแล้ว ไม่จับกดกันเลย เสียของเสียหุ่นดีๆ ของซือเหยี่ยนไปเปล่าๆ”