แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
ตอนที่ 492 เฝ้าไข้อยู่โรงพยาบาล
พอหลินฝานได้จับมือไป๋จิ่งไว้ ก็เหมือนกับตามหาของรักของล้ำค่าที่เสียไปแล้วได้กลับคืนมาอีกครั้งจนเจอ
เขารีบกุมมือไป๋จิ่งไว้แน่น จับไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ปล่อยไปไหนทั้งนั้น
นิ้วมือที่กำพวงมาลัยอยู่กระชับแน่นขึ้นมาเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไรสักคำ เขาเร่งความเร็วมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล
ไป๋จิ่งขับรถมาตลอดทางจนถึงโรงพยาบาล ถึงได้หยุดรถลง
เขามองดูหลินฝานที่ไข้ขึ้นจนสติเลอะเลือน แล้วชักมือตัวเองออกจากฝ่ามืออันร้อนจี๋ของเขา
เพียงชั่วพริบตาเดียวที่ไป๋จิ่งชักมือออกไป หลินฝานก็กระวนกระวายใจอยู่ในที
มือเขาขยับขึ้นลงไปอยู่หลายครั้งมาโดยอัตโนมัติ เหมือนจะคว้าอะไรไว้สักอย่าง
ไป๋จิ่งรีบปลดเข็มขัดนิรภัยบนตัวเขาออก แล้วเปิดประตูรถอุ้มคนออกไปทันทีหลังจากนั้น
หลินฝานเอนซบร่างของไป๋จิ่ง ยื่นมือไปกำคอเสื้อไป๋จิ่งอย่างแน่นสนิทโดยไม่รู้ตัว
เสียงต่ำเอ่ยพึมพำอะไรขึ้นมา แต่กลับฟังไม่ได้ศัพท์
ไป๋จิ่งไม่มีเวลามาคิดมาก รีบอุ้มคนไปยังห้องฉุกเฉินทันที
ผ่านการรักษากว่าครึ่งชั่วโมง หลังจากฉีดยาให้ไข้ลดแล้ว ถึงได้ส่งตัวคนไปยังห้องพักผู้ป่วยเพื่อติดตามดูอาการ
ไป๋จิ่งจำใจต้องเดินตามคนเข้าไปยังห้องพักผู้ป่วยด้วย
หลินฝานนอนอยู่บนเตียงคนไข้ เพราะว่าขยับไปมาตลอดทาง เสื้อผ้าบนตัว ปกเสื้อจึงแยกออกจากกัน
ไป๋จิ่งมองดูคนที่นอนอยู่บนเตียง แววตาแฉลบผ่านหน้าอกของเขา
เขารู้ว่าหลินฝานไม่ถือว่าอ้วน แต่ก็ยังถือว่าหุ่นดีสมส่วน อย่างน้อยที่สุดเมื่อก่อนเวลาอุ้มขึ้นมาจากเตียงไม่ถือว่าหนักมือ
ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งเดือน คิดไม่ถึงว่าหลินฝานจะผอมลงเกือบเท่าตัว แม้แต่กระดูกซี่โครงตรงหน้าอกก็เห็นออกมาได้อย่างชัดเจน
ไป๋จิ่งเห็นเรือนผิวที่เผยให้เห็นอยู่ข้างนอก ในใจก็รู้สึกอึดอัดใจไม่เบา
เขาครุ่นคิด สุดท้ายก็เดินเข้าไปดึงเสื้อหลินฝานขึ้นมาติดกระดุมให้ใหม่
บางทีอาจจะได้กลิ่นที่คุ้นเคย หลินฝานที่แต่เดิมนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง จู่ๆ ก็ขยับตัวขึ้นมากะทันหัน
นิ้วมือเขาสั่นเล็กน้อย ลูบมือไป๋จิ่งไปมา
มือไป๋จิ่งสำหรับหลินฝานแล้ว ดูเหมือนจะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจประเภทหนึ่ง ป่วยจนเป็นขนาดนี้แล้วยังอยากจะจับไว้แน่นอีก
ไป๋จิ่งอยากดึงมือออก แต่พอนึกถึงการกระทำเมื่อครู่นี้ เขาก็อดจะถอนหายใจไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่ได้ชักมือออกมา
มือหลินฝานที่จับมือไป๋จิ่งอยู่ ในที่สุดก็สงบนิ่งเสียที เห็นเขาไม่มีทีท่าว่าอยากจะจากตัวเองไปแล้ว เวลานี้เส้นประสาทที่เอาแต่เกร็งตัวแน่นถึงค่อยได้ผ่อนคลายลง
เพียงไม่นานก็ผล็อยหลับไป
ไป๋จิ่งทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้หลินฝานเป็นไข้ ต่อให้เขาไม่ชอบเด็กคนนี้ แต่จะออกไปเวลานี้ก็ไม่ได้
อีกอย่าง ตอนนี้หลินฝานจับมือเขาไว้อยู่ อยากจะหนีก็หนีไม่ไหวแล้ว
