เมื่อหลินเช่อได้ยินคำว่า ‘งานแต่งงาน’ เจ้าตัวก็รีบผงกหัวขึ้นอย่างประหลาดใจ “งานแต่งงานน่ะหรือคะ งานแต่งงานน่ะนะคะ”
กู้จิ้งเจ๋อเหลือบตาลงมองเธอ “เพราะว่าเธอไม่ได้มีอะไรเลยซักอย่างตอนที่เราแต่งงานกัน ปกติแล้วจะต้องจัดงานแต่งงาน มีแหวนแต่งงาน สวมชุดแต่งงาน แต่เธอไม่ได้เลยซักอย่างเดียว”
เมื่อหลินเช่อได้ยินดังนั้นก็เข้าใจ “ช่างมันเถอะค่ะ ฉันจะต้องการงานแต่งงานไปทำไมกัน”
ถึงยังไงการแต่งงานของเขากับเธอมันก็แค่การแต่งงานปลอมๆ แล้วจะจัดงานวิวาห์ไปเพื่ออะไร
อีกอย่าง พออีกหน่อยเธอและเขาหย่ากันแล้ว นี่มิต้องจัดงานหย่าอีกหรือไง
ไม่จัดซะเลยจะดีกว่า
“ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายหรอกค่ะ ฉันไม่เคยอยากได้งานแต่งงาน”
กู้จิ้งเจ๋อว่า “แต่ถ้าเธออยากได้งานแต่งงาน บอกฉันนะ หลินเช่อ เราจัดได้จริงๆ นะ”
“ไม่ต้องจริงๆ ค่ะ ฉันเกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ซะเปล่าๆ งานแต่งงานหรืออะไรพวกนั้นมันก็แค่พิธีการเท่านั้นเอง นี่เราอยู่ยุคไหนกันแล้วคะ เรายังต้องมีงานแต่งอีกเหรอ หรือว่าที่คุณทำแบบนี้เพราะรู้สึกผิด”
กู้จิ้งเจ๋อจับได้ถึงแววเยาะๆ ในสายตาของหลินเช่อ เหมือนกับว่าเธอมองเขาเป็นตาแก่หลงยุคมาจากไหน ชายหนุ่มจึงเริ่มอารมณ์ไม่สู้ดีขึ้นมานิดๆ อีกแล้ว เขาหันมองเธอและพูดว่า “ฉันรู้สึกผิดน่ะสิ เธอควรจะได้มีงานแต่งงาน งานแต่งงานนี่มันเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผู้หญิงทุกคนไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าใครก็มีกันทั้งนั้น เธอจะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ไม่ได้เข้าพิธีนี้ได้ยังไง มันไม่ยุติธรรมสำหรับเธอ”
หลินเช่อโบกมือ “ช่างเถอะค่ะ เราตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วนี่คะ ว่าเราไม่ต้องการพิธีแต่งงาน จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เปลี่ยนใจหรอกค่ะ ถ้าคุณรู้สึกผิดมากจริงๆ ละก็ แค่ซื้อของสวยๆ ให้ฉันอีกก็แล้วกัน”
“…”
กู้จิ้งเจ๋อมองอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ “ตามใจ…”
ชายหนุ่มเริ่มผลักรถเข็นของเธอไปข้างหน้า หลินเช่อยิ้มแล้วหันมาหาเขาพลางบอกว่า “คุณนี่คิดมากจังเลยนะคะ บอกตามตรงว่าฉันไม่เห็นรู้สึกอะไรเลยซักนิด”
คนเข็นรถตวัดสายตามอง “ใช่สิ ก็เธอมันยัยผู้หญิงไร้หัวใจนี่นา”
หลินเช่อไม่อยากได้ในสิ่งที่คนอื่นเขาอยากได้กัน เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม
เขาไม่ค่อยมีประสบการณ์การรับมือกับเพศตรงข้ามนัก แต่ในเมื่อหลินเช่อบอกว่าเธอไม่ต้องการงานแต่งงาน มันก็หมายความง่ายๆ ว่าเธอไม่ต้องการจริงๆ นั่นแหละ ตอนนี้เขาจึงทำได้แต่เพียงคิดเรื่องนี้แทนเธออยู่ในใจโดยไม่พูดอะไรอีก
ขณะเดินออกจากห้าง หลินเช่อยังคงก้มหน้าพินิจดูแหวนในมือไม่วางตา เป็นความจริงที่เธอไม่เคยนึกพิสมัยเครื่องประดับซักเท่าไหร่ แต่เมื่อนึกถึงว่าแหวนวงนี้ราคาแพงลิบแค่ไหน เธอก็อดปลื้มใจไม่ได้อยู่ดีนั่นเอง
