บรรดาศิษย์เกาะฝูอวี้ที่ถูกมารปีศาจโจมตีรุมเผาอย่างบ้าคลั่งก่อนหน้าพวกนั้น ในที่สุดก็ค่อยๆ ตั้งสติได้ ไม่ลนลานเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว มีศิษย์จากรอบเกาะเร่งรุดมาช่วยเหลือมากขึ้น ไม่นานมารปีศาจที่เข้าโจมตีก็ต้านทานไม่ไหว ได้แต่แตกพ่ายกลับไป
“ทิ้งไว้ที่นี่สามสิบ ที่เหลือไปเฝ้าป้องกันด้านหลัง อย่ามาออกันอยู่หน้าประตูใหญ่!”
ไม่เคยเห็นเพียนเพียนออกคำสั่งนานแล้ว เขายังคงอยู่ในชุดแดงกระบี่แดง เทียบกับเมื่อก่อนแล้วก็ดูสุขุมขึ้นไม่น้อย รอบกายเขามีหมู่มารปีศาจล้มลงโดยรอบ แต่ละคนถูกแทงด้วยกระบี่เดียวปลิดชีพ เห็นได้ว่าหลายปีมานี้วิชากระบี่ของเขายิ่งร้ายกาจขึ้นอีกแล้ว
บรรดาศิษย์ต่างฟังคำสั่งเขา มารปีศาจในละแวกประตูใหญ่ก็ถอยกลับไปหมดแล้ว จึงจัดกลุ่มไปตระเวนตรวจสอบโดยรอบ พลางดับไฟด้วยตนเองอย่างไม่รู้สึกแตกตื่นตกใจอันใด ยังมีบางส่วนไล่ล่าสังหารปีศาจที่หลุดรอดไป
ตงฟางชิงฉีเห็นท้องฟ้ามีธนูไฟยิงใส่ไม่หยุด จำนวนแม้ไม่มากเหมือนก่อนหน้า แต่คืนนี้มีฟ้าเป็นใจ ลมกระหน่ำพัดแรง ธนูไฟตกลงพื้นต้องลมก็ลุกโชน หากไม่ดับให้ทัน ก็จะลามกลายเป็นไฟหายนะใหญ่ คิดถึงฉู่เหล่ยกับเจ้าหุบเขาหรงที่แม้ว่าเหินกระบี่ขึ้นไปกำจัดปีศาจ แต่อีกฝ่ายก็มีจำนวนมาก คงได้แต่ต่อสู้โรมรันกันจนยากจะกำจัดได้หมด
“อวี้หนิง เจ้านำศิษย์กลุ่มหนึ่งขึ้นไป!” เขาหันกลับไปสั่งสตรีชุดขาวที่กำลังสั่งการให้บรรดาศิษย์ตักน้ำมาดับไฟ นางรีบรับคำ เรียกคนมาสิบกว่าคนบุกทะลวงออกไปทางประตูใหญ่
ยามนี้ลู่เยียนหรานกับบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์กำลังเร่งรุดมากันเหงื่อท่วมใบหน้า ถูกเพียนเพียนเหินขึ้นไปจับกลุ่มได้สิบคนไปเอาน้ำมาดับไฟ สุดท้ายระงับเปลวไฟได้ชั่วคราว ปีศาจที่บุกโจมตีรอบแรกถูกพวกเสวียนจีไล่ล่าสังหารไปได้พอสมควรแล้ว สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันจริงๆ ทำให้คนไม่อาจป้องกันได้ทัน พวกหนุ่มสาวอายุน้อยล้วนไม่ทันได้ตั้งสติ มองหน้ากันดูสภาพอนาถของอีกฝ่าย บ้างก็ยิ้ม บ้างก็เหม่อ บ้างก็ปิดหน้าส่งเสียงร้องไห้ดัง
ตงฟางชิงฉีเห็นอีกฝ่ายกำลังอ่อนลง ธนูไฟด้านบนที่ตกลงมาน้อยลงเรื่อยๆ จึงได้ออกคำสั่ง “รีบแบกบรรดาศิษย์ที่บาดเจ็บไปยังเรือนอวี้สุ่ย! ให้พ่อบ้านโอวหยางมาดูแล!”
