ชุดผู้ชายบนตัวตัวใหญ่มาก ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเท่าไร รองเท้าที่เสริมส้นให้สูงก็ยิ่งไม่คุ้นชิน น่าจะเพราะเป็นครั้งแรกที่ปฏิบัติการคนเดียว เสวียนจีรู้สึกจิตใจวุ่นวายอยู่บ้าง เอาแต่ดื่มน้ำชาบนโต๊ะไปอึกแล้วอึกเล่า
ฮูหยินตระกูลจวงอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนนางก็ปลอบนางน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม่นางไม่สบายหรือ ต้องการนอนพักสักครู่ไหม”
นอน? เสวียนจีมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง ใกล้โพล้เพล้แล้ว เซียนหญิงไม่แน่ว่าใกล้ส่งคนมารับแล้ว ไหนเลยมีเวลานอนกัน
นางคลายเข็มขัดออกเล็กน้อย ลุกขึ้นเดินวนสองรอบ รองเท้าส้นหนาใส่ไม่สบายจริงๆ เกรงแต่ว่าจะเดินไม่สะดวก แต่ก็ไม่มีทางเลือก ไม่ได้ก็ต้องฝืนให้ได้
“ท่านน้า เซียนหญิงรับคนไปแล้วก็ขึ้นเขาเลยหรือ ระหว่างทางจะได้พบคนที่เลือกไว้คนอื่นๆ อีกหรือไม่”
ฮูหยินตระกูลจวงคิดไปมา “ได้ยินว่าจะหยุดพักสักครู่ที่ศาลาเชิญเทพกลางเขา เปลี่ยน…ชุดแต่งงานมงกุฎหงส์ แล้วก็จะมีขบวนกลองเป่าปี่ แบกเกี้ยวมงคลขึ้นเขา”
นางจะได้เป็นเจ้าบ่าวจริงหรือนี่ เสวียนจีเดินไปนั่งหน้าโต๊ะแต่งหน้า ภาพในกระจกเป็นใบหน้าที่ใช้สีทาให้คล้ำลงสักหน่อย คิ้วก็วาดให้หนา ฮูหยินตระกูลจวงยังกลัวว่าคนจะมองออก ยังแปะหนวดให้นางอีกสองเส้นด้วย มองผ่านๆ ก็เหมือนจวงจิ่งอยู่เจ็ดแปดส่วน
ฮูหยินตระกูลจวงเห็นนางเบื่อก็พยายามคุยกับนางไม่หยุด ยังคุยไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงเอะอะดังจากด้านนอก ตามมาด้วยเสียงพ่อบ้านเคาะประตูเข้ามา ท่าทางตระหนกตกใจกล่าวว่า “ฮูหยิน แม่…คุณชาย! เซียนหญิงส่งคนมารับแล้ว!”
