ตอนที่ 516 เลิ่กลั่กนิดหน่อย
เขารีบทำใจให้หนักแน่น เขาเป็นหมอมาดูอาการคนไข้มีอะไรให้ต้องละอายใจ ต้องหวั่นใจด้วย
คิดได้เช่นนี้ เหยียนอวี้ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรให้ต้องกระวนกระวายใจเลยสักนิด
เขามองมั่วไป๋ด้วยความมีเหตุผลเต็มที่ที่จะพูดได้เต็มปาก “นายมองฉันแบบนี้ทำไมกัน”
มั่วไป๋กุมขมับ เมื่อคืนกว่าจะหลับลงได้ก็ใช้เวลาตั้งนาน ตอนเช้าก็ยังตื่นเช้ามาก นี่ทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายจริงๆ
พอเหยียนอวี้เห็นเขาขมวดคิ้ว ก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหาทันที “เป็นไปไร ไม่สบายเหรอ”
มั่วไป๋ส่ายหัว เอ่ยถามกลับ “นายเป็นไรไป ทำไมเช้าขนาดนี้”
เหยียนอวี้ชักจะไปต่อไม่เป็นแล้ว นี่จะให้ว่ายังไง หรือว่าจะพูดตัวเองมาเช้ามาเดินเล่นที่ห้องนายเหรอ
คำพูดน่าอ่ายเช่นนั้น เหยียนอวี้ไม่มีทางพูดออกมาหรอก
ดังนั้น เขาจึงวางมาดเคร่งขรึมจริงจัง เต็มเปี่ยมไปด้วยคำว่า ‘จรรยาบรรณวิชาชีพหมอ’ “ฉันเป็นหมอมาดูคนไข้ของฉัน มีอะไรไม่ถูกต้องเหรอ”
“ถ้านายไม่ทำหน้าเหมือนกำลังดูละครอยู่ อะไรก็ถูกต้องหมด”
เหยียนอวี้รีบลูบใบหน้าของตัวเอง อะไรกัน สีหน้าของเขาเมื่อกี้นี้ดูชัดเจนเกินแล้วเหรอ
ในเมื่อมั่วไป๋ดูออกว่าเขาทำหน้าเหมือนกำลังดูละครอยู่ เช่นนั้นเขาก็คร้านจะปิดบังแล้ว เขาทำหน้าสงสัยพลางชี้ไปที่ไป๋จิ่งที่อยู่บนโซฟา “เมื่อคืนเจ้าหมอนี่ต้องเข้ามาเองให้ได้เลยใช่ไหม”
แน่นอน หมอเหยียนค่อนข้างจะเป็นคนจิตใจดี ไม่ได้แถมคำว่า ‘หน้าด้านหน้าทน’ สี่คำนี้เพิ่มเข้าไปด้วย
ยังไว้หน้าไป๋จิ่งบ้างนิดหนึ่ง
มั่วไป๋ได้ยินคำพูดนี้ ก็เลิ่กลั่กอยู่ในที ไม่ได้ตอบกลับเขาไป
‘จะให้เขาพูดยังไงได้ ไม่ใช่ไป๋จิ่งอยากเข้ามาเอง แต่เป็นเขาที่ไม่รู้ว่าใจดีมาจากไหนถึงได้เป็นฝ่ายเรียกไป๋จิ่งเข้ามาเอง’
มั่วไป๋รู้สึกวว่าถ้าตัวเองพูดแบบนี้กับเหยียนอวี้ไป เหยียนอวี้ต้องมีคำพูดจะพูดกับเขาต่ออย่างแน่นอน
ดังนั้นคิดดูแล้ว รักษาความเงียบไม่พูดยังจะดีกว่า
เหยียนอวี้เห็นเขาทำหน้ากระอักกระอ่วนใจ ช่างเถอะ ช่างเถอะ ใครใช้ให้เจ้าหมอนั่นเป็นคนไข้ของเขาล่ะ เขาไม่ซักไซ้ต่อแล้ว
‘แต่ว่า…’
“นี่ไป๋จิ่งเขาหลับลึกขนาดนี้เลยเหรอ”
พวกเขาสองคนพูดคุยกันนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด
มั่วไป๋ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ทันใดนั้นก็รู้ว่าไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่แล้ว
เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนไป๋จิ่งไม่ได้หลับลึกขนาดนี้ ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีความทรงจำในช่วงเวลาหนึ่งที่เขากับไป๋จิ่งเคยร่วมเตียงเคียงหมอนกันมาอยู่
‘ไป๋จิ่งเจ้าหมอนี่ถือว่าตื่นตัวเร็วมาก’
แต่ครั้งนี้ที่เหยียนอวี้เข้ามา คนที่สังเกตเห็นก่อนคือเขา ไม่ใช่ไป๋จิ่ง
อีกอย่างเขากับเหยียนอวี้คุยกันมาจนถึงตอนนี้แล้ว ไป๋จิ่งก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด ไม่ค่อยจะปกติแล้วจริงๆ
