ตอนที่ 530 ออกไปเดินเล่นกัน
เหยียนอวี้มองไป๋จิ่งด้วยท่าทีเคร่งขรึม สีหน้าค่อนข้างดูหนักอึ้งทีเดียว เขาอ้าปากจะพูด แต่กลับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีก
ท่าทางแบบนั้นทำเอาไป๋จิ่งรู้สึกกลัวนิดหน่อยแล้ว เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมั่วไป๋ แล้วยังเป็นสีหน้าแบบนี้อีก
‘หรือว่าอาการป่วยของมั่วไป๋…’
เขามองเหยียนอวี้อย่างร้อนใจ “มั่วไป๋เป็นไรไปครับ”
“อาการป่วยของมั่วไป๋…เกิดปัญหานิดหน่อยครับ” ขณะที่เหยียนอวี้พูดอยู่ ในใจก็ภาวนาไปด้วย เขาพูดอย่างนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาเช่นกัน
โรคทางใจยังจำเป็นต้องใช้ยาใจรักษา รอพวกเขาคืนดีกันแล้ว จะเป็นการลงแรงน้อยที่ได้ผลสูงได้ไปโดยปริยาย
ด้วยเหตุนี้คิดได้เช่นนี้แล้ว เหยี่ยนอวี้ก็มีเหตุผลที่จะอ้างได้เต็มปากเต็มคำแล้ว
“อาการป่วยของเขาทรุดลงครับ” เหยียนอวี้ถอนหายใจ “ดังนั้นที่ผมให้คุณออกมา ก็อยากจะพูดกับคุณว่า ช่วงนี้คุณดูแลมั่วไป๋ดีๆ คุยกับเขาเยอะๆ อยู่ใกล้ชิดเขา”
ไป๋จิ่งได้ยินเหยียนอวี้พูดแบบนี้ เขาก็ค่อนข้างจะกระวนกระวายใจทีเดียว “ขอเพียงแต่อยู่ใกล้ชิดก็ดีขึ้นแล้วเหรอครับ”
เหยียนอวี้ส่ายหัว ไป๋จิ่งหัวใจบีบคั้น
แล้วเหยียนอวี้ก็เอ่ยด้วยท่าทีไม่ล้อเล่น “แค่อยู่ใกล้ชิดกันต้องไม่มีประสิทธิผลอะไรเป็นธรรมดาครับ”
“งั้นผมต้องทำยังไงบ้างครับ”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณอยู่กับเขาหนึ่งวันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงใช่ไหมล่ะครับ คุณก็พูดคุยกับเขาเยอะๆ ให้กำลังใจเขา อยู่เป็นเพื่อนทำเรื่องที่เขาชอบ ให้เขาดีใจประหลาดใจสักหน่อย”
ไป๋จิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คุณก็รู้ว่าสภาพจิตใจเป็นลบไม่ใช่เรื่องดีอะไรต่อร่างกายผู้ป่วย แต่ถ้าสภาพจิตใจดีแล้ว ร่างกายก็จะดีขึ้นได้โดยธรรมชาติ”
ไป๋จิ่งครุ่นคิดแล้ว รู้สึกว่าสิ่งที่เหยียนอวี้พูดมาก็มีเหตุผล
ด้วยเหตุนี้จึงตกลงรับปาก “ผมทราบแล้วครับ ผมจะพยายามทำให้เขามีความสุขให้ได้”
เหยียนอวี้ได้เขารับประกันแบบนี้ ก็พยักหน้ารับเงียบๆ ความปลื้มอกปลื้มใจราวกับเป็นพ่อคนปรากฏในแววตา
‘เขาเป็นหมอก็ยากเกินไปแล้วไหม ตอนนี้ยังต้องมาทำหน้าที่เป็นกาวประสานใจอีก’
“ยังมีอย่างอื่นอีกไหมครับ” ไป๋จิ่งเห็นเหยียนไม่พูด เสียงต่ำเอ่ยถามขึ้น
เหยียนอวี้ส่ายหัว “ไม่มีแล้วครับ เอาแค่นี้ก่อนแล้วกัน”
“งั้นผมเข้าไปแล้วนะครับ”
เหยียนอวี้พยักหน้า “ครับ เข้าไปเถอะ”
เขาเห็นไป๋จิ่งเดินไปแล้ว ก็ยิ้มอย่างปลื้มอกปลื้มใจ ครั้งนี้คงจะเพียงพอให้กลับมาคืนดีกันได้อยู่ใช่ไหม
พอคิดถึงภาพที่วันข้างหน้าทั้งสองคนรักกันชื่นมื่น เหยียนอวี้ก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากถึงมากที่สุด รู้สึกตัวเป็นหมอที่พยายามปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่จนถึงขั้นที่ต้องประดับดอกไม้แดงติดอกเป็นรางวัลชมเชย
