ตอนที่ 112 จำไม่ได้
หลังจากมั่วไป๋เดินออกจากหลานเยี่ยไปได้สักพักถึงหยุดเดิน เขาหมุนตัวเดินเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่ง ทิ้งตัวลงกับกำแพง สั่นเทาไปทั้งตัว
เขาไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาเจอไป๋จิ่งที่นี่
ที่น่าตลกก็คือ อีกฝ่ายจำเขาไม่ได้เลยสักนิด
มั่วไป๋พิงกำแพงยิ้มเยาะ ตอนที่ไป๋จิ่งออกปากถามชื่อของเขา รู้สึกว่าเขาดูคุ้นตา คาดไม่ถึงว่าเขาจะรอคอยว่าไป๋จิ่งจะจำเขาได้หรือเปล่า
เขาอดอยากเห็นไม่ได้ ถ้าไป๋จิ่งรู้ว่าเขายังไม่ตาย รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ จะทำสีหน้าแบบไหนออกมานะ
แต่สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่คิดมากไป ไป๋จิ่งไม่มีภาพจำอะไรเกี่ยวกับเขาแม้แต่น้อย ราวกับเขามั่วไป๋ไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกนี้เลยด้วยซ้ำ
เขาหยุดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้ เสียงหัวเราะที่เก็บกดเอาไว้ดังออกมาล่องลอยอยู่ในตรอกอันไร้ผู้คน ชวนให้รู้สึกอ้างว้างวังเวงอย่างบอกไม่ถูก
เขานึกถึงไป๋จิ่งทั้งเช้าค่ำ แต่ไป๋จิ่งกลับลืมเขาไปตั้งนานแล้ว
คุณว่าน่าขำไหมล่ะ…
…
“ฉันว่านะ นายเลิกเดินไปเดินมาตรงหน้าฉันจะได้ไหม ทำแบบนี้ฉันเวียนหัวหมดแล้ว” มั่วไป๋มองเจียงมู่เฉินผู้สาวเท้าอย่างไวเดินกลับไปกลับมาจนจะครบชั่วโมงอยู่ตรงหน้าเขา เล่นเอาปวดหัวขึ้นมาบ้างแล้ว
เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนทั้งคืน ตอนเช้าเพิ่งจะได้นอนก็ถูกเจียงมู่เฉินปลุกให้ตื่นขึ้นมา
เจียงมู่เฉินจับเอวตัวเองไว้ กัดฟันกรอดด้วยความโมโห “นายว่า ทำยังไงฉันถึงจะจับกดซือเหยี่ยนได้บ้าง”
เมื่อคืนคิดว่าแผนการใหญ่ในการเปลี่ยนกลับเป็นรุกจะมีความหวัง สุดท้ายไม่คิดเลยว่าเขาจะยังโดนซือเหยี่ยนจับกดอยู่ เขาคิดมาค่อนวันก็ยังนึกหนทางที่ตัวเองจะรุกซือเหยี่ยนไม่ออกเหมือนเดิม
ดังนั้นจึงวิ่งแจ้นมาหามั่วไป๋ที่นี่ ดูว่ามีวิธีอะไรดีๆ หรือเปล่า
“ฉันว่า นายก็อย่าคิดมากขนาดนี้เลย” มั่วไป๋กุมขมับ “นายจับกดซือเหยี่ยนไป ขนาดไม่เหมาะหรอก”
…เขาอยากจะกระโดดกัดมั่วไป๋ให้ตาย ตัวเองจะจับซือเหยี่ยนกดแล้วทำไมถึงขนาดไม่เหมาะได้
“ในฐานะเพื่อนของนาย ฉันต้องให้นายเผชิญหน้ากับความจริง”
เจียงมู่เฉินเส้นเลือดปูดขึ้นมา จ้องมองมั่วไป๋พร้อมเดินเข้าประชิดทีละก้าวทีละก้าว
มั่วไป๋กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ฉันแนะนำนายว่าใจเย็นสงบเสงี่ยมจะดีที่สุด อย่าทำเรื่องอะไรที่ตัวเองจะมานั่งเสียใจทีหลัง”
เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “เรื่องที่คุณชายอย่างฉันมานั่งเสียใจทีหลังที่สุดก็คือสมองกลวงวิ่งออกมาให้นายด่าเนี่ยแหละ”
มั่วไป๋พยักหน้าเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาทันที เดินไปถึงข้างประตูแล้วดึงประตูเปิดออก “เรื่องนี้นายอย่าเสียใจเกินไป ตอนนี้หันหลังแล้วเดินตรงออกจากประตูไป ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้นะ”
เจียงมู่เฉินขบกรามแน่น “วันนี้ฉันไม่ไปแล้ว”
มั่วไป๋ยื่นมือไปปิดประตูแล้วยืนพิงอยู่ตรงนั้น “อยากจะจับซือเหยี่ยนกดไม่ใช่เหรอ ง่ายๆ ฉันจะบอกแผนให้”
“แผนอะไร”
“ซื้อยามา ทำให้เขาหมดสติ ที่เหลือนายก็ทำตามอำเภอใจได้ไม่ใช่เหรอ”
“ว้าว นายนี่มันจริงๆ เลย…” เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยความประหลาดใจ “นายนี่มันฉลาดเกินไปแล้วจริงๆ ทำไมฉันถึงคิดไม่ถึงเลย”
‘ซือเหยี่ยนเวอร์ชันเป็นๆ อยู่จับกดไม่ได้ ซือเหยี่ยนเวอร์ชันไม่ได้สตินี่แหละ เขาจับกดได้แน่’
‘ถึงแม้ว่าซือเหยี่ยนจะขยับเองไม่ได้ก็เถอะ… ’
‘แต่ว่า จับกดได้ก็ดีกว่าจับกดไม่ได้ เนื้อชิ้นหนึ่งก็คือเนื้ออยู่วันยังค่ำ’ ตัดสินใจได้แล้ว เจียงมู่เฉินไม่เอ่ยคำลาอะไรก็พุ่งทะยานตัวออกจากบ้านมั่วไป๋ทันที
มั่วไป๋ปิดประตูลงเงียบๆ เขาพูดไปส่งๆ เท่านั้นเอง ไม่คิดว่าเจียงมู่เฉินจะเชื่อจริงๆ
เฮ้อ…
มั่วไป๋ถอนหายใจ รู้สึกว่าสมองใหญ่ๆ อันชาญฉลาดของเจียงมู่เฉินเหมือนโดนปลูกถ่ายไวรัสชนิดร้ายแรงลงไปไม่มีผิด มาเจอกับซือเหยี่ยน เครื่องจึงรวนไปทั้งหมด
ที่แท้ ความรักอะไรพวกนี้ ไม่พบเจอง่ายๆ ยังจะดีกว่า
…
ไป๋จิ่งยืนก้มหน้ารับกรรมมองซือเหยี่ยนอยู่ที่หน้าประตู “เที่ยวบินวันนี้ของฉัน นายไม่คิดจะไปส่งฉันเหรอ”
ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขารอบหนึ่ง “ขอโทษด้วย ไม่มีเวลาน่ะ”
“ไม่ว่าจะยังไงพวกเราก็รู้จักกันมาตั้งหลายปี เยื่อใยสักนิดก็ไม่มีให้กันเลยเหรอ”
“ขออภัย คนคนนั้นของฉันต้องไม่หวังให้ฉันมีเยื่อใยกับคนอื่นแน่ๆ” ซือเหยี่ยนไม่ลังเลที่จะเอาเจียงมู่เฉินออกมาเป็นข้ออ้าง
ได้ยินซือเหยี่ยนเอ่ยถึงคนคนนั้น ไป๋จิ่งก็อยากรู้อยากเห็นขึ้นมากะทันหัน “นายถึงขั้นพูดแบบนี้ ตกลงแล้วคนคนนั้นของนายเป็นใครกันแน่ ต้องลึกลับขนาดนี้เชียวเหรอ”
ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขากำลังจะเตรียมเอ่ยปาก
เสียงเจียงมู่เฉินดังขึ้นมาจากข้างหลัง เขาค่อยๆ เชิดริมฝีปากขึ้นอย่าเกียจคร้าน “ฉันเอง ฉันเอง”