ที่มันมาอยู่บนมือของเธอได้ก็เพราะกู้จิ้งเจ๋อเป็นคนมอบให้
หญิงสาวคิดกับตัวเองว่า มันคงจะเป็นเพียงการชดเชยที่กู้จิ้งเจ๋อมอบให้เธอแทนคำขอโทษ เพราะเขายังรู้สึกผิดต่อเธออยู่
แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังไม่รู้ว่าเหตุใดอารมณ์ของชายหนุ่มถึงได้แปรปรวนขึ้นๆ ลงๆ นักในวันนี้
หลินเช่อเอ่ยขึ้น “กู้จิ้งเจ๋อ คุณเล่าสิ่งที่คุณกำลังคิดอยู่ในใจให้ฉันฟังได้นะคะ ฉันยินดีเป็นถังขยะให้คุณเอง”
ชายหนุ่มปฏิเสธ “ไม่มีอะไรหรอก”
“จริงเหรอคะ คือฉันรู้สึกเขินๆ นิดหน่อยที่รับของขวัญราคาแพงขนาดนี้จากคุณน่ะ เร็วเข้าเถอะค่ะ เล่าอะไรมาหน่อย ฉันจะได้สบายใจได้บ้าง”
“…” ชายหนุ่มก้มหน้าลงมา “คือตอนที่ฉันคุยกับโม่ฮุ่ยหลิงวันนี้น่ะ เธอบอกว่าเธอจะไม่มาวุ่นวายกับฉันอีกต่อไปแล้ว”
“หืม..”
“อันที่จริงมันก็ไม่มีอะไรหรอก ก่อนหน้านี้ ฉันก็เคยคิดแล้วว่าความสัมพันธ์ของเรามันควรจะจบลงมาตั้งนานแล้ว มันไม่ดีสำหรับเราทั้งคู่ถ้ายังจะยุ่งเกี่ยวกันอยู่แบบนี้ทั้งที่เลิกรากันไปแล้ว แต่วันนี้ พอเธอเล่าถึงสิ่งที่เราสองคนมีร่วมกันมาในอดีตมันก็ทำให้อดรู้สึกผิดไม่ได้น่ะ”
หลินเช่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ และพูดว่า “คุณกับคุณหนูโม่รู้จักกันตั้งแต่ยังเด็กๆ นี่นา นี่พวกคุณคบหากันมาตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรือคะ”
“เปล่าหรอก ตอนเด็กๆ เธอเป็นฝ่ายคอยตามฉันไปทุกที่ แล้วก็เอาแต่เรียกฉันว่าพี่จิ้งเจ๋อ ตอนแรกฉันมัวแต่ทุ่มเททุกอย่างเพื่องาน ฉันเรียนโฮมสคูลกับครูที่มาสอนที่บ้าน และเรียนรู้ธุรกิจของครอบครัวไปพร้อมกัน ฉันก็เลยมักจะยุ่งอยู่เสมอ แต่ฮุ่ยหลิงก็คอยตามติดไม่เคยห่าง เธอไปกับฉันทุกที่ไม่ว่าฉันจะไปที่ไหน ด้วยเหตุนี้ ตอนที่เราไปอิตาลีด้วยกัน เราพากันไปที่จัตุรัสใจกลางเมืองเพื่อดูนกพิราบ ฉันก็เลยบอกเธอว่า ฉันอยากจะลองออกเดตกับผู้หญิงดูบ้างแล้ว”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ตอนนั้น ฉันอายุแค่สิบเจ็ด”
เมื่อหลินเช่อได้ยินว่ากู้จิ้งเจ๋อต้องวุ่นวายอยู่กับหน้าที่การงานตั้งแต่อายุยังน้อย เธอก็รู้สึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจ
ดูเหมือนว่าการเป็นคนรวยก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะ
หลินเช่อว่า “ถ้าอย่างนั้นตอนนั้น…คุณก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร”
และจากข้อเท็จจริงที่ว่า โม่ฮุ่ยหลิงสามารถติดสอยห้อยตามเขามาได้เป็นเวลานานหลายปีขนาดนี้ ก็แสดงว่าหล่อนเป็นคนทุ่มเทและอุทิศตนไม่น้อยทีเดียว
“ดูเหมือนว่าคุณหนูโม่จะทุ่มเทให้คุณไม่น้อยเลยนะคะ เป็นฉันคงไม่มีกะใจไล่ตามผู้ชายได้นานขนาดนี้แน่”
กู้จิ้งเจ๋อหันมามอง “เธอพูดอย่างกับว่าตัวเองไม่เคยแอบชอบไอ้กะเทยนั่นมาก่อนอย่างงั้นแหละ”
“นี่คุณ ฉินชิงไม่ใช่กะเทยนะคะ!”