หลังจากไป๋จิ่งเดินเข้ามาข้างใน เขาก็เห็นมั่วไป๋นั่งเอียงตัวบนโซฟา
ตอนที่เขาเดินเข้ามา มั่วไป๋เงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วก้มหน้าลงไปอีก
ที่มั่วไป๋คิดคือ เหยียนอวี้ต้องเปิดเผยอะไรบางอย่างแบบง่ายๆ กับไป๋จิ่งอย่างแน่นอน ถ้าตอนนี้เขาทำเป็นสนใจไป๋จิ่งกะทันหัน จะกระทบกระเทือนจิตใจที่เชื่อมั่นในตัวเองของไป๋จิ่งได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นมั่วไป๋จึงตัดสินใจทำเป็นเย็นชาก่อน รอจนกระทั่งไป๋จิ่งปรับตัวได้ แล้วค่อยมาสนใจเขาเล็กๆ น้อยๆ ไป
ใครจะคิดว่าความตั้งใจดีของเขาในสายตาไป๋จิ่งจะกลายเป็นเพราะว่าอาการป่วยหนักขึ้น ดังนั้นถึงได้ยิ่งเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ ได้ ไม่เกิดความสนใจอะไรสักอย่าง
ไป๋จิ่งย้อนนึกถึงท่าทีตอบสนองของมั่วไป๋เมื่อเช้านี้ รู้สึกว่าสิ่งที่เหยียนอวี้พูดมานั้นถูกต้อง อาการป่วยของมั่วไป๋หนักขึ้นจริงๆ
คิดได้เช่นนี้ ไป๋จิ่งก็ทนไม่ไหวแล้ว เดินเข้าไปหามั่วไป๋ “ผมพาคุณออกไปเดินเล่นไหม”
มั่วไป๋ประหลาดใจเล็กน้อย “ไปไหน”
ไป๋จิ่งไม่ได้พูดอะไรมากมาย เขาแค่บอกไปตรงๆ “ออกไปเดินเล่นกัน”
เดิมทีมั่วไป๋เตรียมจะโต้แย้ง แต่พอคิดถึงคำพูดเมื่อครู่นี้ของเหยียนอวี้ จึงจำใจต้องวางพู่กันในมือลง ก่อนจะพยักหน้ารับ “ก็ได้ ออกไปเดินเล่นกัน”
ไป๋จิ่งได้ยินมั่วไป๋ตอบรับ เขาโล่งใจทันที
เขารีบลุกขึ้นมาจากโซฟา สวมเสื้อคลุมให้มั่วไป๋ เวลานี้ถึงได้พาคนออกไปข้างนอก
ตอนที่ 531 ดูหนัง
หลังจากเข้ามาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล มั่วไป๋ก็ไม่เคยได้ออกมาข้างนอกอีก อยู่ในโรงพยาบาลทั้งวัน
คิดไม่ถึงว่าเวลาครึ่งเดือน ข้างนอกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองอร่ามตาไปทั่วทุกบริเวณ
เข้าสู่ฤดูใบไม่ร่วงแล้ว ข้าวนอกอากาศค่อนข้างเย็น บนพื้นยังมีไอน้ำเกาะอยู่พอประมาณ คิดดูแล้วคงเพราะเมื่อคืนมีฝนตก
ทั้งคนเดินเคียงกันอยู่ข้างนอก ไป๋จิ่งเอียงหน้ามองมั่วไป๋อยู่บ่อยครั้ง เห็นใบหน้าเขาไม่อมทุกข์ ถึงได้โล่งใจไปที
เดินไปได้สักช่วงเวลาหนึ่ง มั่วไป๋เห็นไป๋จิ่งไม่มีท่าทีตอบสนองอะไร เขาก็อดจะเอ่ยถามเสียงต่ำขึ้นมาไม่ได้ “นายพาฉันออกมาก็แค่เดินเล่นเหรอ”
ไป๋จิ่งโดนเขาถาม เพียงชั่วขณะหนึ่งก็ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไร
เขาก็แค่จู่ๆ เกิดอยากพามั่วไป๋ออกมาข้างนอกเฉยๆ เขาคิดว่ามั่วไป๋เก็บตัวอยู่แต่ในโรงพยาบาลคงจะไม่ดีเท่าไหร่นัก
ตอนที่เขาเสนอเรื่องนี้มา ไม่ได้คิดให้ดีจริงๆ ว่าจะพามั่วไป๋ออกมาทำอะไร
พอโดนเขาถามแบบนี้ ก็ยังตื่นตระหนกนิดหน่อย
ข้างๆ เห็นมีคนกำลังแจกใบปลิวอยู่พอดี ขณะที่ไป๋จิ่งกำลังลำบากใจอยู่นั้น เขาก็รีบยื่นมือไปรับมาทันที
เขาก้มหน้าอ่านคร่าวๆ ก็เห็นว่าเป็นใบปลิวของโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งพอดี
ไป๋จิ่งตาลุกวาว ได้ไอเดียขึ้นมาทันที