ด้วยเหตุนี้มั่วไป๋จึงดึงผ้าห่มบางๆ ออก พร้อมลงจากเตียงใส่รองเท้าแตะเดินเข้าไปหา
ไป๋จิ่งนอนหันหลังให้พวกเขา ดังนั้นเขาจึงเห็นสภาพการณ์ของไป๋จิ่งไม่ชัดเจน
มั่วไป๋ยืนอยู่ข้างๆ เสียงต่ำเอ่ยเรียกสองครั้ง ไป๋จิ่งก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด
เหยียนอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ยื่นมือไปผลักไป๋จิ่งเบาๆ ก็เห็นแค่เพียงเขาร้อนลวกไปทั้งตัว
เขาตะลึงงันทันที รีบพลิกตัวไป๋จิ่งกลับมา ก็เห็นเพียงแค่ร่างที่ร้อนลวก แก้มแดง แม้แต่ลมหายใจก็มีความร้อนออกมาด้วย
เหยียนอวี้ส่งมือไปพร้อมเอ่ยทันที “ไข้เขาขึ้นค่อนข้างสูง เดี๋ยวฉันจะตามคนมา พาเขาไปรักษา”
มั่วไป๋เองก็ยื่นมือไปลูบใบหน้าของไป๋จิ่งสักพัก อุณหภูมินั้นกลับสูงมาก
ไม่รู้ว่าไป๋จิ่งเริ่มไข้ขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้
มิน่าล่ะตอนเช้าถึงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด
ไข้ขึ้นจนกลายเป็นสภาพนี้ ลุกขึ้นมาตอบโต้ได้ก็แปลกแล้ว
เหยียนอวี้โทรศัพท์แล้ว เพียงไม่นานก็มีหมอสองคนเดินเข้ามา ยกไป๋จิ่งขึ้นเตียงรถเข็นแล้วเข็นออกไป
เดิมทีมั่วไป๋เตรียมจะเดินออกไปด้วย แต่กลับถูกเหยียนอวี้ห้ามไว้เสียก่อน
“นายอย่าเพิ่งออกไปเลย ข้างนอกอุณหภูมิต่ำ ถ้านายเป็นหวัด จะยิ่งยุ่งยากกว่าเขาอีกนะ”
ตอนที่ 517 ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
มั่วไป๋เห็นสถานการณ์แล้วต้องจำใจพยักหน้ารับรออยู่ที่ห้อง
ขณะที่เหยียนอวี้เตรียมจะออกไปจากห้อง จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า “เอ่อใช่ เดี๋ยวฉันจะให้คนมาฆ่าเชื้อที่ห้องนี้”
มั่วไป๋รู้ว่าที่เขาอยากพูดก็คือเมื่อคืนไป๋จิ่งนอนอยู่ในห้องแบบนี้ดีกับเขามากกว่า
เหยียนอี้เป็นหมอ เขาต้องไม่ปฏิเสธเป็นธรรมดา
แต่ว่า…มั่วไป๋ครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามขึ้น “แล้วเขาพักอยู่ห้องพักผู้ป่วยกับฉันได้หรือเปล่า”
เหยียนอวี้เงียบงันสักพัก “รอทำการรักษาเสร็จ ฉันดูอาการแล้วค่อยว่ากัน”
มั่วไป๋พยักหน้า “โอเค รบกวนแล้ว”
เหยียนอวี้ไม่ได้พูดอะไรเรื่องนี้อีก แค่เพียงบอกว่าเดี๋ยวจะมีคนกลับมาส่งอาหารเช้าให้เขา ให้เขากินอาหารเช้าตามเวลา พูดจบก็ออกไปจากห้องแล้ว
ไป๋จิ่งไม่ได้มีอะไรสาหัส ก็เพียงแค่เอาแต่เฝ้าอยู่โรงพยาบาล ไม่ได้พักผ่อนดีๆ เป็นหวัดแล้วมีไข้ต่ำสะสมมาตลอด ดังนั้นเมื่อวานถึงได้ไข้ขึ้นกะทันหันจนเป็นสภาพเช่นนี้ได้
เหยียนอวี้เห็นเขาไม่ได้เป็นอะไรมากมาย จึงให้คนเอาเตียงไปเพิ่มในห้องของมั่วไป๋อีกหนึ่งเตียง ส่งตัวไป๋จิ่งเข้าไป
ขณะที่ไป๋จิ่งถูกส่งตัวมา มั่วไป๋ยืนอยู่หน้าหน้าต่าง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เหยียนอวี้พาคนมาส่ง แล้วบอกกับมั่วไป๋ทันทีว่า “เขาไม่เป็นไร นอนสักพักก็โอเคแล้ว”
เวลานี้เองมั่วไป๋ถึงได้โล่งใจไปโดยไม่รู้ตัว
เขาพยักหน้ารับ เหยียนอวี้ถึงค่อยเดินออกไปจากห้อง
หลังจากเหยียนอวี้ออกไปแล้ว มั่วไป๋เดินมาหยุดอยู่หน้าเตียงของไป๋จิ่ง ก้มหน้าลงมองไป๋จิ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไข้ลดลงไปบ้างแล้วหรือเปล่า
