ในที่สุดอาการบาดเจ็บของเสวียนจีก็หายปลิดทิ้งในอีกหนึ่งเดือนต่อมา รูที่ถูกแทงตรงบ่าซ้ายนั้นเกิดรอยแผลสีชมพู ฉู่เหล่ยกล่าวว่าชีวิตนี้คงไม่จางหายไปแล้ว แต่นางบาดเจ็บขนาดนี้ ถึงกับหายเร็วเช่นนี้ ก็นับว่ามหัศจรรย์แล้ว ย่อมไม่วาดหวังอันใดอีก
เรื่องที่เสวียนจีถูกอูถงแทงบาดเจ็บ แม้ว่าพวกผู้ใหญ่ต่อหน้าคุยกันอย่างมีมารยาท นุ่มนวลปรองดอง แต่เสวียนจียังคงได้ยินข่าวซุบซิบส่วนหนึ่งจากหลิงหลง
“เจ้ารู้ไหม ตอนนี้ห้าสำนักใหญ่ล้วนออกประกาศจับแล้ว!”
หลิงหลงมาถึงก็ทำท่าทางลึกลับดึงนางมาซุบซิบกันสองคน
“ประกาศจับอะไร”
“จับอูถง! ท่านพ่อกับเจ้าหุบเขาหรงประกาศแล้ว หากจับอูถงได้จะได้ทองคำห้าร้อยตำลึง! แล้วยังไม่อนุญาตให้สำนักอื่นรับเขาไว้ หากรู้ก็จะเป็นปรปักษ์กับห้าสำนักใหญ่!”
หลิงหลงตื่นเต้นเล่าจนหน้าแดง “คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อร้ายกาจเพียงนี้! ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าท่านพ่อไม่สนใจเจ้าสักนิด! ปรากฏว่าเล่นใหญ่ขนาดนี้เลย!”
เสวียนจีอึ้งไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า “เช่นนี้…ไม่ค่อยดีกระมัง เขาตัวคนเดียว ห้าสำนักใหญ่ร่วมมือกันจับเขา…”
หลิงหลงถลึงตาใส่นาง ร้อนใจกล่าวว่า “คุณหนูข้า! เจ้าอย่าทำเป็นคนดีเช่นนี้ได้ไหม?! ทำไมเจ้าไม่คิดถึงไหล่ตนเองที่เป็นรูอยู่นั่น? ตอนเขาแทงเจ้า เหตุใดไม่คิดว่าจะมีผลตามมาเช่นวันนี้?! ล้วนเป็นเขาทำตัวเองทั้งสิ้น!”
เสวียนจีส่ายหน้า “ไม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้…ข้าต้องการบอกว่า อูถงทำให้รู้สึก…รู้สึกไม่ดีอย่างมาก มักรู้สึกว่าหากบีบเขาให้สิ้นหนทาง ไม่ใช่เรื่องดี”
หลิงหลงเชิดหน้าขึ้น ท่าทางอวดเบ่ง “เขาจะทำอะไรได้?! จะเป็นศัตรูกับห้าสำนักใหญ่ได้? ข้าไม่เชื่อ!”
ไม่มีอะไรไม่น่าเชื่อ…เสวียนจีขมวดคิ้วนิ่ง จากพฤติกรรมต่างๆ ของอูถง แต่ละเรื่องราวนั้น เขาเป็นคนคิดการใหญ่และมีความสามารถ ยังมั่นใจในตัวเองมาก จิตใจยังคับแคบ ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ใจคิดแก้แค้นของเขาแรงกล้ามาก พวกเขาหลายคนลงโทษเขาเล็กน้อย ไม่ทำให้บาดเจ็บอันใด เขากลับชักกระบี่แทงหลิงหลงได้
คนเช่นนี้ในใจย่อมต้องมีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาก ไม่ยอมให้ผู้ใดทำผิดกับตนแม้เล็กน้อย ครั้งนี้ออกประกาศจับ หากจับได้ก็ดีไป แต่หากจับไม่ได้ วันหน้าคนผู้นี้ต้องเป็นภัยใหญ่แน่
“หลิงหลง เจ้าฟังข้า…”
นางยังคิดเตือนหลิงหลง กลับถูกหลิงหลงกอดไว้ “น้องสาวคนดี อย่าเอาแต่พูดเรื่องน่าเบื่อเลย! เจ้าดูสิ วันนี้อากาศดีมาก พวกเราออกไปเล่นกันดีไหม เจ้าใกล้ต้องไปยอดเขาเสี่ยวหยางแล้ว วันหน้าก็ไม่รู้ว่าจะได้พบกันบ่อยไหม!”
