เฉินอวี่เฉิงก้าวลงมาจากทางเดินปูด้วยหิน และดึงเฉินโยวหรานเข้ามาหาอย่างรวดเร็วราวลมพัด
หญิงสาวไม่คิดเลยว่าอยู่ๆ เขาจะโผล่มาแบบนี้ เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองนายแพทย์หนุ่มด้วยความตกตะลึง
โจวหมิ่นฮั่นไม่พลาดที่จะสังเกตเห็นนาฬิกาและเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่อีกฝ่ายสวม ยังไม่ต้องพูดถึงรถแอสตันมาร์ตินคันละร่วมล้านที่จอดอยู่ทางด้านหลังของหมอนี่ด้วย
โจวหมิ่นฮั่นหันมามองชายหนุ่มผู้มาใหม่ด้วยความแปลกใจ “นายเป็นใคร ทำไมต้องเข้ามายุ่งเรื่องระหว่างฉันกับเฉินโยวหรานด้วย”
เฉินอวี่เฉิงเหลือบมองเฉินโยวหราน “แล้วแกล่ะเป็นใคร”
โจวหมิ่นฮั่นบอก “ฉันก็เป็นแฟนเฉินโยวหรานน่ะสิ”
“หืม ฉันไม่ยักได้ยินเธอพูดถึงนายมาก่อนเลยนะ” นายแพทย์หนุ่มทำเสียงเยาะๆ
โจวหมิ่นฮั่นมองอีกฝ่ายและนึกถึงสิ่งที่ตัวเองถามออกไปก่อนหน้านี้ จริงสิ ระยะนี้เฉินโยวหรานสนิทสนมใกล้ชิดกับเจ้านายของเธอนี่นา
“โอ้ ฉันรู้ละ นายคงเป็นเจ้านายของเธอล่ะสิ!” เขาว่า
เฉินอวี่เฉิงปรายตามองและพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า “ถ้าใช่แล้วจะทำไม”
โจวหมิ่นฮั่นได้ยินดังนั้นรีบหันขวับไปพูดกับหญิงสาวทันที “เฉินโยวหราน อย่าไปตกหลุมพรางมันนะ ผู้ชายรวยๆ ประเภทนี้ก็ดีแต่คอยหลอกผู้หญิงอ่อนต่อโลกอย่างเธอ เธอควรจะอยู่ให้ห่างหมอนี่เป็นดีที่สุด”
ขณะที่พูด โจวหมิ่นฮั่นก็ทำท่าจะเข้ามาคว้าตัวเธออีกครั้ง
แต่เฉินอวี่เฉิงคว้ามืออีกฝ่ายไว้และปัดออกไปให้พ้นทางเสียก่อน ความแรงนั้นทำให้โจวหมิ่นฮั่นถึงกับร้องเสียงหลงและล่าถอยออกไป
นายแพทย์ทำสีหน้าเย้ยหยัน และยกแขนขึ้นโอบรอบไหล่เฉินโยวหรานเอาไว้
หญิงสาวตัวแข็งทื่อรีบหันไปมองอีกฝ่ายทันควัน ตอนนี้ที่เธออยู่ใกล้ชิดเขา เธอไม่ยักได้กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อฉุนๆ ที่หมอทั่วไปมักจะมี แต่ตัวเขากลับมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนผลแอปเปิลเขียวแทน
เฉินอวี่เฉิงมองหน้าชายอีกคนที่กำลังจ้องมองด้วยความช็อกสนิท “ใช่แล้ว ฉันชอบหลอกพวกผู้หญิงอ่อนต่อโลกแบบนี้นี่แหละ ตอนนี้เธอเป็นแฟนฉันแล้ว ถ้านายยังจะกล้าเข้ามายุ่มย่ามอีกละก็ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ”
โจวหมิ่นฮั่นหน้าเปลี่ยนสี
ถึงแม้ว่าเฉินโยวหรานจะหน้าตาไม่เลว แต่ผู้ชายระดับนี้จะมาติดเนื้อต้องใจอะไรกับผู้หญิงอย่างหล่อนได้
“นี่พวกนายสองคน…ไม่มีทาง นายโกหก พวกนายไม่มีทางเป็นแฟนกันได้หรอก”
เฉินอวี่เฉิงมองอีกฝ่าย “ทำไมล่ะ หรือว่าเราจะต้องพิสูจน์ความใกล้ชิดกันให้นายเห็นก่อนถึงจะเชื่อ”
ขณะที่พูด มือของเขาก็จับปลายคางของเฉินโยวหรานแน่น
เธอสะดุ้งและเงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยสายตางุนงง
เธอรู้สึกได้ว่าลมหายใจของเขากำลังใกล้เข้ามา หัวใจเริ่มเต้นระรัวเร็ว
พอมองใกล้ๆ แบบนี้เขาก็หล่อดีเหมือนกันนะเนี่ย
โดยเฉพาะดวงตาหยิ่งยโสคู่นั้น พอได้มาเห็นใกล้ๆ แบบนี้มันน่ามองไม่เลวทีเดียว
เมื่อโจวหมิ่นฮั่นได้เห็นฉากตรงหน้า เขาก็ทนมองต่อไปไม่ไหว รีบตะโกนออกมาว่า “เอาละ เอาละ ฉันเชื่อแล้ว!”