เมื่อได้ยินหลินเช่อพูดจาปกป้องฉินชิงอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาก็ชักจะอารมณ์บูดขึ้นมาอีกรอบ “ถ้าไม่ได้เป็นกะเทยแล้วจะเป็นอะไรได้ หือ”
“ไม่ว่าจะยังไง เขาไม่ใช่กะเทยแน่นอน”
“ปกป้องเขาเสียงแข็งขนาดนี้ ยังจะมีหน้ามาบอกว่าไม่เคยมีใจอีกงั้นเหรอ”
สายตาของชายหนุ่มฉายแววเย้ยหยัน พ่นลมออกทางจมูกอย่างจะเยาะหนุ่มหน้าอ่อนผู้นั้น
“ฉันไม่ได้มีใจจริงๆ ค่ะ ฉันเองไม่ได้เฝ้าคอยติดตามเขาอยู่นานนักหรอก ไม่ถึงขนาดตามติดเป็นเงาตามตัวแบบนั้น…ฉันไม่ได้มีงานอดิเรกเหมือนพวกลูกสาวคนมีเงินพวกนั้นหรอกค่ะ ตอนนั้นน่ะ แค่มีอะไรให้กินอิ่มท้องก็ดีใจมากแล้ว ชีวิตแต่ละวันของฉันต้องเจอเรื่องสารพัด ความรักและเรื่องอื่นๆ น่ะเป็นสิ่งหรูหราเกินตัวค่ะ ช่างฉันเรื่องแอบรักข้างเดียวนี่เถอะ ฉันไม่เคยแม้แต่จะได้สารภาพกับเขาด้วยซ้ำไปค่ะ”
กู้จิ้งเจ๋อก้มลงจ้องหน้าหลินเช่อนิ่งนานก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ปกติแล้วฉันจะมีงานยุ่งมากอยู่ตลอด จนฉันไม่เคยคิดสนใจเรื่องโม่ฮุ่ยหลิงซักเท่าไหร่ เพราะอย่างนี้ เรื่องมันถึงได้คาราคาซังมาจนถึงตอนนี้ และนั่นก็เป็นเหตุผลเดียวที่เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหลายแหล่นี่ ถ้าตอนนั้นฉันยืนยันหนักแน่นกับครอบครัวของฉัน ว่าจะไม่ยอมแต่งงานกับใครอีกนอกจากโม่ฮุ่ยหลิง ครอบครัวฉันก็คงไม่บีบบังคับ เรื่องทั้งหมดนี่เป็นความผิดของฉันเอง เธอไม่ได้มีส่วนอะไรเลย”
ถ้าอย่างนั้นละก็
หลินเช่อมองหน้าเขา “แบบนี้เขาเรียกว่าคลาดแคล้วกันไปน่ะค่ะ ออกจะเป็นเรื่องชอกช้ำใจไม่เบาอยู่เหมือนกันนะคะ ขนาดฉันฟังแล้วยังอยากจะเขียนบทละครให้พวกคุณสองคนเลย”
กู้จิ้งเจ๋อมองหญิงสาวผู้มีความคิดพิลึกพิลั่นตรงหน้า
“แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปแล้วละ ตอนนี้ ความรู้สึกของฉันที่มีต่อเขามันแตกต่างจากในอดีตมาก”
ดวงตาของหลินเช่อกระตุกน้อยๆ ราวกับไม่อยากฟังเขาพูดถึงความสัมพันธ์กับโม่ฮุ่ยหลิงอีกต่อไป ลึกๆ ข้างในเธอต้องฝืนใจที่จะฟัง ลำพังแค่รู้เรื่องความเป็นมาในอดีตที่ทั้งคู่มีร่วมกันมันก็มากเกินพอแล้ว เธอไม่อยากได้ยินรายละเอียดเรื่องความรู้สึกของเขาที่มีต่อหล่อนอีกหรอก
“ไม่ค่ะ คุณไม่ต้องเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิตรักของคุณให้ฉันฟังก็ได้นะคะ ฉันไม่ได้อยากฟังนักหรอก” เธอบอกด้วยน้ำเสียงที่สั่นน้อยๆ
