เสวียนจีจำไม่ได้ว่าตนเองผ่านคืนนั้นมาได้อย่างไร นางได้แต่อยู่ในสภาพตกใจและสับสน ยังรู้สึกสงสัยในตัวเองว่ามองผิดไป
นางไม่อยากจะเชื่อ หากเจ้าเกาะตงฟางรู้ว่าภรรยาตนเองลับลอบพบชายอื่น ชายคนนั้นยังเป็นพ่อบ้านใหญ่ตนเอง จะแสดงออกเช่นไร ตลอดทางที่ทุกคนไปจับปีศาจ เสวียนจีรู้ว่าเขาเป็นคนอารมณ์ดีและเข้ากับคนง่าย หากเขารู้เรื่องนี้ ต้องปวดใจเป็นแน่
อาจเพราะส่วนใหญ่เสวียนจีไม่ค่อยได้มีเรื่องคิดในใจ ถึงกับคิดจนกินข้าวไม่อร่อย ในที่สุดหลิงหลงก็ทนไม่ไหว ใช้ตะเกียบเคาะหน้าผากนาง ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าเซ่อหรือ? คิดอันใดกัน! ข้าวไม่กิน เอาแต่กัดชามทำไมกัน”
เสวียนจีนิ่งอึ้ง พบว่าตนเองประคองชามไว้อย่างไม่รู้ตัว ไม่ได้กำลังกินข้าว หากกำลังกัดชาม
นางรีบหัวเราะดัง ใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก กล่าวว่า “ข้า…ข้าหิวมาก…”
หลิงหลงจ้องนางเขม็ง “เจ้าผิดปกติมาก ตอนบ่ายที่ผ่านมาไปทำอะไรกับซือเฟิ่งมา” กล่าวจบนางก็มองไปทางอวี่ซือเฟิ่งอย่างสงสัย สีหน้าเขาราวผู้บริสุทธิ์ ยัดข้าวเข้าปากเต็มแรง
“ข้า…ข้าเป็นห่วง กลัวอูถงพบว่าพวกเราวางอุบาย” ในที่สุดเสวียนจีก็หาเหตุผลที่ดีได้
อวี่ซือเฟิ่งร่วมวงพยักหน้า “ใช่ ใช่! เขา นับว่า เป็นคน ฉลาด อาจจะไม่ คิดไม่ถึง”
จงหมิ่นเหยียนเห็นเขาสองคน คนหนึ่งร้องคนหนึ่งตาม ในใจรู้สึกตลก จึงกล่าวว่า “กลัวอันใด หากเขามา พวกเราก็ปากแข็งไม่รับ ดูว่าเขาทำอันใดได้!”
หลิงหลงเชิดหน้าขึ้นฟ้า แค่นเสียงฮึ “ใช่! ที่นี่คือเส้าหยาง! ดูว่าเขากล้าทำอันใด!”
กล่าวเพิ่งจบ พลันได้ยินเสียงเคาะประตูดังมา หลิงหลงกินปูนร้อนท้อง สะดุ้งโหยงไปหลบหลังเสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “เขามาหรือ! เร็วจัง!”
อวี่ซือเฟิ่งมองขำนาง วางตะเกียบลงไปเปิดประตู พลอยอึ้งไปด้วย เป็นหลิงหลงกล่าวถูกต้อง คนยืนอยู่หน้าประตูก็คืออูถงจริง
ก็ไม่รู้ว่าเขาใช้เวลานานเท่าไรจึงสลัดหลุดมาได้ น่าจะพอสลัดหลุดก็มาหา ทั้งตัวดูอนาถไม่น้อย ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าเต็มไปด้วยเดินและเศษใบไม้ใบหญ้า…มีครบ
ภายนอกเขาดูอนาถ แต่อารมณ์กลับไม่ลดทอนลงแม้แต่น้อย
เขาถึงกับยิ้มบาง ยิ้มเย็นเยียบ
“เฮ้ย” เขากล่าว “ที่แท้เรื่องเป็นเช่นนี้ ตำหนักหลีเจ๋อใกล้ชิดกับสำนักเส้าหยางกันตอนไหนกัน”
อวี่ซือเฟิ่งเห็นอุบายถูกเปิดโปง ได้แต่ตามน้ำไป กล่าวพูดจากันเปิดเผยตรงไปตรงมา
“มากไป อุบายนี้ หากเจ้าไม่ยอม ไปฟ้อง ผู้ใหญ่เจ้า ไปร้องไห้ ให้เขามาหา อาจารย์ข้า ลงโทษข้า”
อูถงมองไปในห้องด้านในแวบหนึ่ง จงหมิ่นเหยียนกับหลิงหลงทำหน้าผีใส่เขา มีเพียงเสวียนจี นั่งก้มหน้ากินข้าวเรียบร้อย ไม่มองเขา
เขายิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “สำนักเส้าหยางสู้คนอื่นไม่ได้ ที่แท้ก็ทุ่มเทจิตใจกับเรื่องวิถีมารร้ายนอกรีตพวกนั้น มิน่าเล่า!”
