โซ่หมุดทะเลมีแปดสาย แยกออกเป็นแปดทิศ โซ่แปดสายนี้ใช้เพื่อจองจำมารปีศาจตนหนึ่ง
ที่ถิงหนูกล่าวมาน่าจะความหมายนี้กระมัง เสวียนจียังไม่กระจ่างนัก “เช่นนั้น…โซ่ยาวเท่าไรจึงจะพอ? ปีศาจตนนั้นถูกจองจำอยู่ที่ใด”
ถิงหนูยิ้มอีก รอยยิ้มมีแววเยาะอยู่เล็กน้อย “เพื่อตีโซ่หมุดนี้ขึ้นมา ตอนนั้นใช้สรรพสมบัติใต้หล้าหมดสิ้น …แต่ที่น่าแปลกก็คือ ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าปีศาจตนนั้นถูกจองจำอยู่ที่ใด โซ่หมุดทะเลแปดเส้นใช้ตารางแผนภูมิสวรรค์ปฐพีทั้งแปดมาสะกดเขา ได้ยินว่านอกจากนี้ ยังใช้โซ่ทองคำร้อยไหปลาร้าเขาไว้ด้วย แม้ว่าเขาจะพลิกภูผาเคลื่อนทะเลได้ ก็หนีไม่พ้น…”
เสวียนจีค่อยๆ พยักหน้า กล่าวว่า “ร้ายกาจเช่นนี้! คิดว่าเมื่อก่อนเขาต้องทำเรื่องชั่วไว้มากมายแน่ ชั่วร้ายเลวทรามอย่างที่สุด”
ถิงหนูตาเป็นประกายวูบหนึ่ง เป็นนานกว่าจะพึมพำกล่าวว่า “อันใดคือดี อันใดคือเลว คนพวกนั้น ไม่ใช่ว่าทำเพื่อตนเองหรอกหรือ…”
เสวียนจีมองโซ่หมุดทะเลครู่หนึ่ง ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที ยกกระบี่เดินกลับไปหน้าตู้หยก กล่าวว่า “ทำร้ายผู้คน ทำเรื่องเลว ก็คือเลว หลักการง่ายๆ แค่นี้ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ข้าควรต้องจัดการสังหารร่างจริงนางจิ้งจอกม่วงนี่ก่อนดีกว่า”
ถิงหนูเห็นนางตวัดกระบี่จะแทง อดเสียงสั่นไม่ได้ว่า “จะสังหารจริงหรือ”
เสวียนจีกลับไม่กล่าวอันใด พลิกข้อมือ คมกระบี่แทงเข้าที่หัวใจจิ้งจอกม่วงอย่างไม่เหลือน้ำใจ พลันได้ยินเสียงตึงดังมา ร่างจิ้งจอกม่วงถึงกับแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้าเสียอีก กระบี่นี่ไม่เพียงแทงนางไม่ทะลุ กลับลื่นไถลไปแทงตู้ ตู้หยกทั้งตู้ทนแรงไม่ไหว แตกละเอียดร่วงเต็มพื้น
เสวียนจีใช้กำลังแปดส่วน คิดไม่ถึงว่ายังรู้สึกสะเทือนจนปวดชาตรงง่ามมือ นางฝืนความเจ็บปวดมองไปยังจิ้งจอกม่วงกลางกองเศษหยกที่แตกละเอียด ร่างแข็งแกร่งเช่นนี้ ไม่มีทางทำร้ายนางได้
ถิงหนูสีหน้าซีดเผือด กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “พลังวัตรเจ้าตอนนี้…ไม่อาจทำร้ายมันได้แม้แต่เส้นขน…แล้วกันไปเถอะนะ ไปพาพวกศิษย์พี่เจ้าหนีเถอะ”
“ไม่ได้” เสวียนจีหันขวับกลับไปมองเขา ท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิด “เมื่อครู่ตอนเจ้าอยู่ในถ้ำไม่ได้กล่าวเช่นนี้ เจ้าว่าความสามารถข้าจะแพ้นางได้อย่างไร เหตุใดตอนนี้เจ้าเปลี่ยนคำ เจ้าราวกับ…รู้อะไรมาก”
