ร่างกายหนักมาก ราวกับก้อนฝ้ายที่แช่อยู่ในน้ำ ดูดซึมน้ำเข้าไป คิดขยับก็ไม่ได้ แต่…สนใจอะไรมัน นอนลงที่นี่ ไยต้องขยับ
อย่างไรนางก็ไร้ทางหนีแล้ว
เบื้องหน้ามีเงาหลายคนวูบไหวไปมา บ้างก็ส่งเสียงปลอบนางดังจอแจ บ้างก็ล้อมวงเข้ามุงดูนาง ใช้กระบี่จี้นางไว้ บ้างก็รีบไปหาเชือกมามัดนางไว้
ขณะที่กำลังชุลมุนวุ่นวายกันอยู่นั่นเอง ด้านนอกพลันมีเสียงดังโหวกเหวกอย่างมาก เสียงฝีเท้าเร่งร้อน มีคนรีบวิ่งเข้ามา ตะโกนดังว่า “ราชโองการ!”
เสียงเอะอะจอแจพวกนั้นน่ารำคาญมาก เอะอะจนหูกับศีรษะแทบจะระเบิดออกแล้ว นางหยุดดิ้นรน ตัดสินใจว่าจะเป็นปลาตายตัวหนึ่งให้ฆ่าได้ตามใจ ฉับพลันนั้นเอง ราวกับถูกคนลากขึ้นมา โงนเงนไปมา มายังที่ที่มืดมิดแห่งหนึ่ง ด้านหน้าเป็นประตูเหล็กหนาเท่าลำแขน ด้านบนเต็มไปด้วยยันต์คาถาแปลกประหลาด
นางรู้สึกคุ้นเคย คิดไม่ออกว่าอยู่ที่ใด ก่อนจะถูกผลักเข้าไปล้มอยู่หลังประตู
หลายคนกำลังมองดูนางจากด้านนอกประตู พากันซุบซิบกันอยู่ด้านนอก
“น่าเสียดาย…เมื่อครู่ที่ขึ้นมา…”
“…ทำความผิดใหญ่หลวงนัก ข้างๆ นั่นหน้าคุ้นๆ ล้วนพลอยมีโทษไปด้วย…”
“ตายก็ไม่สำนึก ราชันสวรรค์คิดปกป้องก็ไม่อาจปกป้องได้แล้ว…”
นางฟังไม่ชัดว่าคนเหล่านี้กำลังพูดถึงผู้ใด นางรู้สึกเพียงแค่เหนื่อย เหนื่อยอย่างที่สุด ทั่งร่างชุ่มไปด้วยน้ำ ผิวหนังทุกตารางนิ้วล้วนขี้เกียจขยับ คิดเพียงแค่นอนอยู่ตรงนี้
นอนอยู่ตรงนี้ก็ดี เหนือศีรษะมีลำแสงเล็กๆ เมฆลอยไปมาไร้ระเบียบ ยามนั้นนางรู้สึกเงียบสงบมาก
“นี่ ข้าว่า…เจ้าอย่าได้ลืมข้า”
มีคนกล่าวกับนางเช่นนี้ เสียงนั้นคุ้นหูมาก เคยได้ยินจากอยู่ที่ใดกัน
“แต่ ลืมไปก็ไม่เป็นไร ข้าย่อมรอเจ้า ย่อมต้องหาเจ้าพบ ถึงตอนนั้นค่อยคิดบัญชีบุญคุณความแค้นกันก็แล้วกัน”
บุญคุณความแค้น? บุญคุณความแค้นอันใด?