แต่กู้จิ้งเจ๋อยังไม่ยอมหยุด “ไม่ ฉันอยากเล่าให้เธอฟัง หลินเช่อ ฉันเองก็ไม่แน่ใจนักหรอกนะว่าฉันรู้สึกยังไงกับเธอ แต่ฉันแน่ใจว่าความรู้สึกของฉันที่มีต่อเธอแตกต่างจากที่ฉันมีกับฮุ่ยหลิง ฉันไม่อาจมอบชีวิตแต่งงานเหมือนคนทั่วไปให้เธอได้ แล้วฉันก็ยังไม่สามารถเป็นสามีที่สมบูรณ์แบบให้เธอได้อีกเหมือนกัน ฉันไม่สามารถมอบความรักทั้งหมดของฉันให้เธอได้…แต่สิ่งเดียวที่ฉันมีให้เธอได้ตอนนี้คือการซื่อตรงต่อเธอ”
หัวใจหลินเช่อหล่นวูบ ความรู้สึกขมขื่นในออกแทบจะทะลักออกมาทางดวงตา แต่เธอก็ยังไม่ร้องไห้ คำพูดแค่นี้ไม่ควรค่าที่เธอจะเสียน้ำตาให้หรอกน่า
หลินเช่อจึงยิ้มและตอบว่า “ก็ได้ค่ะ ถ้างั้นฉันก็เคารพการตัดสินใจของคุณ ฉันเองก็จะบอกคุณตรงๆ เหมือนกัน…”
กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าเธอ “อะไรรึ ความรู้สึกของเธอที่มีต่อฉันน่ะหรือ”
“สำหรับคุณแล้ว ฉันรู้สึกว่า…ฉันได้ใช้ประโยชน์จากคุณในเรื่องอย่างว่าน่ะค่ะ ฮ่าๆๆ …”
ยัยผู้หญิงคนนี้นี่มัน…
กู้จิ้งเจ๋อสวนกลับอย่างเหลืออด “เธอเพิ่งจะมาบอกฉันตอนนี้น่ะเหรอว่าเธอหื่นจัดน่ะ…ถ้าบอกฉันก่อนหน้านี้ละก็ ฉันคงยอมให้เธอใช้ฉันไปนานแล้ว”
“…” หลินเช่อร้อง “คุณนั่นแหละที่หื่น ฉันล้อเล่นต่างหากล่ะ”
“เธอก็รู้นี่ว่าฉันไม่ชอบพูดเล่น…ถ้างั้นบอกฉันหน่อยซิ ว่าใช้งานฉันแล้วมีความพึงพอใจแค่ไหน” กู้จิ้งเจ๋อก้มหน้าลงมาประสานสายตา เขาถามคำถามนี้ด้วยสีหน้าจริงจังยิ่งนัก มันทำให้แก้มเธอร้อนวูบขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจทันที
“ฉันไม่บอกคุณหรอก เชอะ!”
ชายหนุ่มยังไม่ยอมแพ้ “เธอไม่ยอมบอกเหรอ แต่ฉันอยากถามนี่นา เร็วซิ บอกหน่อยสิจ๊ะ”
“ฉันไม่มีทางบอกคุณหรอก คุณนี่น่ารำคาญชะมัด ฉันจะกลับบ้านละ” ว่าแล้วหลินเช่อก็จัดการดันวีลแชร์ตัวเองลิ่วไปข้างหน้า
คนตัวใหญ่รีบวิ่งตามไปโดยเร็ว เขาคว้ารถเข็นเธอไว้ได้แล้วถามว่า “นี่จะรีบหนีไปไหน เธอเป็นคนเริ่มพูดก่อนนะ”
“มัน…มันเป็นความผิดของฉันเอง พอใจรึยังล่ะคะ”
“ก็ได้ ฉันยกโทษให้ แต่…เธอต้องชดเชยให้ฉันตอนเรากลับไป…”
“…” หลินเช่อมองอีกฝ่ายตาขวาง พลางนึกสงสัยว่าท่าทีห่อเ**่ยวตรอมใจในตอนแรกของเขาหายไปไหนหมดแล้วในตอนนี้
แหงละ นี่พวกเพศผู้เขาเอาแต่คิดเรื่องใต้สะดือกันแบบนี้หมดทุกคนเลยหรือไงนะ