ก่อนหน้านี้ถิงหนูเห็นนางดูมึนงงเชื่องช้า ก็คิดว่าชีวิตนางชาตินี้คงขาดจิตวิญญาณบางส่วนไป ไหนเลยจะรู้ว่านางความคิดคมเช่นนี้ ความคิดกระจ่างราวกระจกใสเช่นนี้ คิดว่านางไม่ได้ฟัง จริงๆ แล้วนางล้วนจดจำอยู่ในใจ
เขาพลันหาวาจามาเฉไฉต่อไม่ได้ ได้แต่กล่าวติดๆ ขัดๆ ว่า “อันนี้…ไม่เหมือนกัน เจ้ายังไม่ได้…”
“ยังไม่ได้อันใด”
เขาถูกนางรุกถามจนไร้วาจากล่าว ได้แต่แสร้งทำเป็นหูหนวก
“ถิงหนู?” เสวียนจีเดินเข้าไปก้าวหนึ่ง คิดจะถามอีก จู่ๆ เหมือนคิดอันใดได้ พลันดีใจจนออกนอกหน้า ตบมือยิ้มกล่าวว่า “ใช่แล้ว ทำไมข้าคิดไม่ถึง ในเมื่อใช้กระบี่ทำร้ายมันไม่ได้ ข้าก็ใช้ไฟเผาได้นี่! ถิงหนู เจ้าแนะให้ข้าใช้วิชาเซียนใช่ไหม”
ถิงหนูถูกนางทำเอาหัวหมุนไปหมด ไม่รู้ว่าพยักหน้าหรือส่ายหน้าดี ได้แต่หัวเราะน้ำเสียงฝืดเฝื่อน
เสวียนจีประกบฝ่ามือผนึกนิ้ว เรียกมังกรเพลิงสองสาย ล้วนขนาดหนาเท่าที่เขาไห่หวั่น บินวนไปมากลางท้องฟ้า เปลวเพลิงแปลบปลาบ นางขยับนิ้ว มังกรเพลิงสองสายพลันพบร่างจริงจิ้งจอกม่วงที่นอนอยู่ที่พื้น สะบัดหางบินขึ้น บินวนไปรอบมัน เปลวไฟแรงกล้าน่าตกใจยิ่ง
“ท่าทางไม่เลว” เสวียนจีคิดว่าตนเองบาดเจ็บ เรียกมังกรเพลิงออกมาไม่ได้ คิดไม่ถึงว่ายังเรียกได้ ในใจอดภาคภูมิใจไม่ได้ หันกลับไปมองถิงหนูแวบหนึ่ง หวังว่าเขาจะชมสักคำ
เขาขมวดคิ้วมุ่น เม้มปากแน่น สีหน้าราวกับไม่ยินดี ผ่านไปครู่หนึ่ง พลันกล่าวเบาๆ ว่า “ไม่มีประโยชน์…นางเป็นปีศาจจิ้งจอกบำเพ็ญเพียรมาพันปี ตอนนี้เจ้ากับนางคนละชั้นกัน เปลวเพลิงเผาไม่ตาย ลงน้ำไม่จม…นางผ่านด่านเคราะห์ทั้งสามสิบหกมานานแล้ว เปลวไฟสำหรับนางแล้วเป็นแค่ของเด็กเล่น”
เสวียนจีรู้สึกไม่อาจยอมรับได้ แต่พอหันกลับไปเห็นจิ้งจอกม่วงนั่น ดังคาด ไม่อาจเผาได้แม้แต่หนวดสักเส้น ในใจอดสูญเสียความมั่นใจไม่ได้ ยกมือเรียกมังกรเพลิงกลับ ถอนใจกล่าวว่า “เช่นนี้ทำอย่างไรดี ไม่ใช่นางตาย ก็ต้องเป็นพวกเราตาย”
“ไยต้องไล่ล่าสังหารกันให้สิ้นซาก นางเป็นปีศาจจิ้งจอกที่บรรลุตบะเท่านั้น แต่ไรมาไม่สังหารผู้คน เหตุใดเจ้าต้องสังหารนาง”
เขาแทบจะเค้นถาม
เสวียนจีขมวดคิ้ว “ผู้ใดว่านางไม่สังหารคน! ชาวเมืองจงหลีไม่ใช่ทุกปีล้วนส่งชายหนุ่มให้นางสี่คน? นางยังเป็นปีศาจดูดพลังหยางเสริมพลังหยิน ไม่สังหารคน คนเหล่านั้นไปไหนกันหมด?!”