เขาเดินช้าๆ ไปจนถึงตรงหน้าไป๋จิ่งผู้แข็งเป็นหินไปแล้ว เขายักคิ้วแล้วพูดต่อ “ลึกลับไหม”
ตอนที่ 113 ตกใจจนเกือบฉี่ราด
ไป๋จิ่งตะลึงงัน อยากร้องตะโกนดังๆ จริงๆ แม่งลึกลับขั้นสุดแล้ว
‘เจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนถึงขั้นมาคบกันได้แบบนี้ ยังจะถามเขาว่าลึกลับไหมอีกเหรอ’
‘เขาตกใจจนเกือบฉี่ราดแล้วโอเคไหม’
“นาย…เขา…พวกนาย…เชี่ย!” มือไป๋จิ่งชี้ไปที่พวกเขาสองคนสลับกันไปมายังสั่นน้อยๆ อีกด้วย แม้แต่จะพูดให้เต็มประโยคยังพูดไม่ออกเลย
เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางของเขาก็ใจดีอธิบายให้เขาฟัง “นายอยากเจอฉันไม่ใช่เหรอ ฉันก็อยู่นี่แล้วไง”
สายตาหวาดกลัวของไป๋จิ่งไล่มองจากใบหน้าของเจียงมู่เฉินย้ายไปยังใบหน้าของซือเหยี่ยน จากนั้นก็วนเวียนกลับไปกลับมา “พวกนาย…ล้อเล่นกันใช่ไหม”
‘บุคลิกเฉพาะตัวของเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนดูยังไงก็ไม่เข้ากันเลย’
‘อีกอย่าง สองคนนี้เป็นศัตรูคู่แค้นกันไม่ใช่เหรอ จะมามีความสัมพันธ์แบบนั้นเป็นไปได้ยังไง ทำให้คนตกใจเกินไปแล้วโอเคไหม’
เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว นัยน์ตาดอกท้อฉายแววหยอกล้อ เขาเดินไปอยู่ข้างกายซือเหยี่ยน โน้มตัวลงมาหอมแก้มซือเหยี่ยน “ซือเหยี่ยน นายบอกเขาทีว่าจริงไม่จริง”
ไป๋จิ่งมองซือเหยี่ยนเงียบๆ
เห็นแค่ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ “อืม แฟนฉันเอง”
ไป๋จิ่งสั่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ เขาพินิจมองทั้งสองคนอย่างละเอียด รู้สึกว่าทัศนคติที่มีต่อชีวิตของตัวเองได้รับความกระทบกระเทือนแล้ว
เขาเองก็ไม่อยากให้ซือเหยี่ยนไปส่งแล้ว หันหลังวิ่งออกไปทันที
จู่ๆ ไป๋จิ่งก็รู้สึกตัวขึ้นมา ว่าซือเหยี่ยนให้เขาแอฟริกาเป็นเรื่องที่ดีสุดๆ ไปเลย แอฟริกาออกจะสวยขนาดนั้น เขาอยากไปดูของสวยๆ งามๆ จะได้ชำระล้างจิตวิญญาณที่ได้รับความตื่นตกใจให้บริสุทธิ์ขึ้น
‘ซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินถึงขั้นมาคบกันได้แบบนี้ ยังห่างจากวันสิ้นโลกอีกไกลไหม’
เจียงมู่เฉินมองตามแผ่นหลังหนีเตลิดเปิดเปิงของเขาไป แล้วครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ฉันดูป่าเถื่อนมากเลยเหรอ”
ซือเหยี่ยนส่ายหัวขำๆ “ไม่ป่าเถื่อนหรอก”
“แล้วเขาทำหน้าเหมือนเห็นผีไปทำไมล่ะ วิ่งเร็วขนาดนี้ กลัวฉันจะกินเขาเหรอ”