นางกล่าวจนรู้สึกน่าสงสารเช่นนี้ทำเอาเสวียนจีคิดได้ว่าตนเองมีเวลาอีกไม่กี่วันก็ต้องจากไปแล้ว
เฮ้อ พอต้องอำลาจากทุกอย่างของเส้าหยางไปจริงๆ ห้องนาง อักษรโย้เย้ที่นางเขียนพวกนั้น เตียงใหญ่ที่นางชอบนอนเหม่อที่สุด …
“ยังมัวเหม่อลอยอันใด! ไปได้แล้ว!”
หลิงหลงลากนางวิ่งออกนอกประตูไป
วันนี้อากาศไม่เลวจริงๆ แสงแดดสาดส่อง เมฆขาวรากแพรไหมบางเบาแขวนอยู่บนท้องฟ้า ท้องฟ้าใสกระจ่าง มองไปไกลสุดลูกหูลูกตา
หลิงหลงคล้องแขนนาง ทั้งสองเดินตรงไปยังเขาด้านหลังด้วยกัน ที่นั่นมีที่ว่าง คล้ายกับน้ำพุศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาเสี่ยวหยางอยู่บ้าง และยังมีทะเลสาบวั่งหู แต่เล็กกว่าหน่อย น้ำในนั้นไม่ศักดิ์สิทธิ์
แต่ที่ทำให้เสวียนจีตกใจที่สุดก็คือหน้าทะเลสาบตอนนี้มีศิษย์พี่รุ่นอักษรหมิ่นหลายคน บ้างกำลังจับปลา บ้างกำลังลอกหนังกระต่าย เงยหน้าเห็นนางสองคนมาก็พากันโบกมือให้ ยิ้มกล่าวว่า “ยังคิดว่าพวกเจ้าไม่มาแล้ว! เหตุใดเพิ่งมากัน! ยังดี ยังดี ของยังไม่ได้ขึ้นย่าง!”
หลิงหลงเผยรอยยิ้มบางลากเสวียนจีวิ่งออกไป ถามว่า “ศิษย์พี่รอง งานเลี้ยงวันนี้ พวกท่านเตรียมของกินอร่อยอะไรไว้บ้าง”
เฉินหมิ่นเจวี๋ยนำปลาและกระต่ายที่จัดการเรียบร้อยแล้วเสียบไม้อยู่ พลางกล่าวว่า “เจ้าก็รู้จักแต่กิน กิน กิน ดูก็รู้เลย! ศิษย์พี่รองของเจ้าตอนนั้นเคยติดตามพ่อครัวใหญ่หอเทียนเซียงเรียนทำอาหารสองปี วันนี้รับประกันว่าเด็กหญิงทั้งสองจะได้กินอร่อยจนแทบกลืนลิ้นลงไปด้วย!”
ข้างๆ มีคนกล่าวแทรกขึ้น “อย่าฟังเขา กล่าวเหลวไหลทั้งเพ! เขาไม่ย่างไหม้หมดก็นับว่าดีแล้ว! เรื่องพวกนี้ยังคงเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่วางใจได้!”
“นี่ นี่ อย่ามารื้อป้ายร้านอย่างนี้สิ!” เฉินหมิ่นเจวี๋ยรู้สึกไม่พอใจ โต้แย้งขึ้น
เสวียนจีมองไปรอบวง ไม่เห็นจงหมิ่นเหยียนกับตู้หมิ่นหัง อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่หกล่ะ”
“เขาสองคนไปเอาของดีมา” เฉินหมิ่นเจวี๋ยยิ้มร่า ดวงตาราวมีเลศนัย “วันนี้จัดงานเลี้ยงอำลาศิษย์น้องเล็กเสวียนจี ไม่มีของนั้น จะได้อารมณ์อันใด”
“แท้จริงแล้วคืออันใด ลึกลับจริง!”