ฮูหยินตระกูลจวงแม้ว่าเตรียมทำใจมาตลอด แต่พอได้ยินว่ามาแล้วจริงๆ ก็อดตื่นตกใจไม่ได้ ร้อนใจกล่าวว่า “แม่…ลูกจิ่ง เจ้าไปครานี้ ต้องรักษาตัวเองให้ดี พวกเรา…”
เสวียนจีลุกขึ้น ทำท่าทางแบบชายประสานประสานมือคำนับ กล่าวว่า “ท่านแม่ ลูกต้องไปแล้ว ไม่อาจปรนนิบัติรับใช้ท่านแม่ท่านพ่อต่อได้ โปรดอภัยที่ลูกอกตัญญู”
วาจานี้ทำเอาพ่อบ้านและฮูหยินตระกูลจวงล้วนอดหลั่งน้ำตาไม่ได้ ราวกับเป็นลูกชายตนเองกำลังจะจากไปจริงๆ
ยามนั้นทุกคนยืนออกันแน่น พาเสวียนจีออกไป เห็นเพียงหน้าประตูมีรถม้าหรูหราลงรักดำมันปลาบจอดอยู่คันหนึ่ง น่าแปลกคือบนรถม้าไม่มีคน พอเสวียนจีไปถึง ประตูรถม้าก็เปิดออกเอง
เสวียนจีขึ้นรถม้า ประตูรถก็ปิดเอง หยุดนิ่งครู่หนึ่ง ให้เวลานางได้อำลาคนตระกูลจวง ก่อนจะค่อยๆ จากตระกูลจวงไป รถม้านี่ไม่มีคนขับ เคลื่อนไหวรวดเร็วและนิ่ง ไม่นานก็จากเมืองจงหลีไป เสวียนจีเลิกม่านออก ชะโงกหน้าออกไปมองรอบๆ รู้สึกว่าตัวรถม้ามีควันสีม่วงจางๆ คลุมไว้โดยรอบ กลิ่นหอมอบอวล
กลิ่นอายปีศาจ เสวียนจีอุดจมูก ค่อยๆ ขมวดคิ้ว กลิ่นเหมือนที่ได้กลิ่นตอนอยู่ศาลบรรพชนตระกูลเกา ดูท่าเซียนหญิงนั่นเป็นปีศาจจริงๆ
รถม้าวิ่งไปบนเส้นทางภูเขาพักหนึ่ง พลันค่อยๆ ช้าลง เสวียนจีได้ยินเสียงเครื่องดนตรีดังแว่วมาทางด้านหน้า ถึงกับมีขบวนกลองเป่าปี่จริงๆ ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง รถม้าก็หยุดนิ่งลง ประตูรถพลันเปิดออก ด้านนอกมีเสียงผู้หญิง เสียงใสกระจ่างดังว่า “เชิญท่านผู้มีวาสนาลงจากรถ เปลี่ยนขึ้นเกี้ยว”
ครั้งนี้เสวียนจีไม่อาจหลบได้แล้ว ได้แต่ลงไปดูว่าแท้จริงเป็นมารปีศาจตนใด แต่กลับเห็นด้านนอกมีแต่สตรีแต่งกายแบบนางกำนัลในวังเรียงเป็นแถว ใบหน้าคลุมผ้าแพรบาง ในมือทุกคนถือโคมไฟผลึกแก้วหลิวหลี อีกมือประคองผ้าสีขาว น้อมกายรอ เกี้ยวมงคลสีแดงทั้งสี่รออยู่อีกทาง ด้านหน้าก็มีขบวนกลองเป่าปี่แค่ของตนเอง เห็นนางลงมา ก็เริ่มบรรเลงตีเป่ากันครึกครื้น
สตรีที่เป็นหัวหน้านางกำนัลย่างกายเข้ามา คำนับให้นางอย่างงดงาม กล่าวน้ำเสียงใสกระจ่างว่า “ยินดีต้อนรับท่านผู้มีวาสนา ขอท่านเปลี่ยนชุด”
กล่าวจบ นางก็สะบัดชุดแต่งงานสีแดงสดในมือออก สตรีด้านหลังสองนาง คนหนึ่งถือมงกุฎหงส์ อีกคนถือเครื่องประดับต่างๆ และผ้าคลุมหน้า สตรีที่เหลือก็กางแถบผ้าขาวในมือออกขึ้นเป็นกำบังง่ายๆ เพื่อให้นางเปลี่ยนชุด
