ทั้งสองมาถึงหมู่บ้านฝูอวี้ เห็นบรรดาศิษย์ที่ถูกขับไล่ออกมาแล้วก็ย่อมต้องปลอบใจสักครา ดีที่ศิษย์อายุน้อยพวกนี้แม้ว่าเสียใจ แต่ก็ยังคงจงรักภักดีมาก กล่าวเพียงว่าหากอาจารย์ไม่รับพวกเขากลับไป ก็ยอมอยู่หมู่บ้านฝูอวี้ไปชั่วชีวิต แก่ตายก็ไม่จากไป
อวี่ซือเฟิ่งยังถามหลายคนถึงเหตุที่ถูกขับออกมา ปลอบใจสองสามคำ จึงได้ออกมากับเสวียนจี ไปกินเนื้อย่างที่นางเฝ้าแต่คิดคำนึงหา
“ศิษย์ที่ถูกขับพวกนี้ หลายคนเป็นคนที่ปกติฮูหยินตงฟางเอ็นดูกว่าใคร” อวี่ซือเฟิ่งกินไปกล่าวไป “ฮูหยินเจ้าเกาะผู้นี้ ไม่มีวิทยายุทธ์แม้แต่น้อย แต่ชอบเป็นอาจารย์หญิง ศิษย์ที่ได้รับความเอ็นดูจากนางเป็นพิเศษ ปกติก็จะดูแลถามไถ่ความเป็นอยู่ ดูแลครบครัน ดังนั้นเจ้าเกาะตงฟางพอพบกว่าฮูหยินตนมี…คนที่ต้องสงสัยอันดับแรกก็ย่อมเป็นศิษย์ชายพวกนี้”
“อาจารย์หญิงกับศิษย์จะมีเรื่องอันใดได้ ท่านอาตงฟางระแวงมากไปแล้ว” ในความคิดเสวียนจี อาจารย์และอาจารย์หญิงก็เทียบกับบิดามารดา กับคำว่าคนรักนั้นไม่อาจแม้แต่จะคิดเกี่ยวข้อง
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้ากล่าวว่า “วาจาไม่อาจกล่าวเช่นนี้ เจ้าเกาะตงฟางปีนี้อายุสี่สิบกว่าแล้ว เดาว่าภรรยาเขาสามสิบยังไม่ถึง อายุห่างกันขนาดนี้ ภรรยายังรูปโฉมงดงาม เขาไม่วางใจก็เป็นธรรมดาของใจชาย”
ธรรมดาของใจชายหรือ เสวียนจีถามอย่างไม่สนใจนัก “เช่นนั้น ซือเฟิ่งก็มีใจเช่นนี้ด้วยหรือ”
เขาพลันอึ้งไป กระแอมไอสองที ทำเป็นเหมือนไม่รู้สึกอันใดกล่าวว่า “กำลังพูดถึงเจ้าเกาะตงฟางนะ อย่านอกเรื่อง”
ทำไมดูเหมือนเขากินปูนร้อนท้องอยู่สักหน่อย หากเป็นหลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียนคงได้ทะเลาะกันไปแล้ว ดีที่เสวียนจีไม่คิดมาก แค่ถามไปไม่คิดอะไร
“ไม่รู้ท่านอาตงฟางรู้จักภรรยาเขาได้อย่างไร แต่งสาวงามอันดับหนึ่งเป็นภรรยา เขาย่อมดีใจมากแน่”
อวี่ซือเฟิ่งยามนี้กินอิ่มแล้ว กำลังก้มหน้าดื่มชา หันไปกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ตอนข้ายังเด็กอยู่ มีครั้งหนึ่งได้ยินพวกอาจารย์คุยเล่นกันเรื่องการแต่งงานของเจ้าเกาะ ฮูหยินนั่นเดิมเป็นชาวเขาจื่อถง ตอนนั้นเขาจื่อถงมีลัทธิมารอาละวาด ไม่รู้ได้เคล็ดวิชามารมาจากที่ไหน มักจะออกจับสตรีมาทำยา ทำเอาบ้านที่มีบุตรสาวพากันหวาดกลัว เจ้าเกาะตงฟางจึงไปปราบมารที่เขาจื่อถง ช่วยสตรีที่ยังไม่ถูกสังหารเพียงคนเดียวออกมาก็คือฮูหยินตงฟาง ได้ยินว่านางกำพร้า ไม่มีบิดามารดา เจ้าเกาะตงฟางพลันนึกสงสาร จึงพานางกลับมายังเกาะฝูอวี้ ไม่ถึงครึ่งปีก็แต่งงานกับนาง”
วีรบุรุษช่วยสาวงามแม้ว่าเป็นเนื้อหานิทานที่พื้นบ้านยิ่ง แต่หากเกิดขึ้นกับคนที่ตนคุ้นเคย ก็กลายเป็นเรื่องรักหวานอย่างที่สุด เสวียนจีสองตาเป็นประกาย กล่าวไม่หายใจว่า “ที่แท้ยังมีเรื่องเช่นนี้! ท่านอาตงฟางแต่ไรมาไม่เคยเล่า!”