คิดไปคิดมา เขาก็ทำได้เพียงนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ
ภายใต้แสงไฟ หลินฝานนอนอย่างสงบนิ่ง ใบหน้าขาวนวลผ่อง เมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟ ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจน
เขานอนอยู่ที่นี่อย่างว่าง่ายแบบนี้ ดูๆ ไปแล้วน่าทะนุถนอมเป็นพิเศษทีเดียว
ไป๋จิ่งนึกขึ้นมาได้โดยอัตโนมัติว่าเด็กคนนี้เหมือนจะดูว่าง่ายแบบนี้มาโดยตลอด
จะดื้อใส่ก็มีแต่ตอนแรกที่มาสารภาพรักกับเขาเท่านั้นเอง
ไป๋จิ่งคิด เด็กคนนี้เหมือนกับเจ้ากระต่ายน้อยชัดๆ แต่กลับกล้ามาบอกชอบเขาได้อย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน
คิดถึงตรงนี้ ไป๋จิ่งก็อดจะยิ้มหัวเราะออกมา
บอกตามตรง ตั้งแต่แรกเริ่มเขายังชอบหลินฝานมากทีเดียว
เพียงแต่ว่าหลังจากหลินฝานปียขึ้นเตียงเขาแล้ว ภาพจำของไป๋จิ่งที่มีต่อเขายิ่งตกต่ำถึงขั้นสุด
เดิมเขาคิดว่าเด็กคนนี้เป็นกระต่ายน้อยสีขาวที่ไร้เดียงสา แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีแผนการ ยังกล้ามาเล่นงานเขา
หลายปีมานี้ข้างกายไป๋จิ่งก็ไม่มีใครสักคน
ไม่ใช่ว่าเขามีนิสัยเย็นชามาตั้งแต่เกิด เขาแค่เดินเล่นผ่านพุ่มดอกไม้ แต่ไม่สัมผัสดอกไม้ใดใดเท่านั้นเอง
แต่หลินฝานมาทำลายสิ่งที่เขาเป็นนี้ของเขา
‘เขาเป็นคนแรกที่วางแผนปีนขึ้นเตียงตัวเอง!’
ไป๋จิ่งจ้องมองใบหน้าของหลินฝาน อดจะคิดไม่ได้ว่า ถ้าคุณไร้เดียงสาได้แบบนี้ต่อไปก็คงจะดีมากเลย
‘เขาเองก็ไม่ถึงกับจะเกลียดคนคนนี้ขนาดนี้หรอก’
ตอนที่ 493 อยากจะกินข้าวด้วยกันไหม
เช้าวันต่อมา หลินฝานค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ เขาเห็นห้องพักผู้ป่วยแสนว่างเปล่า ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเท่าไหร่นัก
‘เขาอยู่ที่คอนโดของไป๋จิ่งไม่ใช่เหรอ’
‘มาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ยังไงกัน’
หลินฝานค่อนข้างจะงุนงงอยู่ในที ความคิดหนึ่งก็ประกายวาบขึ้นมาในหัว หรือว่าไป๋จิ่งส่งเขามาโรงพยาบาลกัน
เขามองดูฝ่ามือของตัวเอง มีความรู้สึกรางๆ ว่าเมื่อคืนมีอะไรสักอย่างที่เขากุมไว้ในมือตลอด
รออีกหลายนาที เขาก็ไม่เห็นใคร
หลังจากผ่านเหตุการณ์ไข้ขึ้นสูง ร่างกายหลินฝานก็ยังอ่อนแอมาก เขายื่นมือไปดึงผ้าห่มออก เตรียมจะลงจากเตียง
จังหวะนี้มีคนเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยพอดี จิตใต้สำนึกสั่งให้หลินฝานมองตามไป ก็เห็นเพียงแค่พยาบาลเดินเข้ามา
เธอเห็นหลินฝานจะลงจากเตียง จึงรีบวิ่งเข้าไปทันที “ทำไมถึงลุกขึ้นมาล่ะคะ”
หลินฝานถูกเธอกดไว้อีก แล้วยัดตัวกลับขึ้นเตียงไป
เขานอนอยู่ใต้ผ้าห่ม เผยให้เห็นใบหน้าเรียวเล็ก ดูๆ ไปแล้วยังทำให้คนรู้สึกอยากทะนุถนอมได้อย่างเหลือเชื่อ
พยาบาลคนนั้นส่งยามาให้เขา พอเห็นท่าทางน่าสงสารของเขา ความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยดุจดั่งความรักของแม่ก็อดจะท่วมท้นออกมาไม่ได้
“ตอนนี้ไข้คุณเพิ่งจะลดลง ระวังตัวหน่อยนะคะ อย่าเดินไปทั่ว”
หลินฝานครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยถามเสียงต่ำ “ผมมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ยังไงเหรอครับ”
“ก็ต้องมีคนมาส่งคุณอยู่แล้วล่ะค่ะ” พยาบาลไม่ได้คิดอะไรมาก เอ่ยตอบไปตรงๆ
“คุณรู้ไหมครับว่าใครมาส่งผม”
“เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้นะคะ” เธอยื่นมือออกไปพลางมองหลินฝาน “มาค่ะ เอาปรอทวัดไข้มาให้ฉัน”
หลินฝานหยิบให้เธอไปอย่างซื่อๆ
พยาบาลคนนั้นดูแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “ตอนนี้ไข้ลดแล้ว เดี๋ยวสักพักกินยาแล้ว ก็พักผ่อนดีๆ นะคะ”
หลินฝานมองพยาบาลคนนั้นเดินจากไปอย่างตาละห้อย
เขาอ้าปากเอ่ยเสียงต่ำ “ตกลงแล้วใครจะส่งเขามาโรงพยาบาลได้…”
‘คือไป๋จิ่งเหรอ’
‘ไม่หรอกมั้ง’ ไป๋จิ่งเกลียดเขาขนาดนั้น ไม่มีทางจะส่งเขาไปโรงพยาบาลได้
อีกอย่าง เป็นไม่ได้ที่ไป๋จิ่งจะรู้ว่าเขาไข้ขึ้น
หลินฝานเอามือกดที่หัวของตัวเอง เขาคิดไม่ตก ในเมื่อคิดไม่ตก ก็ไม่ต้องคิดมากแล้ว
เขากินยาอย่างว่าง่าย แล้วนอนต่ออีกครั้ง เวลาใกล้จะเที่ยง ถึงมีคนมาเรียกปลุกให้ตื่น
“หายดีแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วนะคะคุณ”
หลินฝานพยักหน้า ค่อยๆ ดึงผ้าห่มออกอย่างช้าๆ แล้วลงจากเตียง
“แล้วค่ารักษาพยาบาลล่ะครับ…”
ตอนนี้เขาไม่ได้เอาอะไรมาเลย ดูท่าว่าจะยังจ่ายเงินไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะให้กลับไปก่อน แล้วค่อยเอาเงินมาจ่ายที่โรงพยาบาลได้หรือเปล่า
“มีคนออกค่ารักษาให้คุณแล้ว คุณออกจากโรงพยาบาลได้เลยค่ะ”
หลินฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่กลับยังไม่เข้าใจว่าสุดท้ายแล้วใครเป็นคนพาเขามาส่งโรงพยาบาลกันแน่
จนกระทั่งออกพ้นประตูใหญ่ของโรงพยาบาล หลินฝานก็ยังคงสับสน
เขาครุ่นคิด ลองทดสอบหยั่งเชิงโทรหาไป๋จิ่ง ถึงอย่างไรนอกจากไป๋จิ่งแล้ว ก็ไม่มีใครจะส่งเขาไปโรงพยาบาลได้แล้ว
มือถือของไป๋จิ่งดังอยู่สักพัก เขาถึงได้รับสาย
“มีธุระอะไร” เสียงของไป๋จิ่งเย็นชามากถึงมากที่สุด ราวกับว่าแม้แต่รับโทรศัพท์เขาก็ยังไม่ยินดีเลยแม้แต่น้อย
มือหลินฝานที่ถือมือถืออยู่สั่นเทา เพียงชั่วครู่เดียวไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร
‘เขารู้อยู่แล้ว ไป๋จิ่งเกลียดเขาออกขนาดนี้ จะส่งเขาไปโรงพยาบาลได้ยังไงกัน’
ในเมื่อไป๋จิ่งไม่รู้เรื่องที่เขาอยู่โรงพยาบาล เขาเองก็จะไม่เอ่ยถึงแล้ว
จะได้ไม่ให้ไป๋จิ่งคิดว่าเขากำลังเรียกร้องขอความเห็นใจ
“ไม่มีอะไร ก็แค่อยากจะถามนายว่าคืนนี้อยากจะกินข้าวด้วยกันไหม”
หลินฝานหาข้ออ้างไปเรื่อยเปื่อย
เดิมไป๋จิ่งอยากจะปฏิเสธ แต่คิดดูแล้ว ก็เอ่ยอีกครั้ง “อืม”
หลินฝานตะลึงงัน คิดว่าตัวเองฟังผิด เขารีบกุมมือถือไว้ แล้วเอ่ยซ้ำอีกประโยค “นาย นายคืนนี้นายจะกลับมากินข้าวด้วยกันเหรอ”
เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าเสียงของตัวเองเจือความดีใจอย่างชัดเจน
ในใจไป๋จิ่งกำลังคิดอย่างอื่นอยู่ ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ได้ยินคำถามของหลินฝานแล้วเอ่ยขานรับ “อืม” จากนั้นก็วางสายไป