เขาหันไปจ้องหน้าเฉินโยวหรานอยู่นานทีเดียวก่อนจะพูดขึ้นว่า “ก็ได้ โหยวหราน ฉันคือคนที่รักเธอ จะช้าหรือเร็วเธอก็จะได้รู้เอง ตอนนี้เธอกำลังหลงคารมหมอนี่อยู่ เอาไว้เมื่อถึงเวลาเธอก็จะได้รู้ว่าไอ้ผู้ชายแก่ๆ แบบนี้มันก็มีแต่จะหลอกลวงเธอเท่านั้นแหละ เธอ…อย่าห่วงไปเลยนะ ฉันจะรอเธอเสมอ ฉันจะรอจนกว่าจะถึงวันที่เธอนึกเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองและกลับมาหาฉัน”
หลังจากนั้น เขาก็มองหน้าเฉินอวี่เฉิงด้วยสายตาแค้นเคืองก่อนจะผลุบหายไปในเงามืด
เฉินโยวหรานไม่คิดเลยว่าโจวหมิ่นฮั่นจะเป็นคนดีที่ยอมเสียสละแบบนี้
เมื่อเห็นอีกฝ่ายจากไปแล้ว เฉินอวี่เฉิงก็ปล่อยมือ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง “วันนี้ขอบคุณมากนะคะ”
นายแพทย์ว่า “เห็นรึยังละว่ารสนิยมที่ผ่านๆ มาของเธอน่ะเป็นยังไง”
เฉินโยวหรานเถียงกลับว่า “แล้วใครที่ไม่เคยรักผู้ชายแบดๆ แบบนี้สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่นบ้างล่ะ”
“เอาละ นั่นไม่ใช่คำแก้ตัว เธอควรจะอยู่ให้ห่างจากผู้ชายประเภทนี้เอาไว้ คนดีๆ เขาไม่หวนกลับไปหาอะไรแย่ๆ หรอกนะ อย่าสร้างปัญหาเพิ่มให้ตัวเองนักเลย”
“รู้แล้วละน่า! แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะกลับมาตามหาฉันอีกหรอกนะคะ อ้อ จริงสิ ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่ล่ะ”
“ฉันบังเอิญผ่านมาน่ะ” ชายหนุ่มเหลียวมองไปรอบๆ และบอกว่า “ขึ้นบ้านไปเถอะ ดึกแล้ว ฉันจะรอจนเธอเข้าไปก่อนเผื่อว่าเธอจะโดนดักฉุดไปตรงหน้าบันได”
“ตาบ๊อง เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
เฉินโยวหรานพูดพลางสบตาเขาอย่างจริงจัง
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่า ชายร่างสูงและทรงอำนาจคนนี้ไม่ใช่คนน่ารำคาญอีกต่อไป
อันที่จริง เธอรู้มานานแล้วว่าเฉินอวี่เฉิงเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่แค่ปากเสียไปหน่อยเท่านั้น
แล้วเธอก็รู้ดีว่าผู้ชายอย่างเขามีความยโสโอหังในตัวเองแต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้อยู่หรอก ก็ในเมื่อเขามีทั้งอำนาจ ทั้งร่ำรวย หนำซ้ำยังสถานะทางสังคมอีก ก็แน่นอนว่าเขามีเหตุผลที่จะเย่อหยิ่งนั่นแหละนะ
ตลอดช่วงเวลาสองสามวันที่คุณยายพักอยู่ที่นี่ ก็บังเอิญประจวบเหมาะกันพอดีกับช่วงเวลาที่กู้จิ้งเจ๋องานยุ่งที่สุดด้วย
แม้แต่หลินเช่อเองยังไม่ได้เจอหน้าเขาเลยในช่วงที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังโทรศัพท์หาหลินเช่อทุกวันเพื่อถามไถ่
และหลินเช่อก็จะเล่าสิ่งต่างๆ ให้เขาฟัง รวมถึงรับฟังเรื่องราวจากทางฝั่งของเขาด้วย