หลิงหลงงุนงงไปหมด เสวียนจีเดาได้หลายส่วน ได้แต่เม้มปากยิ้ม
ทั้งสองพากันนั่งยองลง ช่วยจัดการขอดเกล็ดปลา จับเสียบไม้
ยุ่งกันพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงคนตะโกน “โอ๊ะ! มาแล้วๆ! เป็นอย่างไร ได้มาไหม”
หลิงหลงกับเสวียนจีรับหันขวับไปมอง เห็นตู้หมิ่นหังกับจงหมิ่นเหยียนกลับมาแล้ว ทั้งสองยิ้มตาหยี เอามือซ่อนไว้ด้านหลัง ไม่รู้ถือของดีอันใดไว้
ศิษย์พี่ห้าโอวหยางหมิ่นหลีเป็นคนใจร้อน รีบวิ่งเข้าไปยื่นหน้ายื่นหลัง พยายามยื้อแย่งของที่สองคนซ่อนไว้ด้านหลังออกมา ที่แท้เป็นสุราสองไห มีกระดาษสีแดงแปะผนึกไว้ พอเข้าใกล้ก็ได้กลิ่นหอมชวนใหลหลง
“อา กั่วจื่อหวง!” เสวียนจีจำกลิ่นได้ ตอนนั้นผู้ใหญ่หลายคนดื่มกันที่หมู่บ้านลู่ไถไปไม่น้อย นางเองก็อยากลองอยู่บ้าง!
“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกท่านไปหมู่บ้านลู่ไถมา?”
หรือว่าเพื่อซื้อกั่วจื่อหวง?
ตู้หมิ่นหังยิ้มกล่าวว่า “ใช่แล้ว ได้ยินหมิ่นเหยียนเอาแต่พูดถึงกั่วจื่อหวง กั่วจื่อหวง พูดจนพวกเราอยากชิมไปด้วย เช้ามาจึงให้เขาบอกทาง ร่วมเหินกระบี่ไปยังหมู่บ้านลู่ไถซื้อมาลิ้มลองสองไห”
กล่าวจบเขาก็ตบบ่าจงหมิ่นเหยียน กล่าวว่า “เจ้าหมอนี่ไม่เลว ไม่รู้ว่าแอบไปเหินกระบี่เป็นตอนไหน! บินได้ไม่เลวด้วย!”
จงหมิ่นเหยียนหน้าแดง แต่ก็รู้สึกแอบกังวล ลอบมองเฉินหมิ่นเจวี๋ยแวบหนึ่ง ถึงตอนนี้ศิษย์พี่รองก็ยังเหินกระบี่ไม่ได้ เกรงว่าเขาได้ฟังจะคิดมาก แต่พอเห็นเขาไม่ได้มีสีหน้าอันใด จึงค่อยวางใจลง
ทุกคนเปิดไหสุราออก ในห้วงเวลานี้กลิ่นหอมกำจาย หอมจนจิตใจเคลิบเคลิ้มใหลหลง น้ำลายหลิงหลงใกล้หยดแล้ว แม้แต่ศิษย์พี่หลายคนก็เร่งมือกันจุดไฟย่างเนื้อ ย่างจนน้ำมันหยด สีสันเหลืองทอง ทุกคนนั่งล้อมรอบกองไฟเป็นวง เทสุราเต็มชาม ยกขึ้นชนกัน
“มา หมดชาม หมดชาม! ส่งศิษย์น้องเสวียนจีของเรา!”
เฉินหมิ่นเจวี๋ยตะโกนดังสุด นำชามไปกระทบชามเสวียนจีอย่างแรง คนที่เหลือก็ทำตาม ล้วนกระแทกชามกับนางอย่างแรง เกือบทำเอาชามนางแตก
อารมณ์พวกเขาส่งผลให้เสวียนจีเองก็ยิ้มกว้าง แต่นางกลับไม่กล้าเป็นดังเช่นพวกศิษย์พี่ ดื่มหมดในทีเดียว นางแต่ไรมาไม่เคยดื่มสุรา เห็นสุราสีเหลืองทอง กลิ่นหอมกรุ่นแตะจมูก นางค่อยๆ จิบคำเล็กๆ ก่อน พลันทำหน้าปั้นยาก
ที่แท้สุราดมแล้วกลิ่นหอมหวาน ดื่มแล้วแสบแทบตาย เสียดแทงลำคอ กว่าจะกลืนลงไปได้ ท้องยังร้อนราวกับลูกไฟ แผดเผาร้อนแรง
หลิงหลงกล้าหาญพอ ดื่มทีเดียวหมด หันกลับไปเห็นท่าทางเสวียนจี อดหัวเราะดังลั่นไม่ได้ “เจ้าผีน้อยขี้ขลาด! ดื่มสุราแค่นี้เอง ไม่ใช่ดื่มยาพิษ! เร็ว! ดื่มลงไปๆ!”