รู้สึกว่าใบหน้าไม่ได้แดงขนาดนั้นเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว
มั่วไป๋ยืนอยู่ข้างเขา พินิจมองอย่างจริงจัง
ไป๋จิ่งผอมลงกว่าก่อนหน้านี้เท่าตัว ดูเหมือนว่าจะซูบเซียวลงไปมากทีเดียว
อยู่โรงพยาบาลมาตั้งหลายวัน กลางคืนก็หลับไม่สนิท ยังมาป่วยอีก แล้วจะไม่ซูบเซียวได้อย่างไรกัน
มั่วไป๋มองดูริมฝีปากซีดขาวของเขา ในใจก็มีความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออก
บอกตามตรง เขาเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองคิดอะไรอยู่กันแน่
ให้อภัยไป๋จิ่งแบบนี้ ในใจเขาก็ไม่ยินดีเสมอ
แต่พอเห็นเขามาวนเวียนไปมาอยู่ต่อหน้าตัวเอง หัวใจก็โดนไป๋จิ่งทำให้สั่นไหวอีกครั้ง
เขากำหมัดเล็กน้อย มองดูใบหน้าไป๋จิ่งพลางถอนหายใจอย่างเงียบๆ
‘สรุปแล้วเขาต้องทำยังไงกับไป๋จิ่งดี…’
เพียงแต่น่าเสียดายคำตอบนี้ แม้แต่มั่วไป๋เองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
เขาอยู่ในห้องพักผู้ป่วยอีกสักพัก ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมมาสวมใส่ให้เรียบร้อย ถึงเพิ่งจะออกจากห้องพักผู้ป่วยไป
ถ้าอยู่อย่างนี้ต่อไป เขาคาดว่าตัวเองจะเป็นบ้าแล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สู้ลงไปสูดอากาศดีกว่า
มั่วไป๋ค่อยๆ เดินลงตึกไปอย่างช้าๆ ก็เห็นเก้าอี้แขวนในลานของโรงพยาบาลไม่มีคนอยู่พอดี
ปกติตรงนั้นมักจะมีเด็กๆ อยู่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นว่าไม่มีใคร
มั่วไป๋หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไป คนทั้งคนนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้แขวน ขณะที่แกว่งอยู่ก็ใจลอยไปด้วย
สมองบอกมั่วไป๋ว่าตัวเองควรจะจบสิ้นกับไป๋จิ่งได้สักที
แต่หัวใจกลับมีเสียงวนเวียนอยู่อย่างไม่ขาดสาย
โดยเฉพาะคำพูดเหล่านั้นที่ไป๋จิ่งพูดเมื่อวาน มั่วไป๋ไม่ยอมรับไม่ได้ คำพูดเพียงไม่กี่คำนั้นของไป๋จิ่งกลับปลุกระลอกคลื่นในทะเลสาบแห่งหัวใจที่เดิมทีเป็นดั่งเช่นเถ้าถ่านที่ดับมอดไป
ไม่มีใครชอบความโดดเดี่ยว
โดยธรรมชาติเขาเองก็ใช่
มั่วไป๋เคยวาดฝันอยู่ทุกวัน ถ้ามีคนที่ชอบตัวเองด้วยความจริงใจได้ เขาคนนั้นจะดีกับตัวเอง แล้วตัวเองก็จะดีกับเขาคนนั้นเช่นกัน
พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน พึ่งพาซึ่งกันและกัน ตลอดชีวิตไม่อาจแยกจาก
แต่ขณะเดียวกันเขาเองก็กลัวความผิดหวัง
‘ถ้าพนันอีกครั้ง แต่กลับยังแพ้พนันอีกล่ะ’
มั่วไป๋บีบนิ้วมือ ก็เห็นแค่เพียงนิ้วมือเรียวเล็กที่ขาวซีดเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ มั่วไป๋ใจลอยนั่งพิงเก้าอี้อยู่ตรงนั้น คนที่เดินผ่านไปมาตลอดต่างก็รู้สึกว่าแปลกมาก อดจะมองแล้วมองอีกไม่ได้
เห็นเพียงแค่หนุ่มน้อยชาวจีนคนนั้นรูปร่างหน้าตาดีมาก แต่จากมุมที่มองเข้าไปกลับดูเปราะบางเหลือเกิน
เขาเบิกตาดู แต่กลับไม่รู้ว่ากำลังมองอะไรอยู่ เวลาผ่านไปนานก็ไม่มีท่าทีตอบสนอง