ตอนที่ 23 ยากจน
“พระเจ้า ฉันรู้แล้วว่าทำไมตอนนั้นซือหม่าโอ่งถึงทุบกวางทิ้ง ถุยไม่ใช่ ทำไม ซือหม่ากวาง[1]ถึงทุบโอ่งทิ้งต่างหาก ก็เพราะมันใหญ่แบบนี้ไง ฉันก็จะทุบโอ่งเหมือนกัน! นี่ระบบ ถึงสินค้านายจะมีประโยชน์นะ แต่นี่มันใหญ่เกินไปแล้วโว้ย! นายให้ฉันจริงๆ หรือเนี่ย นึกว่าให้ช้างใช้เสียอีก?” ฟางเจิ้งเดินวนรอบโอ่งน้ำ
ปากโอ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งเมตรห้า สูงเกือบสองเมตร! ตัวโอ่งสีน้ำตาล สลักด้วยอักษรพุทธสีทอง! อักษรเหล่านี้มีพลังมาก มองแวบแรกมีพลังอำนาจอยู่ หลายส่วน ประกอบกับโอ่งน้ำ จึงยิ่งเสริมความยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกหลายส่วน
ฟางเจิ้งแกะตรงขอบทองของอักษรบนโอ่งน้ำ แต่แกะไม่ออก ซ้ำยังกัดเข้าไปอีก ก่อนกล่าวด้วยความไม่พอใจ “แข็งแบบนี้ไม่ใช่ทองจริงๆ! ระบบ นายหลอกอีกแล้วเหรอ? ทำเป็นสีทองแต่ไม่ใช่ทองจริง คิดจะหลอกกันรึไง”
“นี่คือ ทองคำพุทธ ไม่ใช่ทองทั่วไป ทองคำพุทธมีผลในการขับไล่มารทำให้ที่อยู่อาศัยสงบสุข อีกทั้งเมื่อพบเรื่องไม่ดีจะช่วยให้หลีกพ้นไปได้ นายอย่าคิดทำอะไรมัน จะดีที่สุด นี่คือ อักษรบนโอ่งพุทธ ต่อให้นายกัดมันแตก อักษรก็ไม่เปลี่ยนไปหรอก”
“เฮอะๆ…พูดอะไรน่ะ? ฉันแค่จะดูเองว่าใช่ทองจริงไหม ใครว่าจะทำแบบนั้นกัน” ฟางเจิ้งถูกอ่านความคิดออก จึงถูจมูกอย่างเก้อเขิน ทั้งยังสะบัดแขนเสื้อจะดื่มน้ำ ทว่า ก็ต้องร้อนใจ
ฟางเจิ้งเดินวนในครัวอยู่หลายรอบ ก่อนพูดขึ้น “ฉัน…อมิตพุทธ! โอ่งน้ำฉันล่ะ! ถูกขโมยเหรอ? ไม่ใช่ คนในหมู่บ้านก็มีโอ่งน้ำกันทั้งนั้นนี่ จะมาขโมยของฉันทำไม?”
ไม่ผิด โอ่งน้ำฟางเจิ้งในครัวหายไป แม้แต่น้ำในโอ่งก็หายไปด้วย!
“โอ่งน้ำนั่นเป็นของทางโลก มีโอ่งพุทธแล้ว โอ่งน้ำนั่นต้องถูกทิ้งไปอยู่แล้ว ฉันช่วยนายทิ้งไปเอง ไม่ต้องขอบคุณ”
‘ขอบคุณกับผีสิ!’ ฟางเจิ้งด่าในใจ แต่ปากว่า “ขอบคุณ? นายคิดมากไปแล้ว ฉันอยากเฆี่ยนแกนัก! นั่นมันโอ่งน้ำของฉัน! ตอนทิ้งนายบอกสักคำไหม? แล้วน้ำในนั้นล่ะ?”