โชคดีที่ศิษย์ที่ถูกเผาบาดเจ็บมีไม่มาก มีเพียงคนสองคนที่หมดสติไป คนบาดเจ็บที่เหลือยังพอฝืนพาตนเองออกไปได้ ลู่เยียนหรานกับศิษย์พี่สองสามคนนำคนออกไป ไม่นานก็วิ่งกลับมาอย่างแตกตื่นตกใจ ร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าสำนัก หาพ่อบ้านโอวหยางไม่พบ!”
ตงฟางชิงฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย “รอบๆ ล้วนหาทั่วแล้ว?”
“ขอรับ ทุกคน…ไม่เห็นพ่อบ้านโอวหยาง”
ตงฟางชิงฉีโบกมือ “ไปเชิญอาจารย์หญิงเจ้ามาดูแล!”
ลู่เยียนหรานรีบเหินไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลับมาอย่างตกใจยิ่งกว่า ใบหน้าท่วมไปด้วยเหงื่อ กล่าวเสียงสั่นเครือว่า “เจ้าสำนัก! ฮูหยิน นาง…หาไม่พบ!”
ตงฟางชิงฉีเงียบไปครู่หนึ่ง “เอาเถอะ พวกเจ้าไม่ต้องกลับมาอีกแล้ว ไปดูแลคนเจ็บที่เรือนอวี้สุ่ย”
เปลวไฟค่อยๆ มอดลง ท้องฟ้าสีแดงส้มมืดลงทีละน้อย แสงสีแดงส้มจางหายไปช้าๆ กลับคืนสู่ท้องฟ้าค่ำคืนสีดำมืดเหมือมเดิม ในใจทุกคนล้วนรู้ดีว่าพวกฉู่เหล่ยได้จัดการปีศาจที่อยู่เหนือแหกระบี่เรียบร้อยแล้ว ดังคาด ไม่นานพวกฉู่เหล่ยก็นำบรรดาศิษย์กลับมาถึงประตูใหญ่ เจ้าสำนักทั้งสองยังดี ศิษย์ที่เหลือล้วนบาดเจ็บคนละเล็กละน้อย แม้แต่อวี้หนิงเองที่หัวและเสื้อผ้าก็ยังมีรอยไหม้ดูไม่ได้
ที่มือฉู่เหล่ยจับมารปีศาจเจ็บหนักตนหนึ่งไว้ มองไปรอบๆ กล่าวว่า “สถานการณ์ที่นี่เป็นอย่างไร”
ตงฟางชิงฉีส่ายหน้า “ไม่เป็นไรมาก มีแต่ศิษย์บาดเจ็บมากหน่อย นี่คือ…?”
ฉู่เหล่ยโยนมารปีศาจบาดเจ็บหนักตนนั้นลงพื้น กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “จับเป็นกลับมา ป้อนยาจรุงแล้ว นิ้วเดียวก็ขยับไม่ได้ คิดปลิดชีพตนเองก็ไม่มีทาง นำไปสอบปากคำได้”
เสวียนจีเห็นผ้าดำบนใบหน้ามารปีศาจตัวนั้นถูกดึงออกแล้ว เผยใบหน้าด้านล่างราวกับสัตว์ป่า ด้านบนเลือดไหลย้อย บิดเบี้ยวน่าเกลียดมาก ปีศาจนี่แม้ว่าไม่อาจขยับ แต่ยังคงมีท่าทางไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อย ถลึงสายตาร้อนแรงดุดันใส่ทุกคน ท่าทางเช่นนี้ทำเอาพวกเขาคิดไปถึงปีศาจที่ถูกพวกเขาสังหารทิ้งที่เขาไห่หวั่นตนนั้น ในใจพลันขมวดขึ้ง
เจ้าหุบเขาหรงล้วงเอาเชือกมัดปีศาจจากแขนเสื้อมามัดเขาไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้าแน่นหนา ก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า “มารปีศาจแต่ไรไม่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่ไรไม่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม พวกเจ้ามาจากที่ไหน ผู้ใดบงการ”
ปีศาจนั่นหัวเราะเย็นเยียบไม่กล่าวอันใด เจ้าหุบเขาหรงเหยียบลงบนหน้าอกเขา ใช้แรงกดขยี้ลงไป ทำเอาซี่โครงเขาส่งเสียงดังกร๊อบ เสวียนจีได้ยินก็ถึงกับหนาวสันหลังวาบ อดไม่ได้ต้องกำเสื้ออวี่ซือเฟิ่งไว้แน่น