อวี่ซือเฟิ่งยังกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องส่วนตัว อยู่ดีๆ จะเล่าทำไมกัน และตอนนั้นอาจารย์ข้ายังว่า เกรงแต่ว่าเจ้าเกาะตงฟางถูกความงามล่อลวง สตรีผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดา…เจ้าคิดดู เด็กหญิงทั้งหมดที่ถูกจับไปล้วนตายหมด เหตุใดเหลือนางรอดคนเดียว ได้ยินชาวบ้านเขาจื่อถงเล่าว่า แต่ไรมาไม่รู้ว่ามีคนคนนี้อยู่ แม้ว่าเป็นเด็กกำพร้า ก็เกรงว่ายากจะทำให้คลายสงสัยในเรื่องนี้”
“อา ความหมายเจ้าก็คือ…จริงๆ แล้วฮูหยินตงฟางเป็นพวกเดียวกับลัทธิมารนั่นหรือ” เสวียนจีแทบไม่อยากจะเชื่อ
“ตอนนี้ไม่อาจสรุปได้” อวี่ซือเฟิ่งรินชาอีกแก้ว “แต่ปกติสตรีประสบภัยแต่งกับวีรบุรุษที่มาช่วยนาง ก็ย่อมเป็นเพราะตนซาบซึ้งใจและเลื่อมใส เจ้าดูแล้วฮูหยินตงฟางเป็นคนเช่นนี้ไหม”
เหมือนว่า…พอเขากล่าวเช่นนี้ ก็ไม่เหมือนจริงๆ และยัง…ทอดสะพาน ให้กับพ่อบ้านโอวหยางที่ไม่ว่าตรงไหนก็สู้ท่านอาตงฟางไม่ได้
“ดังนั้นข้าคิดว่า หากพวกเราสืบหาที่มาที่ไปของฮูหยินตงฟางให้กระจ่างได้ ก็จะคืนความเป็นธรรมให้กับเหล่าบรรดาศิษย์พวกนี้ได้”
เสวียนจีตบมือยิ้มกล่าวว่า “ดังคาด ไม่ว่าอย่างไรยังคงเป็นซือเฟิ่งเฉลียวฉลาดที่สุด! ข้าบอกแล้ว อันใดก็ล้วนฟังซือเฟิ่ง ไม่ผิดแน่!”
อวี่ซือเฟิ่งหน้าแดงไร้วาจาจะกล่าว กำลังคิดหาวาจาแทรก พลันได้ยินด้านหลังมีคนหัวเราะกล่าวว่า “ดูๆ ข้าเห็นใครเข้า พวกเจ้าผีน้อยสองคนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”
ทั้งสองรู้สึกน้ำเสียงคุ้นเคยมาก หันกลับไปพร้อมกัน พลันเห็นหน้าประตูร้านอาหารมีคนสวมหมวกสานยืนอยู่สองสามคน ที่เอวแขวนกระบี่ยาว ล้วนเผยรอยยิ้มบางมองมายังพวกเขา
“ท่านพ่อ! ศิษย์พี่!” เสวียนจีตะโกนเรียกเสียงดัง ดีใจปรี่เข้าไป มองทางนี้ที มองทางนั้นที ถึงกับกล่าวอันใดไม่ออก
อวี่ซือเฟิ่งรีบตามออกมา ประสานมือคารวะ “ข้าน้อยคารวะเจ้าสำนักฉู่ ศิษย์พี่ทุกท่าน”
เฉินหมิ่นเจวี๋ยข้างๆ หัวเราะดัง กล่าวว่า “พวกเจ้าจริงๆ ด้วย! เหตุใดมาเที่ยวเล่นอยู่เกาะฝูอวี้แล้ว เมื่อครู่ศิษย์พี่ใหญ่บอกว่าเหมือน ข้ายังไม่อยากเชื่อว่าจริงเลย”
เมื่อครู่คนที่พูดก็คือเขา ไม่เจอกันหลายเดือน เขาไว้หนวดยาวที่คางแล้ว ดูแล้วสุขุมหนักแน่นขึ้นมาอยู่บ้าง
ฉู่เหล่ยมาพบบุตรสาวที่รักที่นี่ ย่อมยินดีอย่างที่สุด แต่เขานิสัยเคร่งขรึม ยามนั้นจึงได้แต่อมยิ้มกล่าวว่า “อย่ามาส่งเสียงดังหน้าประตู เข้าไปคุยด้านใน”
ทุกคนเข้าไปลากโต๊ะสองสามตัวมาต่อกันล้อมวงนั่งลง เป็นการพบกันที่ครึกครื้นอีกครา แม้ว่าเสวียนจีรู้สึกเกรงกลัวบิดาเหมือนแต่ไรมา แต่อย่างไรก็เป็นการพบกันหลังจากกันนาน นับประสาอันใดกับวันนี้เขามีสีหน้าดีใจ จึงทำให้ไม่รู้สึกเกรงกลัวเท่าไร นางเล่าเรื่องที่ตนเองประสบมาตลอดทางอย่างติดๆ ขัดๆ น่าเสียดายนางฝีปากไม่เก่ง เล่าถึงตอนสุดท้าย ก็กลายเป็นอวี่ซือเฟิ่งเล่าอยู่
ฉู่เหล่ยได้ยินเรื่องหลิงหลงกับหมิ่นเหยียนหายตัวไปก็กล่าวว่า “หารอบๆ เขาเกาซื่อซานทั่วแล้วหรือ พวกเจ้ามาเกาะฝูอวี้ได้อย่างไร”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “หาจนทั่วแล้ว หาไม่เจอ เดิมพวกเราบอกว่าจะมาเกาะฝูอวี้ ดังนั้นในเมื่อหาไม่เจอ จึงมารอพวกเขาที่เกาะฝูอวี้ หวังเพียงว่าพวกเขาจะปลอดภัย และรีบเดินทางมา”
ฉู่เหล่ยได้ยินเช่นนี้ก็ได้แต่พยักหน้า วิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดจริงๆ หากเอาแต่หาต่อไป เกิดไปเจออันตรายอีก เช่นนั้นก็ล้วนจบสิ้นกัน เช่นนั้นจึงเรียกได้ว่าย่ำแย่ที่สุด ยามนี้ก็ได้แต่ตั้งความหวังว่าพวกจงหมิ่นเหยียนจะปลอดภัยและกำลังเร่งเดินทางมาที่นี่
เขามองเสวียนจี ไม่เจอนางหลายเดือน นางสูงขึ้นอีกหน่อยแล้ว ร่างผอมบางลง ไม่ดูไร้เดียงสาเหมือนตอนอยู่สำนักเส้าหยางเช่นนั้นแล้ว ใบหน้ามีร่องรอยต้องลมฝน ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นบ้าง ในใจอดยินดีไม่ได้ กล่าวว่า “เสวียนจี ลงเขาครั้งนี้ รู้ว่าโลกภายนอกอันตรายแล้วใช่ไหม”
เสวียนจีพยักหน้า รู้สึกเพียงว่ามีคนกำลังจ้องมองนาง นางหันไปเห็นศิษย์พี่ใหญ่ตู้หมิ่นหังเผยรอยยิ้มบางมองมาที่นาง เห็นนางมองกลับมา เขาจึงกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “บาดแผลศิษย์น้องเล็กหายดีแล้ว? กระดูกหักไม่ใช่เรื่องเล็ก หากไม่ได้ดูแลรักษาให้ดี วันใดฝนตกก็ย่อมเจ็บแปลบขึ้นมาอีก”
นางรีบพยักหน้า “หายดีแล้ว! ไม่เจ็บสักนิด ใช้การดีกว่าเมื่อก่อนอีก!”