เขายิ้มหัวเราะ ถือใบปลิวแล้วพูดกับมั่วไป๋ “อยากไปดูหนังกันไหม”
มั่วไป๋เห็นใบปลิวเขียวๆ ลายๆ ขมับก็กระตุกแล้วกระตุกอีก หาข้ออ้างได้เรื่อยเปื่อยขนาดนี้เลยเหรอ
แต่ว่ามั่วไป๋คิดถึงเรื่องสมองของไป๋จิ่งแล้ว ไม่ได้หักหน้าเขา แต่พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ย “ได้”
นัยน์ตาไป๋จิ่งเปล่งประกายความดีใจ รีบก้มหน้าอ่านดูตำแหน่งของโรงภาพยนตร์ ซึ่งอยู่ข้างๆ นี้พอดี
ในใจเขาดีใจในทันใด รีบจูงมั่วไป๋เดินเข้าไป
ขณะที่มั่วไป๋โดนลากตัวไป คนทั้งคนตะลึงงัน ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ไป๋จิ่งจูงเขาเดินมุ่งไปข้างหน้าแล้ว
มั่วไป๋เดินตามอยู่ข้างหลัง ก้มหน้ามองดูมือที่ประสานกันกับไป๋จิ่งอยู่บ่อยครั้ง
เขาคิดแล้ว สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยเตือนไป๋จิ่ง ปล่อยให้เขาจูงมือเดินไปข้างหน้า
โรงภาพยนตร์ไม่ถือว่าอยู่ไกลเกินไป ซึ่งอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่อยู่ข้างๆลานจัตุรัสนี้
ทั้งสองคนเข้าไปในห้างสรรพสินค้าแล้วตรงขึ้นไปชั้นห้าทันที เลี้ยวไปมุมหนึ่งก็เห็นโรงภาพยนตร์แล้ว
รอจนกระทั่งมายืนอยู่ข้างในโรงภาพยนตร์ ไป๋จิ่งถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองจูงมือมั่วไป๋มาตลอดจนถึงตอนนี้ หัวใจเขาบีบคั้น ไม่ค่อยอยากจะปล่อยมือออกเท่าไหร่นัก
แต่ก็กลัวว่ามั่วไป๋จะไม่สบายใจ คิดดูแล้ว เขาถึงได้ปล่อยมือออก เสียงต่ำเอ่ยมาประโยคหนึ่ง “ขอโทษนะ เมื่อกี้ผมไม่ทันระวัง”
“อืม” มั่วไป๋ขานรับ ดูสีหน้าเขาไม่ออก
แต่นิ้วที่ตกลงมาด้านข้างกลับงอขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
ทั้งสองคนเลือกหนังไซไฟมาหนึ่งเรื่อง ถึงยังไงผู้ชายสองคนจะมาเลือกดูหนังรักโรแมนติกไม่ค่อยได้หรอกใช่ไหม
หลังจากพวกเขาซื้อตั๋วหนังแล้ว ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงถึงจะเข้าไปในโรงฉายได้ ทั้งสองคนนั่งรออยู่บนโซฟาข้างๆ
ข้างๆ มีคู่รักจำนวนไม่น้อยที่ส่วนใหญ่ในมือจะถือถังป๊อบคอร์นและแก้วเครื่องดื่มกัน
ไป๋จิ่งนัยน์ตาประกายวาบ เสียงต่ำเอ่ยกับมั่วไป๋ “คุณรอผมอยู่ที่นี่สักครู่นะ”
เขาพูดจบก็เดินออกไป เพียงไม่นานก็หอบป๊อบคอร์นถังใหญ่เดินกลับมา เขาหลุบสายตาลงต่ำไม่กล้ามองมั่วไป๋อย่างอายๆ
เขาเกร็งหน้าเอาถังป๊อบคอร์นยัดใส่เข้าไปในมือมั่วไป๋ แล้วหยิบโคล่าสองแก้วออกมาด้วย
“ให้…ให้คุณ”
มั่วไป๋ก้มหน้ามองป๊อบคอร์นที่กำลังแผ่กระจายกลิ่นหอมหวานขึ้นมาเรื่อยๆ
ไป๋จิ่งเห็นเขาเอาแต่จ้องมองป๊อบคอร์น แต่กลับไม่ทำอะไร ในใจเขาร้อนรนอยู่ไม่เบา คิดว่ามั่วไป๋ไม่ชอบ จึงยื่นมือไปหยิบป๊อบคอร์นขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วส่งเข้าไป
“คุณ…ลองชิมไหม”
น้ำเสียงของเขาเจือความตื่นเต้นที่พูดไม่ออก นิ้วมือที่ถือป๊อบคอร์นอยู่อ่อนแรงเพราะความตื่นเต้น
มั่วไป๋เงยหน้าขึ้นก็เห็นแววตารอคอยของไป๋จิ่ง
เขาคิดดูแล้ว สุดท้ายก็ก้มหน้าลงเข้าไปใกล้ กินป๊อบคอร์นชิ้นนั้นเข้าไปในปาก