หลิงหลงขนพองทันที โมโหกล่าวว่า “เจ้ามีมารยาทหน่อย! คนวางอุบายจัดการเจ้าคือข้า อย่าไปดึงสำนักเส้าหยางมาเกี่ยว! เจ้าทำน้องสาวข้าบาดเจ็บ ไม่กล่าวอะไรสักคำ แกล้งลืมหรือ?! โลกนี้มีเรื่องดีเช่นนี้ที่ไหนกัน!”
อูถงมองนางจากบนลงล่าง ไม่กล่าวอันใดเป็นนาน สุดท้ายประสานมือ กล่าวเย็นชาว่า “คุณหนูใหญ่สำนักเส้าหยางให้การต้อนรับเช่นนี้ ข้าจะจดจำเอาไว้ในใจ วันหน้าจะต้องตอบแทนคืนหลายเท่า! ลาก่อน!”
กล่าวจบสองเท้าเขาก็กดพื้น ร่างราวกับนกกระเรียนเซียน ลอยล่องออกไปจากเรือนพักอวี่ซือเฟิ่ง
“ข้ากลัวเจ้าหรือ! มาเลย!” หลิงหลงไล่ตามไป ตะโกนด่าดัง
จงหมิ่นเหยียนดึงนางไว้ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “หลิงหลง! อย่าวู่วาม เจ้าดู คนเช่นนี้จิตใจคับแคบ เจ้าเล่ห์ชั่วร้าย เจ้าต้องระวังให้มาก อย่าหลงกลเขา”
“ข้าไม่กลัวเขาหรอก! เขามาทีข้าก็โต้คืนที!” นางยังคงดึงดัน
“โง่เขลา!” จงหมิ่นเหยียนอดไม่ได้เคาะหัวนางทีหนึ่ง “พูดไปแล้ว เจ้าก็เป็นเด็กผู้หญิง นิ่งหน่อยไม่เสียเปรียบ เจ้าดูเสวียนจีเรา ยังเป็นน้องสาวเจ้าด้วย เจ้าเป็นพี่สาวควรจะเรียนรู้จากนางหน่อยถึงจะถูก”
โง่จริง…เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งแอบอุทานในใจพร้อมกัน นี่ไม่ใช่ราดน้ำมันบนกองไฟหรือ!
ตามคาด หลิงหลงโมโหจนคิ้วกระดก แทบจะตบเขาทีหนึ่ง ราวกับกำลังจะด่า ไม่รู้เหตุใด ขอบตาพลันแดงก่ำ สะอื้นกล่าวว่า “ข้าดีสู้นางไม่ได้! ไม่ต้องให้เจ้ามาสนใจข้า!”
นางกระทืบเท้า หันหลังวิ่งออกไปทันที
“อา หลิงหลง!” จงหมิ่นเหยียนไม่ค่อยได้เห็นนางเป็นเช่นนี้ พลันอึ้งไป ไร้ปฏิกิริยา
อวี่ซือเฟิ่งตบบ่าเขา “ยังไม่ รีบตามไป ว่าเจ้าโง่ ก็จริง ห่านโง่”
จงหมิ่นเหยียนดึงผมไปมา อุทาน “นางอารมณ์ร้ายจริง เหตุใดทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้!”
อวี่ซือเฟิ่งยักไหล่ อย่างไรก็คนหนึ่งอยากทุบ คนหนึ่งยอมให้ทุบ
“รีบไปสิ” เขาผลักไปทีหนึ่ง
จงหมิ่นเหยียนหน้าเศร้า กล่าวว่า “ข้าไม่ไป! ทุกครั้งไม่ยอมฟังคนเตือน เหตุอันใดที่ข้าต้องตามไปคอยยิ้มเอาใจ!”