“คนเหล่านั้น…”
ถิงหนูกำลังจะเอ่ยปาก กลับได้ยินหน้าเสียงดังจากร่างอรชรหน้าประตู ขัดวาจาเขาขึ้นว่า “คนพวกนั้นถูกข้าสังหารไปหมดแล้ว เจ้าจะเอาอย่างไร แก้แค้นแทนพวกเขาหรือ”
วาจากล่าวจบ เงาร่างสีม่วงก็ลอยเข้ามาแผ่วเบา ราวกับหมอกควันไร้น้ำหนัก ก้มลงอุ้มจิ้งจอกม่วงตัวนั้นขึ้นมา ทั้งสองจ้องตากันครู่หนึ่ง เห็นเพียงสาวงามชุดม่วงเผยรอยยิ้มบางยืนอยู่ตรงหน้า ในอ้อมกอดมีจิ้งจอกม่วงนอนหลับอยู่ตัวหนึ่ง
“อา! เจ้า…” เสวียนจีเห็นนางไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย คิดว่าคนที่บาดเจ็บก็ย่อมต้องเป็นพวกซือเฟิ่งแล้ว ยามนั้นจึงร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าทำอะไรกับพวกเขา”
จิ้งจอกม่วงลูบจิ้งจอกในอ้อมกอด ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ทำอะไร แต่หลังถูกข้าดูดพลังหยางหมดแล้วก็โยนลงหน้าผาไป ตายหรือไม่ ก็ขึ้นกับชะตาพวกเขาเองแล้ว”
เสวียนจีเห็นใบหน้านางเผยรอยยิ้มบางทำราวกับเป็นเรื่องล้อเล่น ในใจพลันร้อนดังไฟแผดเผา เสียงสั่นเครือกล่าวว่า “ถิงหนูบอกว่าเจ้าไม่ทำร้ายคน…เจ้า เจ้าสังหารพวกเขาจริงหรือ”
จิ้งจอกม่วงสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงเยียบเย็นกล่าวว่า “ข้าเป็นใคร ข้าสังหารคนธรรมดาไปสองสามคนแล้วอย่างไร ข้าสังหารพวกเขาไปแล้ว แล้วอย่างไร เหอะๆ เจ้าหนุ่มสวมหน้ากากนั่นชื่อซือเฟิ่งใช่ไหม ก่อนตายยังเอาแต่เรียกชื่อเจ้า ช่างเป็นหนุ่มโง่งมในรักเสียจริง…”
เสวียนจีรู้สึกปวดปลาบขึ้นในใจ อวัยวะภายในราวกับถูกกรงเล็บใหญ่รุมกระชาก ตามมาด้วยโยนลงหม้อน้ำมันร้อน เจ็บปวดจนนางแทบทรงตัวไม่อยู่
ตายแล้ว ตายแล้วจริงหรือ นางยังไม่ทันตามไปถึง คนที่นางคิดจะปกป้องพวกนั้น
เบื้องหน้าพลันเลือนราง ราวกับย้อนกลับไปคืนกลางดวงจันทร์คืนนั้น ชายหนุ่มระเบิดอารมณ์ตะโกนใส่นาง เจ้ากำลังฟังอยู่ไหม?!