ในใจนางพลันสะดุ้งอย่างไร้เหตุผล ร่างในน้ำราวกับบิดให้แห้งในพริบตา รอบๆ ราวกับตกเข้าสู่กระแสน้ำวน ค่อยๆ ม้วนตัวก่อนจะหมุนวนหายลับไป
นางพลันลืมตาโพลง เหนือศีรษะมีแสงพุ่งตรงลงมา ส่องมายังแนวดั้งจมูกนาง นี่คือถ้ำแห่งหนึ่ง ชื้นและเงียบกริบ ไม่มีเสียงอันใดแม้แต่น้อย
เสวียนจีค่อยๆ ขยับตัว รู้สึกเพียงว่ามือขวามีความรู้สึกปวดปลาบแล่นชาวาบมา เหมือนกระดูกหัก นางฝืนความเจ็บปวด ลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางงุนงงสับสน มองไปรอบๆ ก่อน ที่นี่ราวกับถ้ำที่อยู่ในแผ่นดินลึกลงไป ไม่ใหญ่นัก เดินสองก้าวก็ชนกับผนังถ้ำ แต่ลึกมาก ด้านบนปากถ้ำมีแสงอาทิตย์สาดแสงตรงเข้ามา ในถ้ำเต็มไปด้วยตะไคร่เกาะผนังหลากชนิด ส่งกลิ่นประหลาดมาก
ตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เสวียนจีพยายามนึกย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ นางจำได้ว่านางกับซือเฟิ่งได้พบกับมารปีศาจที่มาทำลายโซ่หมุดทะเลที่เนินเขา อีกฝ่ายรู้ว่าพวกเขาเป็นมือสังหารปีศาจที่เขาไห่หวั่นตัวนั้น กำลังจะสังหารพวกเขาแก้แค้น ยังพานกปี้ฟางขาเดียวที่น่ากลัวมาด้วย
นางถูกไฟประหลาดเผามาหน่อยหนึ่ง ยังถูกปีศาจตัวหนึ่งถีบเข้ากลางหลังสลบไป สุดท้ายพอจำได้เลือนราง มีคนอุ้มนางโดดลงทะเลสาบ…เป็นซือเฟิ่ง! ต้องเป็นซือเฟิ่งช่วยนางแน่!
เสวียนจีรีบลุกขึ้น คิดไม่ถึงว่ามือขวาและแผ่นหลังจะออกอาการพร้อมกัน เจ็บปวดจนหน้าอกนางกระตุก เบื้องหน้าดาวลอยเคว้งเกือบหงายหลังล้ม ในยามนั้นเองพลันมองเห็นที่มุมหนึ่งของถ้ำมีคนนอนฟุบอยู่ เป็นอวี่ซือเฟิ่ง นางไม่สนใจร่างที่เจ็บปวด ตะกายเข้าไปพลิกตัวเขาขึ้นมา
ตัวอวี่ซือเฟิ่งอ่อนปวกเปียก ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เสวียนจีเรียกเขาอยู่เป็นนาน เขาก็ไม่ตอบ
ในใจนางพลันมีความรู้สึกไม่ดีบางอย่างผุดขึ้นมา คว้าข้อมือเขาสั่นเทา คลำหาชีพจรนางพ่นลมหายใจออกมา ยังดี ยังมีชีพจร ยังไม่ตาย!
“ซือเฟิ่ง ได้ยินไหม”
นางเรียกเบาๆ ที่ข้างหูเขา แต่เขายังคงนิ่ง หน้ากากบนใบหน้ามองไม่เห็นใบหน้าแท้จริง เสวียนจีร้อนใจเอื้อมมือไปคิดปลดออก พลันเห็นขอบหน้ากากมีรอยสีแดง เหมือนว่ามีบางอย่างแข็งตัวจับก้อน
นางใช้มือแตะดู มาอังดมที่จมูกเลือด!