ยามนี้แม้ว่าเป็นยามค่ำคืนมืดมิด แต่ชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์สะท้อนแสงจากโคมไฟผลึกแก้วหลิวหลี ก็รู้สึกถึงแสงระยิบโดยรอบ ภาพงดงามอย่างยิ่ง ในใจเสวียนจีพลันนิ่งงัน รู้สึกเพียงว่าไม่อยาก แต่เรื่องมาถึงตอนนี้ก็ไม่อาจหันหลังกลับได้แล้ว ได้แต่ตามสตรีเหล่านี้ไปยังหลังกำบังเปลี่ยนชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์
ไม่รู้พวกซือเฟิ่งตอนเปลี่ยนชุดแต่งงานนี้จะรู้สึกอย่างไร…เสวียนจีแอบคิดเงียบๆ ก็น่าจะเป็นประสบการณ์แปลกใหม่มากครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อกำจัดปีศาจ พวกเขาทุ่มเทไม่น้อยจริงๆ
กว่าจะเปลี่ยนชุดสวมมงกุฎที่แสนวุ่นวายเรียบร้อยก็ไม่ง่าย มงกุฎบนศีรษะหนักราวเจ็ดแปดชั่งได้ น้ำหนักกดคอจนรู้สึกปวดเกร็งไปหมด เสวียนจีแอบประคองอย่างระมัดระวัง เกรงแต่ว่าจะกลิ้งหล่นกลางทาง เช่นนี้ก็คงอนาถย่ำแย่มาก
สตรีที่เป็นหัวหน้านางกำนัลเห็นนางไม่ร้องไห้และไม่พูดอันใด อดยิ้มไม่ได้ กล่าวว่า “ท่านผู้มีวาสนาท่านนี้นับว่าเป็นคนสุขุมสงบนิ่งไม่น้อย ไม่เหมือนหลายปีมานี้ แต่ละคนได้ยินว่าเปลี่ยนชุดแต่งงาน ล้วนพากันร้องไห้จะกลับบ้าน”
เสวียนจีเห็นนางกล่าวกับตนเอง ก็ไม่อาจไม่ตอบ ได้แต่ทำเสียงทุ้มกล่าวว่า “ทำไมต้องร้องไห้ ทุกคนไม่ใช่ว่าถูกเลือกไปปรนนิบัติเซียนหญิงหรือ”
หญิงผู้นั้นดีใจกล่าวว่า “ก็เป็นเช่นนี้ ได้ปรนนิบัติเซียนหญิงย่อมเป็นวาสนาใหญ่ คนธรรมดาร้องขอยังร้องขอไม่ได้ นับประสาอันใดกับได้เป็นสามีภรรยากับนาง วาสนาสามภพชาติสั่งสมมาจริงๆ”
สามีภรรยา? นางแต่งสามีทีเดียวสี่คน! ปีหนึ่งเปลี่ยนสี่คน ก็เรียกว่าวาสนาสามภพชาติสั่งสมมา?
เสวียนจีกระแอมไอในลำคอ กำลังคิดถามนางถึงพวกเขาอีกสามคนว่ามาแล้วหรือยัง พลันได้ยินเสียงเครื่องดนตรีประโคมด้านหน้า สตรีที่กล่าววาจากับนางเมื่อครู่รีบออกไปต้อนรับ กล่าววาจาเหลวไหลที่กล่าวกับนางเมื่อครู่อีกครั้ง
ดูท่าเขาทั้งสามมาถึงพร้อมกันแล้ว
เสวียนจีถูกคนประคองเข้าเกี้ยวมงคล หูได้ยินเสียงจงหมิ่นเหยียนร้องดังที่สุด “อย่าแตะต้องข้า…ชิ นี่อย่าถอด…อย่าแตะต้อง! ได้ๆ ข้าถอดเอง! เปลี่ยนเอง!”
หรูอี้ปฏิเสธได้นุ่มนวล “แม่นางทุกท่าน ขอให้ข้าได้เปลี่ยนชุดเอง”
อวี่ซือเฟิ่งกลับเย็นชายิ่งว่า “ไม่ต้องรับใช้ ถอยออกไป”
เสวียนจีเลิกม่านดูเล็กน้อย แอบมองลอดออกไปด้านนอก เห็นเขาทั้งสามคนล้วนสวมชุดแต่งงานมงกุฎหงส์ รูปร่างสูงผอมสามคน ผมดำในชุดแดง ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกไม่เข้ากันแต่อย่างใด ถึงกับกลับรู้สึกงดงามดึงดูดอยู่กระแสหนึ่ง อวี่ซือเฟิ่งกับหรูอี้ยังคงสวมหน้ากากอสุราอยู่บนใบหน้า ถึงกับไม่มีคนเตือนพวกเขาให้ถอดออก น่าแปลกจริง
ราวกับรู้สึกว่ามีคนมองตนเองอยู่ อวี่ซือเฟิ่งผินใบหน้ามองมา ก่อนจะหันกลับไปอย่างรวดเร็ว หันหลังให้นาง ไม่หันกลับมาอีก
เขาอาย? อยู่ๆ เสวียนจีก็รู้สึกอยากหัวเราะ ชายชาตรีถูกบังคับให้แต่งชุดแต่งงานสตรีก็น่าอึดอัดจริง นับประสาอันใดกับพวกซือเฟิ่งที่มีนิสัยไว้ตัว ยามนี้คิดว่าคงกำลังเดือดปุดๆ อยู่ในใจกระมัง
ฤกษ์ยามมงคลมาถึงอย่างรวดเร็ว สี่คนเข้าไปในเกี้ยวมงคล สตรีแต่งกายแบบนางกำนัลในวังถือโคมไฟ ถึงกับลอยตัวเบาหวิวขึ้นมา นำทางอยู่ด้านหน้า
เกี้ยวมงคลลอยตามขึ้นไป บินผ่านป่าดำทะมึน ลมค่ำคืนหวีดหวิวพัดม่านเกี้ยวและผ้าแดงคลุมหน้าพลิ้วไหวไปมา เสียงเครื่องดนตรีประโคมด้านล่างเริ่มไกลออกไป แสงจันทร์ส่องเข้ามา ทั้งสี่เห็นเกี้ยวไม่มีคนยกกลับบินได้เร็วมาก รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย เกรงแต่ว่าเซียนหญิงแซ่เกาผู้นี้เป็นมารปีศาจที่สำเร็จตบะมานานแล้ว ด้วยกำลังพวกเขา ไม่รู้ว่ามีทางชนะได้กี่ส่วน
ลอยไปมาเช่นนี้ได้ราวสามเค่อ พลันปรากฏแสงโคมไฟท่ามกลางป่าเขารกร้าง เสวียนจีดึงผ้าคลุมหน้าออก ยื่นหน้าออกไปดู เห็นผืนป่าและยอดเขาประหลาดล้อมรอบ ท่ามกลางแสงจันทร์ดูแล้วกว้างใหญ่อย่างมาก ยอดเขาเกาซื่อซานที่สูงที่สุดถึงกับมีวังที่มีแสงโคมไฟสว่างไสวตั้งตระหง่าน ต้องเป็นที่พำนักเซียนหญิงแซ่เกาแน่
ไหนเลยเรียกว่านางเร้นกายซ่อนตัว เห็นชัดว่าครองภูเขาราวฮ่องเต้! เกรงแต่ว่าฮ่องเต้ยังไม่อาจหรูหราฟุ้งเฟ้อเหมือนนาง
เกี้ยวมงคลนำคนสี่คนมาหยุดด้านหน้าตำหนักใหญ่โต หน้าตำหนักมีนางกำนัลถือโคมผลึกแก้วหลิวหลียืนเรียงเป็นแถว พวกนางเผยรอยยิ้มบางกล่าวว่า “ท่านผู้มีวาสนาทั้งสี่มาถึงแล้ว?”