พลันย้อนไปถึง นางเผยรอยยิ้มบางกล่าวกับชายหนุ่มท่าทางเย็นชาว่าพวกเราจะไม่แยกจากกันอีกแม้เพียงสี่วัน
คนเหล่านั้นถึงกับตายไปแล้ว ไม่อาจพบกันอีกแล้ว คำสุดท้ายที่กล่าวกับนาง ถึงกับให้นางรีบหนีไป
ถิงหนูส่ายหน้ากล่าวว่า “จิ้งจอกม่วง อย่าได้กล่าวยั่วโมโหนาง! เจ้าไม่รู้ นาง…”
จิ้งจอกม่วงสีหน้าบึ้งตึง กล่าวน้ำเสียงร้ายกาจว่า “ยั่วโมโหอันใด! ไม่ผิด ล้วนเป็นข้าสังหาร! ข้ายังจะจัดการเมืองจงหลี…ไม่ คนใต้หล้า สังหารให้ตายให้หมด พวกเจ้าจะทำไม?! อ้อ ข้าลืมไป เจ้าไม่ใช่คนนี่! ไม่อยากตายก็รีบไสหัวไป! ไสหัวกลับถ้ำเจ้าไป! ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าลงมือไร้ใจ!”
“จิ้งจอกม่วง!” ถิงหนูเสียงดังขึ้นอีก ส่ายหน้ากล่าวว่า “เจ้ากลับไปเถอะ ผู้บำเพ็ญเซียนพวกนั้นแตะต้องไม่ได้ ปล่อยพวกเขาไป เชื่อฟังข้า!”
จิ้งจอกม่วงหัวเราะคิกคัก เก็บจิ้งจอกตัวนั้นเข้าในแขนเสื้อ ส่งเสียงฉอเลาะว่า “แตะต้องไม่ได้ก็แตะไปแล้ว เจ้าจะทำอะไรข้า เจ้าก็แค่เงือกไร้สามารถ นางก็แค่เด็กหญิงไร้พลัง…พวกเจ้าทำอะไรได้?”
“ไม่ทำอะไรหรอก” เสียงเยียบเย็นของเสวียนจีดังขึ้น นางจ้องมองจิ้งจอกม่วงเขม็ง น้ำตานองหน้า ถึงกับไร้อารมณ์ความรู้สึก
“เจ้าก็ลองตายไปด้วยแล้วกัน” กระบี่ในมือนางตวัดกระบี่เบาๆ ค่อยๆ ลูบคมกระบี่ เป็นวิชากระบี่เหยาหวาสำนักเส้าหยางที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด
ถิงหนูเห็นดวงตาทั้งสองของนางส่องประกายสีเงินยวง รู้สึกกลัวจับใจ ในใจรู้ว่าไม่ได้การแล้ว ร้อนใจกล่าวว่า “จิ้งจอกม่วง! อย่าดื้อดึงอีก! รีบปล่อยผู้บำเพ็ญเซียนพวกนั้นไป!”
จิ้งจอกม่วงขยับปากกำลังจะกล่าว พลันเห็นลำแสงสีเงินยวงสว่างวาบ คมกระบี่ส่องประกาย พริบตาก็มาถึงตรงหน้า นางสะดุ้งเฮือก ใบหน้าเย็นเยียบราวผลึกแก้วหลิวหลีน้ำแข็งหิมะเข้ามาใกล้นาง ส่วนลึกในดวงตาเปล่งประกายแสงสีเงินยวงราวกับลูกไฟไหววาบ หากเย็นเยียบถึงขีดสุด กลิ่นอายสังหารรุนแรงบีบคั้นจนนางไม่อาจขยับเขยื้อนได้
เจ้าก็ลองตายไปด้วยแล้วกัน
แสงกระบี่ราวกับงูฉกใส่ ร่างเงาสีม่วงพริบตาก็แตกละเอียด ถอยหนีไปอยู่มุมหนึ่งอย่างทุลักทุเล กว่าจะรวมตัวเป็นกลุ่มอีกได้ก็เป็นนาน มองเสวียนจีสีหน้าแตกตื่น ราวกับว่านางเป็นผีร้ายที่ผุดมาจากนรก