เสวียนจีรู้สึกใจร่วงหล่นลงไปทันที ตัวสั่นเย็นเยียบ พลันไม่กล้าปลดหน้ากากเขา เกรงว่าจะเห็นใบหน้าที่เลือดออกเจ็ดทวาร เขาตายแล้วหรือไม่ หรือว่าได้รับบาดเจ็บหนักจนไม่อาจรั้งไว้ได้
นางไม่อาจระงับความสั่น สองตาจับจ้องไปยังหน้ากากที่ดูเหมือนร้องไห้นั่น…ไม่ใช่สิ นางจำได้ว่าหน้ากากซือเฟิ่งต้องยิ้มครึ่ง หลั่งน้ำตาครึ่ง! นางลังเลเอื้อมมือไปลูบคลำหน้ากากนั่น ตอนนี้มันกลายเป็นร้องไห้แล้ว รอยยิ้มครึ่งหนึ่งหายไปหมดแล้ว…เหลือเพียงแค่มุมปากที่ยังคงมีรอยยิ้มบาง
“ซือเฟิ่ง!” นางหวีดร้องดัง ปลดหน้ากากออก
เหนือความคาดหมาย ใบหน้าภายใต้หน้ากากไม่เหมือนดังที่นางจินตนาการไว้ว่า โครงหน้าไม่ได้บิดเบี้ยวและไม่ได้เลือดออกเจ็ดทวาร ยังคงเป็นใบหน้าซีดขาว คิ้วงามเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสัน เป็นหนุ่มน้อยหยิ่งยโสเย็นชาในความทรงจำนางเมื่อสี่ปีก่อน เขาเป็นหนุ่มแล้ว สลัดภาพละอ่อนของชายหนุ่มอายุน้อยไปหมดสิ้น โครงหน้าชัดเจนราวกับต้นสนเขียวชอุ่มหรือไม่ก็ต้นไผ่เขียวขจีที่ตั้งตรงผ่าเผย เหมือนที่จงหมิ่นเหยียนว่าไว้ ได้เห็นซือเฟิ่งก็มักจะคิดถึงสิ่งของที่สูงสง่า ทุกคนล้วนเกิดแต่บิดามารดา แต่ไยคนอื่นจึงได้งดงามเพียงนี้ได้
เสวียนจีเอื้อมมือไปลูบใบหน้าเขา เขาหลับตาแน่น ขนตาเปียกลู่อยู่ในยามนี้ อาจเพราะแตะโดนจมูก เลือดจากจมูกจึงไหลลงมายังจอนผมด้านข้าง มุมปากก็มีคราบเลือด
เขาไม่เปลี่ยนไปเลย…เสวียนจีอยากร้องไห้ก็อยาก อยากหัวเราะก็อยาก เห็นหน้ากากประหลาดบนใบหน้าเขา นางคิดว่าเขาเกิดเรื่องอันใด ซือเฟิ่งตัวดี อันใดก็ไม่บอกนาง ทำเอานางเป็นห่วงแทบตาย
ลูบแขนและขาเขาจากบนลงล่าง มั่นใจว่าไม่มีที่ใดบาดเจ็บกระดูกหัก คิดว่าเขาเพียงแค่สลบไปเท่านั้น ไม่มีอันตรายอันใด เสวียนจีจึงได้วางใจ ทนฝืนความเจ็บปวดที่แขนขวาและแผ่นหลัง คลำในตัวหาผ้าเช็ดหน้าเปียกชื้นออกมาได้ผืนหนึ่ง เช็ดคราบเลือดที่แห้งกรังบนใบหน้าเขาจนสะอาด
อวี่ซือเฟิ่งค่อยๆ ส่งเสียงครางขึ้นเสียงหนึ่ง ปรือตาลืมขึ้นมอง แวบแรกก็เห็นเสวียนจีที่ท่าทางทุลักทุเลอย่างยิ่ง นางทั้งหัวหูทั่วใบหน้าชุ่มไปด้วยน้ำ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเหงื่อหรือน้ำตาจากการร้องไห้ ชีวิตนี้ไม่เคยน่าเกลียดเช่นนี้มาก่อน