“ทิ้งไปด้วยกันแล้ว” ระบบตอบกลับอย่างไม่สำนึกแม้แต่น้อย
ฟางเจิ้งจำใจ นอนหมอบอยู่ข้างโอ่งมองไปข้างใน ในนั้นว่างเปล่า ไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว
ฟางเจิ้งอยากจะร้องไห้ อยากดื่มน้ำก็ไม่ได้ดื่ม
ฟางเจิ้งวิ่งไปข้างบ่อน้ำหลังวัดกดไม้กระดกบ่อน้ำ มีเสียงน้ำดังซู่ๆ แต่น้ำไม่ออก พอไม่มีน้ำเป็นตัวนำ การจะดื่มน้ำจึงไม่มีหวัง
‘เฮ้อ คงต้องลงเขาไปตักน้ำจริงๆ’ ฟางเจิ้งจนปัญญาจริงๆ แต่ก็หยิบไม้คานขึ้นมา หิ้วถังน้ำอีกสองใบ
‘หืม? เบาจัง? ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้ไม่ได้เบาขนาดนี้นี่ แต่หนักมากต่างหาก’ ฟางเจิ้งใช้มือชั่งน้ำหนักถังเหล็ก ถังน้ำเหล็กส่งเสียงกระทบกัน เห็นได้ว่าไม่ใช่ของปลอม เขาพลันตั้งสติได้ ตนฝึกหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์ พละกำลังในตอนนี้ไม่ใช่อย่างในอดีตแล้ว
ฟางเจิ้งยิ้มแห้ง “เอาล่ะ ระบบ นายวางแผนไว้แต่แรกแล้วใช่ไหมว่าจะให้ฉันไปตักน้ำ? มิน่าถึงให้ฉันฝึกวิชา ที่แท้ก็เอามาใช้แรงงานนี่เอง”
พอออกประตูไปก็เห็นหมาป่าเดียวดายส่ายหางวิ่งมาแต่ไกล ฟางเจิ้งมองมันแล้วกลอกตา…
ภูเขาเอกดรรชนีตรงดิ่ง เส้นทางภูเขาข้างล่างไม่ราบเรียบเสมอกัน ขั้นบันไดสูงชันประกอบกับไม่ได้ซ่อมมาหลายปี มีหลายแห่งผุพังไปแล้ว การเดินจะต้องระวังเป็นพิเศษ ดีที่เส้นทางกว้างสองเมตร ขอเพียงไม่จงใจกระโดดตรงขอบก็จะไม่มีอันตราย ในทางตรงข้ามมันกลับให้รสชาติที่พิเศษแก่ภูเขาเอกดรรชนีอีกหลายส่วน
ขณะเดียวกันภูเขาเอกดรรชนีก็ไม่ใช่หนึ่งนิ้วขึ้นฟ้าอย่างนาม แต่เป็นข้อต่อมีทั้งหมดสามข้อเหมือนกับหน่อไม้ คล้ายๆ ปล้องนิ้วคน ทุกข้อต่อจะเป็นพื้นที่ มีป่าไม้ ที่ราบ และก็ตาน้ำพุ
ฟางเจิ้งกำลังไปตรงข้อต่อที่สอง ตรงนั้นมีตาน้ำพุธรรมชาติ น้ำพุที่ผุดขึ้นมา หวานอย่างยิ่ง ไหลผ่านยอดเขาลงไป ผ่านหมู่บ้านเอกดรรชนี คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านจะดื่มน้ำพุนี้ แต่เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า ทุกเครือเรือนต่างมีเครื่องจักรดูดน้ำบาดาล คนที่ดื่มน้ำพุก็น้อยลง ประกอบกับหมู่บ้านบุกเบิกแดนรกร้างครั้งใหญ่ ได้ทำลายเส้นทางน้ำพุไป เส้นทางน้ำเปลี่ยนเป็นนาน้ำ หากใครจะดื่มน้ำพุต้องขึ้นเขาเท่านั้น
ขึ้นเขาก็ไม่ง่าย คนที่ดื่มจึงน้อยลงเองโดยธรรมชาติ
ดังนั้นคนชราไม่น้อยจึงเสียดายมาตลอด แต่ก็ยังบุกเบิกแดนรกร้าง ทุกอย่างก็เพื่อ มีชีวิต…
ฟางเจิ้งได้แต่ถอนหายใจ เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ธรรมชาติกลับต้อง ถูกทำลายอย่างบ้าคลั่ง ความทรงจำของผู้คนถูกเทคโนโลยีลบไป หากคนคนหนึ่งออกจากหมู่บ้านไปหลายปี ตอนที่กลับมาอีกครั้งจะเปลี่ยนแปลงแต่สิ่งแวดล้อมไม่เปลี่ยน นี่คือ การเปลี่ยนแปลง ฟางเจิ้งส่ายหน้าให้กับการเปลี่ยนแปลงนี้มาตลอด ใช้การทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นการพัฒนา ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่มีผลดีทั้งนั้น