เขาถึงกับงอนหันหลังจะไป แต่ไปอีกทาง
ครั้งนี้เป็นอวี่ซือเฟิ่งอึ้งแทน
“พวกเขาสองคน จริงๆ เลย” อวี่ซือเฟิ่งยิ้มเฝื่อน หันกลับไปมองเสวียนจี นางเริ่มกัดชามเหม่อลอย สีหน้าสับสนงุนงง ไม่รู้คิดอันใด
“ยังคิดอีก เรื่องตอนบ่าย?” เขาเขยิบเข้าใกล้ถามอ่อนโยน
เสวียนจีอส่งเสียง “อา” เสียงหนึ่ง ราวกับตื่นจากฝัน รีบกวาดข้าวไปสองสามคำ กล่าวติดๆ กันว่า “เปล่า เปล่า ข้ากำลังกินข้าว!”
พลันพบว่าในห้องเหลือเพียงตนกับอวี่ซือเฟิ่ง นางกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เอ๋? หลิงหลงกับศิษย์พี่หกเล่า?”
นางเป็นดังสุกรจริงๆ อวี่ซือเฟิ่งแอบหัวเราะในใจ เขาตบหลังนางเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ไปนานแล้ว! ตอนที่ เจ้าเหม่อ น่าแปลก เจ้าเหตุใด จึงมักเหม่อ ง่ายเช่นนั้น”
เสวียนจีวางชามลง ขมวดคิ้วมุ่น “ข้า ข้าก็คิด หากเจ้าเกาะตงฟางรู้ว่าภรรยาตนกระทำเช่นนั้น…เขาจะทำเช่นไร ข้าไม่อยากให้เขาเสียใจ เพราะเจ้าเกาะตงฟางเป็นคนดี”
อวี่ซือเฟิ่งถอนหายใจ “ยังจะ ทำไรได้ หย่านาง ปิดปากไม่พูด หรือ สังหารชู้ เจ้าว่า เขาตอนนี้ ยังไม่รู้ หาก ไม่อยาก ให้เขาเสียใจ ก็อย่ากล่าว เรื่องนี้ กับผู้ใด ไม่เช่นนั้น เจ้าและข้า ล้วนยุ่งยากใหญ่”
เสวียนจีถอนหายใจ “ความหมายเจ้าก็คือ เจ้าเกาะตงฟางอาจรู้สึกเสียหน้า ถึงกับมาลงที่พวกเรา?”
เขาพยักหน้า พลันส่ายหน้ากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้าเกาะ ไม่แน่ อาจทำอันใด แต่หากว่า ฮูหยินเจ้าเกาะ ก็อาจจะ ทำก็ได้ คนทำชั่ว เพื่อปิดบัง ความชั่ว ตนเอง มักจะทำ เรื่องเลวร้าย ยิ่งกว่า เพื่อปิดบัง”
เสวียนจีเหมือนรู้เหมือนไม่รู้ กล่าวเบาๆ ว่า “ซือเฟิ่ง เจ้ารู้หลายเรื่องจริง หลายเหตุผลข้าเมื่อก่อนไม่เคยได้ยิน แต่ไรมาไม่มีคนกล่าวเรื่องเหล่านี้กับข้า เจ้าไม่รู้สึกว่าข้าไร้เดียงสา น่ารังเกียจ ดื้อรั้นหรือ”
อวี่ซือเฟิ่งหรี่ตามอง พลันคิดถึงวันที่เขาพบอาจารย์ ก็พลันไม่อาจคุมอารมณ์ตน รอให้กลับถึงตำหนักแล้วโดนลงโทษหนัก ไม่มีผู้ใดกล้าขอร้องแทน มีเพียงนางคนเดียวที่ออกมายืนปกป้องตน
เขาไม่อาจลืมเงาร่างบางในชุดขาวของนางในวินาทีนั้น ช่างราวกับแสงตะวันฉาดฉานตัดผ่านเมฆหมอก ไม่มีความกลัวอันใด ตรงไปตรงมา ผมยาวสลวยราวแพรไหมของนางปลิวอยู่ท่ามกลางกระแสลมเช่นนั้น นางที่อ่อนแอราวกับเพียงแค่นิ้วมือเดียวก็หักนางได้
แต่มีเพียงนาง มีเพียงนาง แต่ไรมาเขาไม่เคยคิด ถึงกับเป็นนาง
เขายิ้ม กระซิบว่า “ดื้อรั้น ก็มีบ้าง แต่ทว่า ข้าไม่สนใจ แม้แต่น้อย”
กล่าวจบ นิ้วมือก็สัมผัสแก้มราวผลึกใสของนางอย่างทะนุถนอม ราวกับสัมผัสของมีค่าหาราคามิได้ ไม่กล้าสัมผัสนาน รีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว