ตอนที่ 524 ยังจะให้เล่าต่อไหมครับ
ร่างกายสูงใหญ่ของเขาเกร็งตัวขึ้นมาโดยอัตโนมัติ สั่นเทาเล็กน้อย
เหยียนอวี้มองเขาด้วยความเป็นห่วง “ยังจะให้เล่าต่อไหมครับ”
ราวกับเสียงนี้เล็ดลอดไรฟันออกมา ไป๋จิ่งยังคงเอ่ยด้วยความยากลำบาก “ต่อเลยครับ”
เหยียนอวี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ใบหน้ารักษาหายดีแล้ว แต่สำหรับมั่วไป๋แล้ว บาดแผลบนใบหน้าเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ที่ยิ่งสาหัสกว่านั้นคือระบบของประสาท”
เหยียนอวี้ครุ่นคิดแล้วเอ่ยเสริมต่อ “จะว่าง่ายๆ ก็คือสมองของเขามีปัญหา เริ่มจากการเกิดภาวะประสาทเปลี้ย[1] หลังจากนั้นก็เริ่มเกิดภาวะของโรคจิตเภท[2] เหมือนคนสติไม่สมประกอบ”
เขาหลับตาลง พูดสิ่งเหล่านี้ออกมาอย่างยากลำบาก “วันที่สองของการส่งตัวมา มั่วไป๋ก็ฟื้นแล้ว เขาลืมตา แต่กลับเหมือนมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าเขาก็แค่รับบาดแผลบนใบหน้าเขาไม่ได้ จึงมีสภาพแบบนี้ได้…
…แต่ต่อมาผมก็พบว่ามันไม่ใช่แบบนี้เลยครับ เมื่อถึงการผ่าตัดครั้งที่สิบกว่าๆ ใบหน้าของเขาก็ดีขึ้นมาบางส่วนแล้ว ไม่ได้ดูน่าตกใจเหมือนตอนแรก เจียงมู่เฉินคอยอยู่ข้างกายมั่วไป๋ พูดคุยกับเขาทุกวัน…
…แต่มั่วไป๋ไม่มีท่าทีตอบสนองอะไรสักอย่าง จนผ่านการผ่าตัดมาถึงครึ่งทางแล้ว ผมถึงได้ค้นพบกะทันหันว่าเพราะเขาได้การกระทบกระเทือนทางจิตใจที่ใหญ่มากเกินไป ทำให้เกิดการปิดกั้นตัวเอง ไม่ยอมจะเผชิญหน้ากับใครทั้งนั้น เพิ่งจะเริ่มก็แค่ไม่พูดจา ไม่มีท่าทีตอบสนอง ไม่หลับไม่นอนทั้งคืน นั่งขดตัวอยู่ที่มุมๆ หนึ่งคนเดียว…
…เวลานั้นนอกจากเจียงมู่เฉินคนเดียวที่เข้าใกล้เขาได้ คนอื่นก็ไม่มีทางจะเข้าใกล้มั่วไป๋ได้เลย แม้แต่ผมที่เป็นหมอรักษาเขาก็ยังต้องใช้เวลานานมากๆ กว่าจะทำให้เขายอมรับผมได้”
เหยียนอวี้เงยหน้ามองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง “คุณคงจะไม่มีทางคิดฝันถึงชีวิตแบบนั้นได้หรอกครับ”
ไป๋จิ่งคิดว่าตัวเองมีความกล้าพอจะประคองตัวเองฟังเหยียนอวี้จนจบได้
แต่เหยียนอวี้เพิ่งจะเอ่ยเกริ่นนำเท่านั้น เขาก็ใช้แรงที่มีทั้งกายไปจนหมดสิ้นแล้ว
น้ำเสียงเย็นชาของเหยียนอวี้ทิ้งดิ่งกลางอากาศ “แน่นอนนี่ก็แค่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น…
…ต่อมาอาการของเขายิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ถึงขึ้นเกิดสภาวะเสียสติ…
…ผมจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งเขาปีนขึ้นหน้าต่าง อีกนิดเดียวจะกระโดดลงไปแล้ว…ถ้าไม่ใช่เจียงมู่เฉิน ถ้าไม่ใช่เขา มั่วไป๋ก็คงจะตายไปนานแล้ว” เหยียนอวี้กะพริบตา นัยน์ตาเจือรอยยิ้ม “คุณสงสัยแปลกใจมากใช่หรือเปล่าครับ ว่าทำไมความสัมพันธ์ของเจียงมู่เฉินกับมั่วไป๋ถึงดีได้ขนาดนี้”
เจียงมู่เฉินคือคุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้ที่คาบช้อนทองมาตั้งแต่เกิด
เย่อหยิ่งยิ่งกว่าใคร
แต่กลับเป็นเพื่อนกับมั่วไป๋ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงได้ จนกลายมาเป็นเพื่อนที่สนิทกันที่สุด
ก่อนหน้านี้ตอนที่ไป๋จิ่งเห็นเจียงมู่เฉินอยู่กับมั่วไป๋ เขาก็รู้สึกแปลกมาก รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาดีจนใครก็เข้าไปแทรกไม่ได้
แต่ตอนนี้เขาเข้าใจได้ในทันทีแล้ว
เจียงมู่เฉินช่วยชีวิตมั่วไป๋ไว้สองครั้ง ทั้งยังคอยอยู่เคียงข้างมั่วไป๋เป็นเวลากว่าครึ่งปี
เขาเห็นมั่วไป๋ค่อยๆ ยืนขึ้นมาใหม่ทีละนิดๆ
คนที่เคยผ่านความตายมา ความสัมพันธ์จะไม่ดีได้อย่างไรกัน
ก็เหมือนกับที่เหยียนอวี้พูดมาอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่เจียงมู่เฉิน มั่วไป๋คงจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ได้แล้ว
เวลาผ่านไปนานพอสมควร ไป๋จิ่งกดเก็บความเจ็บปวดที่บาดลึกลงในใจ เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “แล้วหลังจากนั้นล่ะครับ”
“หลังจากนั้นเหรอครับ…หลังจากนั้นก็บำบัดรักษาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ครั้งแล้วครั้งเล่า”
การบำบัดรักษาแบบนั้น แม้แต่เขาที่เป็นหมอก็รู้สึกหมดหวังแล้ว
เหยียนอวี้จำได้ เวลามากมายส่วนใหญ่ในความทรงจำของเขา มั่วไป๋คือคนที่นั่งใจลอยขดตัวอยู่ที่มุมผนังห้อง แรกเริ่มไม่พูดจา ต่อมาเริ่มทำร้ายตัวเอง
ครั้งแรกที่เจียงมู่เฉินพบว่าเขาทำร้ายตัวเองคือตอนเที่ยงคืน
กว่าเขาจะค้นพบ มั่วไป๋นั่งขดตัวอยู่ที่มุมผนัง ถือมีดกรีดไปตามแขนทีละนิดๆ
[1] ภาวะประสาทเปลี้ย (neurasthenia) เป็นโรคประสาทอย่างหนึ่งที่มีอาการอ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย ปวดศีรษะ ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ และขาดความสามารถที่จะสนุกสนานรื่นเริง อาจเกิดภายหลังหรือร่วมกับการติดเชื้อ การหมดกำลัง หรือจากมีความกดดันทางอารมณ์เป็นเวลานานๆ
[2] โรคจิตเภท (Schizophrenia) เป็นโรคความผิดปกติทางจิตที่รุนแรงและเรื้อรัง ส่งผลต่อการพูด การคิด การรับรู้ ความรู้สึก และการแสดงออกของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการต่าง ๆ อย่างประสาทหลอน หลงผิด ปลีกตัวจากสังคม หรือไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ ซึ่งปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้ จึงยังไม่มีวิธีรักษาที่เฉพาะเจาะจง แต่ผู้ป่วยอาจบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นได้ โดยต้องเข้ารับการรักษาเพื่อควบคุมอาการไปตลอดชีวิต
ตอนที่ 525 ไม่ปกปิดเลยแม้แต่น้อย
เจียงมู่เฉินตกใจจนไม่ไหว ต้องมาดูมั่วไป๋ทุกวัน ช่วงเวลานั้นเจียงมู่เฉินไม่กล้านอนหลับแม้สักคืน
ไม่กล้าห่างมั่วไป๋แม้เพียงก้าวเดียว
กลัวว่าถ้าตัวเองห่างจากมั่วไป๋ มั่วไป๋จะทำร้ายตัวเองได้
เหยียนอวี้ยังจำได้ คุณชายน้อยผู้เย่อหยิ่งคนนั้นตอนที่พบว่ามั่วไป๋กำลังเตรียมจะฆ่าตัวตาย ก็พุ่งเข้าไปดึงมั่วไป๋เข้ามากอดอย่างบ้าคลั่ง
ร้องโวยวายโดยไม่สนใจภาพลักษณ์เลยสักนิด “นายแม่งเป็นคนของคุณชายนะ ใครแม่งจะให้นายตาย…
…นายแม่งวันหลังอย่าทำอะไรอย่างนี้อีกนะ ได้ยินไหม!”
เขาร้องตะโกนไปด้วย พลางร้องไห้ไปด้วย
เหมือนว่าในความทรงจำของเหยียนอวี้ เจียงมู่เฉินเสียอาการที่สุดแล้ว
มั่วไป๋เห็นใบหน้าอาบน้ำตาของเจียงมู่เฉิน แววตาที่เดิมทีเลื่อนลอยไม่ได้สติก็เปล่งประกายขึ้นมาเล็กน้อย
ทันใดนั้นเขาก็เอื้อมมือไปซับน้ำตาบนใบหน้าของเจียงมู่เฉิน เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “โอเค”
เจียงมู่เฉินตะลึงงันอยู่ที่เดิม ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเท่าไหร่นัก
ไม่ใช่แค่เจียงมู่เฉินที่ตอบสนองกลับมาไม่ได้ แม้แต่เหยียนอวี้หมอที่เป็นคนรักษาเขาเองก็ตอบสนองกลับมาไม่ได้
ต่อมามั่วไป๋ก็เอ่ยปากพูดประโยคที่สองตั้งแต่ที่เขามาอยู่ในโรงพยาบาลนี้ “อย่าร้องไห้สิ ไม่น่าดูเลย”
เจียงมู่เฉินได้ยินประโยคนี้ เขากะพริบตาปริบๆ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็กอดมั่วไป๋ไว้ “นายพูดก็ดีแล้ว คุณชายเอาจริงนะ ถ้านายหลอกกัน คุณชายจะไม่ปล่อยนายไปแน่”
มือมั่วไป๋ที่วางอยู่ข้างๆ โอบกอดเจียงมู่เฉินไว้หลวมๆ เขาพยักหน้าเบาๆ ท่าทางเบามากเบาจนเกือบจะไม่ให้
แต่แรงเพียงน้อยนิดนี้กลับทำให้เจียงมู่เฉินโล่งใจไปที
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา อาการของมั่วไป๋ฟื้นฟูนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านจิตใจ หรือว่าบาดแผลบนใบหน้า
ใจที่เจียงมู่เฉินยกไว้มานานแสนนาน ในที่สุดก็ปล่อยลงได้เสียที