ตอนนี้บนบันไดสูงชัน คนหนึ่งคนกำลังแบกถังน้ำสองถัง ข้างหลังมีหมาป่าตัวใหญ่เหมือนกำลังบ่น นี่ไม่ใช่เพราะหมาป่าเดินตามหลังด้วยความคับอกคับใจ แต่หลังมัน แบกถังน้ำเล็กสองใบ ใช้ไม้กับเชือกผูกไว้กับตัว ดูแล้วพิลึกจริงๆ
“บ่นอะไรหะ? อยากกินข้าวผลึกไหม? อยากกินก็ตั้งใจทำงาน ไม่ใช่สิ เรียกว่า ฝึกฝนต่างหาก! นายรู้ไหมการฝึกฝนคืออะไร? ฝึกร่างกาย ฝึกจิตใจ อะไรคือ การฝึกร่างกาย? ก็คือ ฝึกซ้อมร่างกายและจิตใจ นายดูฉันนี่ สองถังนี่ใหญ่กว่า ของนายอีก ไม่พอใจรึไง? ตอนนี้นายคือสุนัขผู้ปกปักของวัดฉัน ภายภาคหน้าหาก ฉันสำเร็จอรหันต์ นายก็จะเป็นผู้ปกปักเทพ ตอนนี้ฝึกหนักแค่นี้ ร้องโอดโอยซะเหมือนอะไรเลย?” ฟางเจิ้งต่อว่า
หมาป่าเดียวดายเห่าสองทีแล้วก็เงียบไป เดาว่าคงคิดในใจว่า ‘ฉันเห่าแค่สองที นายพูดมากขนาดนี้เลย…เฮ้อ ชีวิต’
หนึ่งคนกับหมาป่าพูดคุยกันจนมาถึงกลางเขา ฟางเจิ้งตักน้ำใส่ถังน้ำสองใบ ก่อนตักน้ำใส่สองถังเล็กให้หมาป่า จากนั้นหนึ่งคนกับหมาป่าถึงเดินทางกลับ
แต่ช่วงที่ขึ้นเขา ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นเห็นเมฆดำตรงขอบฟ้า พายุรุนแรงขึ้น…
‘เฮ้อ พายุมาแล้ว แต่ฝนตกคราวนี้สภาพอากาศคงจะเปลี่ยน ใกล้จะถึงหน้าหนาวแล้ว ควรจะเตรียมของไว้ใช้ในหน้าหนาวบ้าง ว่าแต่…ควรเตรียมอะไรดี?’ ฟางเจิ้งกลัดกลุ้ม อีกครั้ง ในกระเป๋ามีเงินอยู่พันสามร้อยหยวน ดูเหมือนไม่น้อย แต่ใช้จ่ายได้ไม่มาก เขาลงเขาไปซื้อของไม่ได้ด้วย!
“ช่างเถอะ กลับไปแล้วค่อยโทรหาปู่ถานให้ช่วยซื้อเสบียงอาหารมาเก็บไว้หน้าหนาวดีกว่า” ฟางเจิ้งพึมพำ
“ขอชี้แนะอย่างเป็นมิตร เงินที่มาจากแรงปรารถนาของผู้คนใช้ซื้อของทางโลกไม่ได้ คนอื่นให้นายได้ นั่นถือว่าเป็นวาสนาที่คนมาทำบุญที่วัด แต่นายซื้อเองไม่ได้!”
‘เวรเอ๊ย นี่กะจะไม่ให้มีชีวิตรอดกันเลยรึไงฟะ?’ ฟางเจิ้งด่าทอในใจ แต่ปากว่า “นายล้อเล่นรึไง? หน้าหนาวนานขนาดนี้ ตั้งสามสี่เดือน! ฉันมีข้าวแค่สองถุง นายอยากให้ฉันหนาวตายเรอะ?”
“ร่างสถิตคิดหาวิธีอื่นได้”
[1] ซือหม่ากวาง มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเขาว่าตีโอ่งช่วยคน มีเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นกัน อย่างสนุกสนาน เห็นโอ่งน้ำบรรจุน้ำเต็ม เด็กคนหนึ่งปีนขึ้นไปบนโอ่งแล้วพลัดตก เด็กๆ ทุกคนต่างตกใจเสียสติ ร้องกันระงมโกลาหล แต่ทันใดนั้น มีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งไปนำเอาอิฐมาทุบโอ่งจนแตก ช่วยเด็กที่ตกลงไปได้ เด็กชายคนที่ช่วยก็คือ ซือหม่ากวาง