นางยังโยกแขนไปมาให้ดู แสดงให้เห็นว่าใช้การได้ดีจริง การเคลื่อนไหวนี้ทำเอาคนอื่นๆ พากันหัวเราะเอ็นดู ตู้หมิ่นหังล้วงเอากล่องใบเล็กสีดำออกจากห่อผ้า ส่งให้นางว่า “หากรู้สึกเจ็บ ก็ให้ใช้ยานี้ทาบาดแผล วันละสามครั้ง ช่วยคลายปวดทำให้เลือดไหลเวียนดี”
กล่าวจบเขาก็มองอวี่ซือเฟิ่ง สีหน้าสับสน แต่สุดท้ายก็ยังคงยิ้มกล่าวว่า “ซือเฟิ่งก็อย่าลืมใช้ด้วย”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวขอบคุณ ยัดขวดยาเข้าแขนเสื้อ
ฉู่เหล่ยมองกระบี่ที่เอวเสวียนจี ไม่ใช่กระบี่ที่นางใช้อยู่บ่อยๆ เล่มนั้น ก็มองไปทางอวี่ซือเฟิ่ง ที่ตัวไม่มีอาวุธ อดถอนใจไม่ได้ กล่าวว่า “พวกเจ้าเด็กน้อยสองคงช่างวู่วาม ทำไมแม้แต่อาวุธเหมาะมือก็ไม่เตรียมให้ดีก่อนออกมา หากไม่ใช่ว่าโชคดี เกรงว่า…”
เสวียนจีกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “กระบี่ข้าถูกจิ้งจอกม่วงแย่งชิงไป หาไม่เจอแล้ว ดังนั้นซือเฟิ่งจึงให้ข้ายืมกระบี่เขา เขาเองยังมีกระบี่สั้น”
ฉู่เหล่ยมองออกนานแล้วว่าศิษย์สำนักมีชื่อเช่นอวี่ซือเฟิ่งมีใจไม่ธรรมดากับบุตรสาวคนเล็กตน ตอนนั้นพวกเขาออกจับปีศาจด้วยกันก็แสดงออกชัดเจนมาก และยังเป็นคนท่าทางโดดเด่นเป็นสง่า ทำให้ในใจเขายินดียิ่ง เห็นเขาคอยดูแลบุตรสาวคนเล็กที่รักของตนอย่างดีมาก ก็เป็นดังหยกงามสมเจตนารมณ์
พวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ไม่มีพิธีรีตองมาก ตอนนั้นฉู่เหล่ยเองก็รักกันเองกับเหอตันผิง ดังนั้นจึงไม่คิดขัดขวางลูกสาวทั้งสองในเรื่องนี้
เขาดึงกระบี่สีฟ้าครามเล่มหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระส่งให้เสวียนจี “วันหน้าเจ้าใช้กระบี่เล่มนี้ กระบี่ซือเฟิ่งก็คืนเขาไปได้แล้ว คนอื่นใช้กระบี่ประจำกายเคยชิน เจ้าจะใช้ถนัดได้อย่างไร กลับทำให้เขาตกในอันตราย”
เสวียนจีส่งเสียงอ้อขึ้นเสียงหนึ่ง รับกระบี่เล่มนั้นไป ค่อยๆ ชักออกมา ตัวกระบี่นั่นสีฟ้าราวสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ด้านบนสลักลายดอกไม้ราวคลื่นน้ำ งดงามยิ่ง แต่ไรมานางไม่เคยเห็นกระบี่เช่นนี้แต่พวกศิษย์พี่ใหญ่กลับรู้ว่าเป็นคู่กับ ‘กระบี่ต้วนจิน’ ของอาจารย์หญิง ล้วนเป็นกระบี่หลอมจากแท่นสวรรค์ของหุบเขาเตี่ยนจิง ตอนนั้นสิ้นเปลืองแรงและวัสดุหลอมไปมหาศาลกว่าจะตีกระบี่สองเล่มนี้ออกมาได้ หนึ่งในนั้นก็คือกระบี่ต้วนจิน อีกหนึ่งก็คือเล่มนี้ในมือเสวียนจี