ไม่รู้ว่าเจียงมู่เฉินไปคุยกับพ่อแม่เขาอย่างไร เขาได้อยู่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนมั่วไป๋จากนั้นเป็นต้นมา
ไม่ห่างแม้สักก้าวกว่าครึ่งปีเต็มๆ
ในการผ่าตัดทุกครั้ง เขายืนหยัดอยู่เคียงข้างมั่วไป๋เสมอ ไม่เคยจะจากไปไหนแม้สักครั้ง
เพื่อนที่จะทำได้แบบเจียงมู่เฉินก็คงจะมีไม่กี่คนแล้ว
แต่ว่ายังโชคดีที่มีเจียงมู่เฉินคอยอยู่เป็นเพื่อนตลอดครึ่งปีนี้ ในที่สุดมั่วไป๋ก็ออกจากโรงพยาบาลได้
เพียงแต่ว่ามั่วไป๋กลับขออยู่ที่นี่ต่อ ไม่กลับถานโจวแล้ว
เจียงมู่เฉินกับเหยียนอวี้ต่างก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เหยียนอวี้คิดว่าอยู่ที่นี่ต่อก็ดี เขาอยู่ใกล้ ถ้ามั่วไป๋มีเรื่องอะไร ยังจะช่วยดูแลกันได้
ด้วยเหตุนี้จึงยอมตกลงให้
ทีแรกเจียงมู่เฉินไม่เห็นด้วยทั้งนั้น
เพราะว่าเขาอยู่ที่นี่นานพอแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงผู้สืบทอดกิจการของเจียงเฉินกรุ๊ป เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ข้างนอกนี้ไปตลอดชีวิต
แต่ให้มั่วไป๋อยู่ที่นี่คนเดียว เขาก็ไม่ค่อยจะวางใจเท่าไหร่นัก ดังนั้นพอมั่วไป๋เริ่มพูดเรื่องนี้มา เจียงมู่เฉินจึงไม่เห็นด้วยทั้งนั้น
สุดท้ายไม่รู้ว่ามั่วไป๋ไปพูดอะไรกับเจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินถึงได้ยอม
แต่ก่อนที่จะไป เจียงมู่เฉินไปหาคอนโดมิเนียมกับมั่วไป๋ด้วยตัวเอง อยู่เป็นเพื่อนเขาสักสี่ห้าวัน รู้สึกว่าเขาไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ถึงได้เดินทางกลับถานโจวไป
เดิมทีมั่วไป๋ก็เป็นคนพูดน้อยมากอยู่แล้ว หลังจากเจียงมู่เฉินไป เขาก็ยิ่งพูดน้อยลงไปอีก
ข้างกายเขาไม่มีเพื่อนคนไหน เพื่อนคนเดียวก็มีเพียงแค่เหยียนอวี้
เหยียนอวี้เป็นห่วงอาการป่วยของเขา ดังนั้นจึงเข้ามาแวะดูอาการมั่วไป๋สัปดาห์ละครั้งเสมอ
เพียงแต่ว่ายังดีที่หนึ่งปีต่อมา อาการป่วยของมั่วไป๋โดยพื้นฐานคงที่แล้ว การใช้ยาก็ควบคุมได้แล้วเช่นกัน
จนกระทั่งกลับมาครั้งนี้ ถึงได้เกิดปัญหาอีกครั้ง
……
“นี่คือสิ่งที่คุณอยากรู้ทั้งหมด” เหยียนอวี้ถอนหายใจ “ผมเล่าให้คุณฟังตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ปกปิดเลยแม้แต่น้อยครับ”
ไป๋จิ่งพยักหน้ารับ เวลาผ่านไปนานแล้ว แต่เขาก็พูดอะไรไม่ออก
ผ่านไปหลายนาที เขายันตัวลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ เงาร่างสูงใหญ่โคลงเคลงเล็กน้อยเหมือนจะยืนทรงตัวไม่ค่อยอยู่
เขาหันหน้ามุ่งเดินไปข้างนอก ก่อนจะออกไปก็เอ่ยขอบคุณกับเหยียนอวี้ครั้งหนึ่ง