ซือเหยี่ยนชะงักกับคำเปรียบเปรยของเจียงมู่เฉิน พลางคิดถึงท่าทางเมื่อครู่นี้ของไป๋จิ่ง แล้วอดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ เขาพบว่าเจียงมู่เฉินเปรียบเปรยได้ถูกต้องอย่างเหลือเชื่อ
ซือเหยี่ยนทำท่าใสซื่อพลางลูบจมูกป้อยๆ “คงจะรีบไปขึ้นเครื่องมั้ง”
เจียงมู่เฉินเดินไปนั่งต่อหน้าเขา “เออใช่ ฉันพูดกับเขาแบบนี้ ไม่เป็นไรใช่ไหม”
ซือเหยี่ยนเลิกคิ้ว “คุณกลัวเหรอ”
เจียงมู่เฉินรีบเอ่ย “คุณชายอย่างฉันมีอะไรต้องกลัวหรือไง”
ซือเหยี่ยนยิ้ม “งั้นคุณเป็นห่วงอะไรล่ะ”
เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขา “นี่ฉันเป็นห่วงแทนนายไม่ใช่หรือไงเล่า”
“ทำไมคุณถึงมาหาผมที่บริษัทได้”
เจียงมู่เฉินได้ยินแบบนี้ก็นึกถึงจุดประสงค์ที่ตัวเองมาวันนี้ขึ้นมาได้กะทันหัน เขารีบยิ้มเชิงอยากเอาใจอีกฝ่าย “อยากมากินข้าวกับนายไง”
ซือเหยี่ยนมองเขาอย่างสงสัย “อยากมากินข้าวกับผมเนี่ยนะ”
เจียงมู่เฉินพยักหน้า “อืม มากินข้าวกับนาย”
“นอกจากกินข้าว ไม่มีเรื่องอย่างอื่นแล้วเหรอ” ซือเหยี่ยนถามต่ออีก
เจียงมู่เฉินโดนเขาถามแบบนี้ก็ชักจะใจเสีย ถลึงตามองเขา “ตกลงนายจะกินไม่กิน ไม่กินฉันจะไปแล้ว”
ซือเหยี่ยนหัวเราะ “คุณมาเชิญชวนด้วยตัวเอง ต้องไปอยู่แล้ว”
“โอเค งั้นฉันจะรอนายที่นี่ เลิกงานแล้วจะได้ไปด้วยกัน”
ซือเหยี่ยนนั่งรอที่บริษัทของซือเหยี่ยนตลอดทั้งบ่าย รอจนซือเหยี่ยนทำงานเสร็จ ทั้งสองคนถึงได้ออกไปกินข้าวด้วยกัน
เจียงมู่เฉินกินข้าวไปคิดไป จะทำอย่างไรให้ซือเหยี่ยนหมดสติอย่างแนบเนียน
จนกระทั่งกินข้าวกันเสร็จ เจียงมู่เฉินถึงได้ออกปาก “ตอนนี้ยังไม่ค่ำเท่าไหร่ ไปนั่งกับฉันที่หลานเยี่ยไหม”
ซือเหยี่ยนวางแก้วลง เลิกคิ้วมองเจียงมู่เฉินด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ทำไม ไม่เต็มใจเหรอ” เจียงมู่เฉินมองจดจ่อ ถ้าซือเหยี่ยนไม่ยอม แล้วเขาจะยังทำให้ซือเหยี่ยนหมดสติได้อย่างไร
ซือเหยี่ยนเห็นแววตาที่ฉายถึงแผนการจึงยกมุมปากขึ้นน้อยๆ “จู่ๆ ผมเองก็อยากไปนั่งเล่นที่หลานเยี่ยขึ้นมาเหมือนกัน”
เมื่อได้ยินเขาว่ามาเช่นนี้ เพียงชั่วครู่เดียวเจียงมู่เฉินก็กระตือรือร้นขึ้นมา “ไปกันเถอะ คุณชายจะพานายไปเที่ยวหลานเยี่ย”
ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปหลานเยี่ย แล้วยังนั่งที่เดิมเมื่อก่อนนี้ด้วย ซือเหยี่ยนนั่งลงไม่ทันไรก็ลุกขึ้นมา “ผมจะไปห้องน้ำสักหน่อย”
เจียงมู่เฉินพยักหน้า มองดูเขาเดินจากไป
ทันทีที่ซือเหยี่ยนไป นัยน์ตาดอกท้อของเจียงมู่เฉินก็ลุกวาวเปล่งประกายเสียเดี๋ยวนั้น ซือเหยี่ยนเลือกเวลาออกไปได้เป็นงานจริงๆ ให้เวลาเขาก่อเหตุพอดี