สตรีหัวหน้าเมื่อครู่กล่าวว่า “รับตัวมาแล้ว ตอนนี้คำนับฟ้าดินส่งเข้าห้องหอได้เลย”
นางกำนัลเหล่านั้นพอได้ยินก็หัวเราะกันคิกคักเปิดม่านเกี้ยวออก ประคองพวกเสวียนจีสี่คนลงมา นำทางเข้าไปในตำหนัก
เสวียนจีคลุมผ้าแดงบนศีรษะ มองไม่เห็นอันใด รู้สึกเพียงแค่มีลมหอมพัดมาวูบหนึ่ง กลิ่นนั้นแฝงไปด้วยกลิ่นอายปีศาจไม่รู้เท่าไร พื้นปูด้วยกระเบื้องแก้วแวววาวส่องแสงประกาย ทำเอาตาลาย ไม่รู้ว่าควรเดินไปที่ใด ดีที่ข้างๆ มีคนนำ ไม่เช่นนั้นคงได้ตาลายเดินผิดทางแน่
เดินไปพักหนึ่ง ก็ค่อยๆ เข้าไปยังโถงใหญ่แห่งหนึ่ง ด้านในมีโคมไฟจุดสว่างไสว กลิ่นหอมยิ่งอบอวล ดมแล้วทำเอาปวดตาอ่อนแรง เหมือนตัวเบาหวิว ราวกับลอยล่องอยู่กลางเมฆา
กลิ่นอายปีศาจ! เสวียนจีสะดุ้ง ต้องเป็นเซียนหญิง! นางอยู่ที่นี่
คนนำทางหยุดลง ยิ้มกล่าวว่า “เซียนหญิง ท่านผู้มีวาสนาทั้งสี่มาถึงแล้ว ฤกษ์มงคลก็ได้เวลาแล้ว ดำเนินพิธีส่งเข้าห้องหอได้แล้ว”
ด้านหน้ามีคนส่งเสียง “อืม” ขึ้นเสียงหนึ่ง เสียงนี่ถึงกับเป็นเสียงที่มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างบอกไม่ถูก พอได้ยิน ในใจทั้งสี่คนพลันเต้นโครมครามแรงยิ่งขึ้น ราวกับดื่มสุราที่หอมหวานที่สุดลงไป ใบหน้าร้อนผ่าว
ตามมาด้วยเสียงเครื่องหยกพกติดกายกระทบกัน เซียนหญิงเดินเข้ามา เสวียนจีก้มหน้า เห็นเพียงรองเท้าผ้าแพรสีม่วงอ่อนปรากฏตรงพื้น บนรองเท้าปักลายบุปผาประณีตสองดอก
รองเท้าคู่นั้นหยุดลงตรงหน้าทุกคน ดูท่าเซียนหญิงกำลังสังเกตพวกเขา ไม่มีผู้ใดกล่าวอันใด ความเงียบในห้องโถงทำให้ได้ยินเสียงลมหายใจตนเอง ทั้งสี่ยิ่งใจเต้นแรงขึ้น ถูกบรรยากาศอึดอัดบีบคั้นจนหัวใจราวกับแทบจะเต้นหลุดออกมาจากลำคอ
ไม่รู้นานเท่าไร เสียงไพเราะเสนาะหูเมื่อครู่ดังขึ้นอีกครั้ง “ดีมาก เริ่มพิธีได้”
ตามมาด้วยเสียงดังกึกก้องทางด้านหลัง เจ้าหน้าที่ขานมงคลส่งเสียงดัง “ได้ฤกษ์มงคลแล้ว หนึ่งคำนับฟ้าดิน!”
ด้านหลังมีคนผลักนางทีหนึ่ง เสวียนจีอดลงคุกเข่าบนเบาะนั่งที่พื้นไม่ได้ ดำเนินพิธีไหว้ฟ้าดิน นางปรายตามองไปยังคนข้างๆ สองมือซีดขาว ปลายนิ้วมีแหวนเหล็กสวมอยู่วงหนึ่ง เป็นอวี่ซือเฟิ่ง ราวกับรู้ว่านางกำลังมองตน มือนั่นเริ่มสั่นเล็กน้อย ยื่นมากุมมือนางไว้แน่น
เสวียนจีสะดุ้งในใจ ไม่รู้ว่าควรดึงกลับมาหรือไม่