“เจ้าฟื้นแล้ว! เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหน” เสวียนจีเห็นเขาลืมตาก็ดีใจส่งเสียงดัง
เขานิ่งมองนางเป็นนาน พลันกระดกมุมปากขึ้น ยกมือขึ้นลูบใบหน้านาง กล่าวเบาๆ ว่า “เสวียนจี ไยเจ้าน่าเกลียดเช่นนี้”
เสวียนจีตะลึงงัน เขากลับดิ้นรนจะลุกขึ้นนั่ง พลันกุมหน้าอกส่งเสียงอึกขึ้นเสียงหนึ่ง นางร้อนใจถามขึ้น “เป็นอะไรไป”
เขาส่ายหน้า “กระดูกซี่โครงหัก ไม่เป็นไร…เจ้าช่วยข้าหากิ่งไม้มาหน่อยได้ไหม”
นางรับคำ รีบเข้าไปควานหาจากในถ้ำ หากิ่งไม้เปียกๆ ออกมาได้สองสามท่อน มากองตรงหน้าเขา อดเข้าไปแหวกเสื้อเขาออกไม่ได้ กำลังจะดามกระดูก ใบหน้าอวี่ซือเฟิ่งพลันแดงก่ำ คว้ามือนางไว้ กระซิบว่า “ข้าทำเอง”
เสวียนจีเห็นแถบสีแดงบนใบหน้าเขา ยังคงขี้อายเหมือนตอนเป็นเด็ก อดยิ้มไม่ได้กล่าวว่า “หน้าแดงทำไม ทุกคนล้วนเป็นสหายกัน! ข้าช่วยเจ้าต่อเร็วกว่าหน่อย”
อวี่ซือเฟิ่งกลับตัวแข็งทื่อ เป็นนานจึงค่อยๆ ยกมือขึ้น ลูบใบหน้าทีหนึ่ง ตามมาด้วยสีหน้าแปรเปลี่ยนกล่าวว่า “หน้ากากล่ะ?”
เสวียนจียกหน้ากากประหลาดข้างมือขึ้น เผยรอยยิ้มบาง “ข้าอยากปลดนานแล้ว! ข้าเห็นว่ามีเลือดเปื้อน คิดว่าเจ้าบาดเจ็บ ข้าละเมิดกฎตำหนักหลีเจ๋อพวกเจ้าอีกแล้วใช่ไหม”
อวี่ซือเฟิ่งมองนางอย่างคาดไม่ถึง ราวกับกำลังมองสัตว์ประหลาด พึมพำกล่าวว่า “เจ้า…เจ้าปลดมันออกได้”
“มีอันใดไม่ได้ หน้ากากอันเดียวเท่านั้น!”
เขาจ้องมองนางตาค้าง ไม่กล่าวอันใด ในที่สุดเสวียนจีถูกเขามองจนรู้สึกลุกวาบในใจ ค่อยๆ คืนหน้ากากให้เข้าด้วยท่าทีระแวดระวัง กล่าวเบาๆ ว่า “ข้า…ข้าทำผิดใช่หรือไม่”
เขายังคงไม่กล่าวอันใด เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “เจ้า…เจ้าดู ข้ามันหัวสุกร! มักทำผิดเรื่อย ไม่ใช่ลืมเขียนจดหมายหาเจ้าก็ละเมิดกฎพวกเจ้า! เจ้าด่าข้า ตีข้าสิ! อย่าเอาแต่นิ่งเงียบ…”
อวี่ซือเฟิ่งพลันส่ายหน้า ถอนหายใจยาว คิ้วงามราวบุปผาต้นวสันตฤดู พลันยิ้มกว้างราวกับเติมสีสันสดใสให้กับถ้ำมืดมิดได้อย่างไร้เหตุผล
“เจ้า…” เสวียนจีมองจนอึ้งไป พลันลืมสิ้นว่าตนต้องการกล่าวอันใด
ห้วงเวลาถัดมา ถูกเขาดึงเข้าสู่อ้อมกอด เขากอดนางแน่น ก้มหน้าบรรจงจูบผมที่ยุ่งเหยิงของนาง เป็นนานกว่าจะกระซิบกระซาบว่า “ข้าไม่ได้โมโห ข้าแค่ดีใจเกินไป”