“ชื่อว่าเปิงอวี้” ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ
กระบี่ต้วนจินกับกระบี่เปิงอวี้ เจ้าหุบเขาหรงมอบให้หลังจากบุตรสาวสองคนของเขาเกิดมา ตอนหลิงหลงอายุสิบเอ็ด เหอตันผิงมอบกระบี่ต้วนจินให้นาง ตอนนี้กระบี่เปิงอวี้ก็มอบให้เสวียนจี
“ท่านแม่เจ้าคิดถึงพวกเจ้ามาก กลัวว่าจะเจออันตรายข้างนอก ครั้งนี้พวกเรามาเกาะฝูอวี้ร่วมคัดรายชื่องานชุมนุมปักบุปผา นางกำชับข้าว่าให้เอากระบี่มาด้วย หากเจอพวกเจ้าก็ให้มอบกระบี่ให้เจ้า”
เสวียนจีเห็นกระบี่งดงามนี้ไม่เหมือนกระบี่ล้ำค่าหลายเล่มที่เคยเห็น กระบี่ทรงแคบมีไอเย็นกรุ่นกำจาย ทำให้คนมองแล้วรู้สึกหวาดกลัว ในใจนางนึกดีใจ พึมพำกล่าวว่า “ขอบคุณ ขอบคุณท่านพ่อ”
เฉินหมิ่นเจวี๋ยยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้ายังไม่รู้ว่ากระบี่นี้คมกริบเพียงใด ข้าสาธิตให้เจ้าดูก่อน ไม่ได้ร้ายกาจน้อยไปกว่าเทพศาสตราอย่างกระบี่ต้วนจินแม้แต่น้อย!”
เขาหยิบเอาเปลือกฟักทองที่ทิ้งเหลือบนโต๊ะขึ้นมาชิ้นหนึ่ง โยนไปทางกระบี่ ทุกคนจ้องมองเปลือกฟักทองขาดเป็นสองท่อนร่วงลงพื้น เขาถอนผมออกมาเส้นหนึ่ง วางไว้บนกระบี่ เป่าลมไปทีหนึ่ง ผมเส้นนั้นขาดทันที
“คมมาก!” เสวียนจีอุทานชื่นชม
ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “มีกระบี่เปิงอวี้ เจอมารปีศาจเขาไห่หวั่นกับเขาเกาซื่อซานก็ไม่ต้องกังวลอีกแล้ว เจ้าใช้มันดีๆ เป็นเทพศาสตราที่หาได้ยาก”
เสวียนจีเก็บกระบี่เปิงอวี้เข้าที่เอว คืนกระบี่ของอวี่ซือเฟิ่งให้เขา แอบคลำกระบี่เปิงอวี้เป็นระยะ นึกดีใจอย่างยิ่ง
ตอนที่ทุกคนกินอาหารกันไปสักพัก ก็ได้ยินพวกเขาเล่าถึงโซ่หมุดทะเลกับมารปีศาจที่ถูกจองจำ ฉู่เหล่ยสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย อ้าปากคิดจะกล่าวอันใด แต่สุดท้ายก็เงียบ ถามเพียงว่า “พวกเจ้าว่า เจ้าเกาะตงฟางขับไล่ศิษย์หลายคนออกจากสำนัก เรื่องราวเป็นมาอย่างไร”
เสวียนจีสบตากับอวี่ซือเฟิ่ง สุดท้ายอวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “เจ้าสำนักฉู่ เรื่องนี้ว่าไปแล้วยาวมาก…”