คุณยายมองดูหลินเช่อที่กำลังคุยโทรศัพท์ หญิงสาวดูน่ารักอ่อนหวานจนผู้เป็นยายอดรู้สึกเป็นสุขใจไม่ได้ หล่อนยิ้มให้หลินเช่อและบอกว่า “แม่ของหลานก็เคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน ตอนที่หลานยังเด็ก แม่เขาก็เคยออกเดตกับผู้ชายคนอื่นๆ ยายรู้เรื่องทั้งหมดนั่นแหละ แม่ของหลานเขาเขียนจดหมายตั้งหลายฉบับ ไม่ได้ใช้โทรศัพท์ จดหมายแต่ละฉบับก็ไม่เหมือนกัน ยายคิดว่ามันจ่าหน้าซองถึงคนชื่อลู่ อะไรซักอย่างนี่แหละ”
“ลู่ ไม่ใช่หลินหรือคะ” หลินเช่อปอกส้มไปพลางฟังคุณยายเล่าไปพลาง
“ไม่นะ ไม่ใช่แน่ๆ”
หลินเช่อถาม “แล้วถ้าอย่างนั้นแม่มาลงเอยกับพ่อของหนูได้ยังไงล่ะคะ”
“เรื่องนี้ยายเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แม่เราน่ะเขามีความคิดแปลกๆ มาตั้งแต่เด็กแล้วละ แต่เขาไม่เคยบอกอะไรยายหรอก”
หลินเช่อฟังแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เธอได้รับสายจากอวี๋หมินหมิ่นที่บอกให้ไปที่บริษัทเพื่อพูดคุยเรื่องชุดที่จะสวมไปงาน เธอจึงปล่อยคุณยายให้นอนพักและตรงไปที่บริษัททันที
อวี๋หมินหมิ่นเลือกเสื้อผ้ามาให้เธอสองสามชุด รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับชุดที่ผู้เข้าชิงคนอื่นจะสวมด้วย
“ฉันถามมาแล้วนะ มู่เฝ่ยหรานน่ะจะใส่ชุดดำ เพราะฉะนั้นเธอควรจะหลีกเลี่ยงสีดำเพื่อที่จะได้ไม่ถูกจับไปเปรียบเทียบ ฉินหวานหว่านจะใส่สีน้ำเงิน ซ่งซูไห่ใส่สีชมพู ฉินเสี่ยวหยวนใส่สีเขียวและหวังฉิงฉู่ก็ใส่สีเขียวเหมือนกัน”
หลินเช่อพยักหน้า แต่ลึกๆ ในใจเธอก็อดบ่นไม่ได้ว่านี่แค่ไปร่วมงานแพนด้าทีวีเฟสติวัลแค่นี้ เธอจะต้องคิดอะไรให้ปวดหัวถึงขนาดนี้เลยหรือ
เมื่อถึงบ้าน หญิงสาวก็วุ่นวายรื้อตู้เสื้อผ้า แต่ก็ตัดสินใจไม่ได้อยู่ดีว่าจะใส่ชุดสีอะไร
จนกระทั่งกู้จิ้งเจ๋อกลับถึงบ้าน เมื่อเขาเห็นหญิงสาวกำลังทำท่าคิดหนัก ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเธอดูน่าเอ็นดูดีเหลือเกิน
เขาหลงรักเธอมากซะจนแม้กระทั่งตอนกำลังทำหน้าดำคร่ำเครียด ก็ยังดูสวยอยู่ดี
“กู้จิ้งเจ๋อ มาได้เวลาพอดีเลยค่ะ มาช่วยฉันเลือกชุดหน่อยสิ”
ชายหนุ่มถาม “จะใส่ไปไหนล่ะ”
“ไปร่วมงานประกาศผลรางวัลแพนด้าทีวีเฟสติวัลน่ะค่ะ ฉันได้ยินมาว่าพวกเขากำลังจะหาสปอนเซอร์ใหญ่มาช่วยเป็นสปอนเซอร์ให้ชุดของฉัน พี่อวี๋บอกให้ฉันกลับมาคิดเรื่องสีชุดที่จะใส่ก่อนที่จะเริ่มหาสปอนเซอร์น่ะค่ะ คิดว่าสีน้ำเงินเป็นไงคะ”
กู้จิ้งเจ๋อส่ายหน้าและบอกว่า “ไม่สวย”
“ถ้างั้นสีแดงล่ะ”
“ไม่เอา”
“ถ้างั้นสีอะไรดีล่ะคะ…” หลินเช่อไม่รู้จะเลือกสีไหนดีแล้ว
ชายหนุ่มหัวเราะและจับมือเล็กๆ ของเธอไว้ หญิงสาวนั่งอยู่บนตักขณะที่คนตัวใหญ่กว่ากำลังใช้ความคิดและพูดว่า “ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันจะช่วยจัดการให้เธอเอง เธอไม่ต้องกังวลเรื่องชุดอีกแล้วละนะ”
หลินเช่อมองหน้าเขา “นี่คุณจะช่วยฉันหาสปอนเซอร์เหรอคะ”
กู้จิ้งเจ๋ออดงงไม่ได้ สปอนเซอร์อะไรกัน
แต่ช่างเถอะ เขาไม่อยากจะอธิบายอะไรให้ยัยบื้อนี่ฟังนักหรอก “เอาเป็นว่ารอดูก็แล้วกัน”