เสวียนจีไร้หนทาง ได้แต่หลับตาปี๋ ตัดใจ ดื่มสุราหมดชาม รู้สึกเผ็ดแสบจนน้ำตาไหล
ผู้ใดจะรู้ว่าพอสุรานั่นลงท้องไปนานสักพัก รสชาติถึงกับไม่เหมือนเดิม รู้สึกอุ่นสบายกาย ทั้งตัวราวกับลอยละล่อง สบายอย่างยิ่ง
เสวียนจีกินกระต่ายย่างไปคำหนึ่ง ข้างๆ ก็มีคนเติมสุราให้นางอีก แต่ละคนเร่งให้นางดื่ม
ครานี้นางไม่ปฏิเสธอีก ล้วนรับคำทั้งหมด ชามแล้วชามเล่า สุดท้ายตอนหลังไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอันใดอยู่
ข้างหูได้ยินเสียงจงหมิ่นเหยียน “…ไปยอดเขาเสี่ยวหยางแล้ว ไม่รู้จะได้พบกันอีกเมื่อใด วันหน้าต้องขยันฝึกวิชา พวกเรายังรอให้เจ้ากลายเป็นจอมยุทธ์หญิงนะ!”
ในใจนางทั้งหวานทั้งขม รสชาติสับสนยิ่งกว่ากั่วจื่อหวง การไปยอดเขาเสี่ยวหยางครั้งนี้ แม้ว่าเป็นสำนักเส้าหยางเหมือนกัน แต่ปกติทุกคนมีงาน ไหนเลยจะได้พบกันบ่อยเช่นนี้เหมือนยามที่อยู่ด้วยกัน ไม่แน่ว่าปีหนึ่งอาจได้พบเพียงครั้งเดียวจริงๆ หรือถึงกับไม่ได้พบเลยก็เป็นได้
วันนั้นที่ท่านอาหงถามนางว่าอยากไปยอดเขาเสี่ยวหยางไหม นางรับปากทันทีว่าอยากไป บางทีในสัญชาตญาณของนาง ก็คิดค้นหาชีวิตที่ไม่เหมือนกับตอนนี้ มีอิสระยิ่งขึ้น ทำตามอำเภอใจได้มากยิ่งขึ้น ทำสิ่งที่อยากทำและสิ่งที่ชอบ ไม่ใช่เอาแต่ซุกตัวอยู่แต่ในบ้าน คอยแต่ระวังว่าท่านพ่อท่านแม่จะมาตำหนิให้ได้หลั่งน้ำตาเมื่อใด
“ข้า…ข้าเองก็มีสิ่งแสวงหา…” นางกล่าวขึ้นเสียงเบา ไม่มีคนได้ยิน
“เจ้าว่าอะไรนะ”
หลิงหลงเขยิบเข้าใกล้นาง กลิ่นสุราเต็มปาก นางเองก็ดื่มไปมาก ใบหน้าแดงยิ่งกว่าผัดแก้ม
เสวียนจีส่ายหน้า ยกชามในมือขึ้น กล่าวเสียงดังว่า “รอไปก่อน รอให้ข้าเป็นจอมยุทธ์หญิงก่อน! ไม่ทำให้พวกเจ้าผิดหวังแน่!”
ทุกคนพากันเฮเสียงดัง ชนชามกันวุ่นวาย ดื่มกั่วจื่อหวงรวดเดียวหมด
จากนั้นก็ปาชามแตก ล้มตัวลงนอนกับพื้น บ้างหาเรื่องดิน บ้างเยาะเย้ยฟ้า บ้างก็นอนหลับไป
เสวียนจีนอนอยู่บนพื้น หลับตาลง รสชาติเฝื่อนเล็กน้อยของกั่วจื่อหวงยังคงติดอยู่ในปาก ราวกับรสชาติแห่งวัยหนุ่มสาว เผ็ดร้อนกลับขื่นขม หวานล้ำกลับเศร้าสลด
ทุกอย่างกำลังจะผ่านไป
นางคิด แล้วก็หลับตาลง หลับไป ไม่รู้เรื่องอะไรอีก