“เจ้าไม่ต้องทำอวดเก่งใส่ข้า ข้าย่อมมีวิธีมากมายจัดการเจ้า สารภาพออกมา อย่าได้ชักช้า ข้าก็จะให้เจ้าไม่ต้องทนทรมานนาน”
เสียงเจ้าหุบเขาหรงแต่ไรมาล้วนราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ ปกติฟังแล้วรู้สึกสุขุมนุ่มนวล แต่เสียงที่กล่าวออกมาในสถานการณ์ตอนนี้ถึงกับทำให้คนรู้สึกขนลุกชัน
ปีศาจนั่นทนไม่ไหว มุมปากมีโลหิตไหลออกมา เสียงแผ่วว่า “เรื่องนี้เดิมไม่เกี่ยวกับมนุษย์เช่นพวกเจ้า…พวกเจ้ากลับแย่งมาออกหน้า…เสียเปล่า มีแต่น่าขัน หากจะเป็นปรปักษ์กับหมู่ปีศาจ ยังต้องดูว่าตนเองมี…ความสามารถนั้นไหม หากไม่ใช่พวกข้ายอมให้ สิบเกาะฝูอวี้ก็…”
น้ำเสียงพลันขาดหายไปด้วยรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวยิ่ง ซี่โครงเขาถูกคนบดขยี้ด้วยเท้าจนหักหลายท่อน หายใจไม่ทัน ถึงกับเป็นลมหมดสติไปทันที
สีหน้าเจ้าหุบเขาหรงไม่แปรเปลี่ยน หันกลับไปสั่งว่า “เอาน้ำมา”
ศิษย์รุ่นเยาว์สองสามคนรีบไปยกถังน้ำมาราดใส่หน้าปีศาจนั่นด้วยท่าทางหวาดกลัว ทุกคนในที่นั้นล้วนนับว่าเป็นศิษย์สำนักใหญ่ แม้ว่าถือเอาการกำจัดปีศาจเป็นภารกิจตน หากแต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นการสอบปาคำที่โหดเ**้ยมเช่นนี้มาก่อน ในสายตาพวกเขา มารปีศาจเป็นสัตว์ป่าร้ายกาจที่ไม่มีร่างมนุษย์และไม่อาจพูดได้ แต่ปีศาจเบื้องหน้านี้ไม่ต่างอันใดกับมนุษย์ เห็นแล้วก็แทบไม่อาจทนรับได้ แม้แต่จงหมิ่นเหยียนเองก็ยังต้องขมวดคิ้วมุ่น ในใจรู้สึกอึดอัดอยู่มาก
ปีศาจนั่นโดนน้ำเย็นสาดไปก็ฟื้นขึ้นมา เจ้าหุบเขาหรงยองตัวนั่งลงจ้องมองตาสีเขียวอ่อนแสงของเขา กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “จริงๆ แล้วเจ้าไม่พูด พวกข้าก็รู้ ข้าได้ยินว่าละแวกทั่วสี่ทิศของเขาปู้โจวซานมีหมู่ปีศาจ ที่นั่นเชื่อมต่อไปยังแดนปรภพ คนธรรมดาไม่อาจไปถึงโดยง่าย พวกเจ้าคิดทำลายโซ่หมุดทะเล บุกเข้าไปยังแดนปรภพเพื่อช่วยเขาผู้นั้นใช่หรือไม่”
วาจาเขาเบายิ่ง มีเพียงปีศาจนั่นได้ยิน ดังคาด พอเขาได้ยินก็สะดุ้งไปทั้งตัว แต่กลับไม่ผรุวาจาด่าทอออกมาอีก หากเพียงส่งเสียงหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “เรื่องเจ้าอินทรีใหญ่ มดปลวกก็คิดสอด! จองจำเขาไว้เป็นเทพสวรรค์ เผ่าพันธุ์เดียวกับเขาคือปีศาจ เกี่ยวอันใดกับมนุษย์ธรรมดาเช่นพวกเจ้า”
เจ้าหุบเขาหรงขมวดคิ้ว ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “พวกปีศาจก่อกรรมทำเข็ญ ทุกคนมีสิทธิ์สังหาร! นับประสาอันใดกับพวกเจ้ามาอาละวาดในโลกมนุษย์ ทำร้ายคนบริสุทธิ์ไปเท่าไร! ยังมีหน้ามากล่าววาจาสามหาวที่นี่!”
ปีศาจนั่นกล่าวเสียงแผ่วว่า “แต่โบราณมา พวกเจ้าเหล่ามนุษย์ธรรมดาสามัญจิตใจละโมบไม่มีที่สิ้นสุด ปลูกสร้างต้นไม้บันไดสวรรค์ ลืมตนคิดปีนป่าย…ตอนนี้ยังมายุ่งเรื่องเทพสวรรค์…ไม่กลัว จะถูกผลกรรมตามสนองหรือ”
วาจากล่าวจบ ก็พลันได้ยินด้านหลังมีคนหัวเราะประหลาดกล่าวว่า “วาจานี้กล่าวได้ดี ดีมาก! จิตใจละโมบไม่มีที่สิ้นสุด…แต่พวกเจ้าทำร้ายมนุษย์ธรรมดาสามัญไปมากมายเป็นเรื่องจริง ตอนนี้กล่าววาจาเช่นนี้ ไม่รู้สึกขมปากหรือไร”
ทุกคนรีบหันกลับไปมอง เห็นรองเจ้าตำหนักที่ก่อนหน้านี้ไม่เห็นแม้เงาเดินส่ายเข้ามา ในมือยังถือพัดขนนกด้ามหนึ่ง แต่หัวจรดเท้าล้วนสะอาดเรียบร้อย ต่างกับคนที่นี่ที่มีสภาพทุลักทุเลอย่างมาก
เจ้าหุบเขาหรงแค่นเสียงฮึ ลากปีศาจนั่นขึ้นมา กล่าวว่า “ชิงฉี เอาเจ้าปีศาจไปขังไว้ในคุกใต้ดินเกาะเจ้า วันหน้าค่อยมาสอบปากคำละเอียดใหม่!”
รองเจ้าตำหนักยิ้มกล่าวว่า “ยังคุกใต้ดินอีก! คุกใต้ดินว่างเปล่านานแล้ว! พวกเจ้าคิดให้ดี อย่าได้ถูกกลอุบายผู้อื่น!”
ในใจตงฟางชิงฉีแอบตกใจ ลอบมองเขาอย่างละเอียด หันกลับไปสั่งเพียนเพียนสองสามคำ เขารีบรับคำออกไปทันที ผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างเงาสีแดงก็รีบกลับมา ตกใจกล่าวว่า “เจ้าสำนัก! ประตูคุกใต้ดินไม่รู้ถูกผู้ใดเปิดออก…ข้างใน…ว่างเปล่าดังว่า!”
วาจากล่าวออกไป บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ยังดี แต่สามเจ้าสำนักล้วนพากันสีหน้าแปรเปลี่ยน เจ้าหุบเขาหรงควักเอากระจกทองแดงบานหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ยกขึ้นวาดมือผ่าน ภาพทั้งเกาะฝูอวี้ก็สะท้อนอยู่ในนั้นทันที หน้าผากเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ ราวกับค้นหาอะไรสักอย่างท่าทางยากลำบากยิ่ง
รองเจ้าตำหนักยังกล่าวว่า “ตามความเห็นข้านะ ที่ประตูใหญ่นี่ล้วนมีแต่คน พวกเขาย่อมหนีไปทางอื่นที่ออกจากเกาะฝูอวี้กันไปหมดแล้ว!”
ตงฟางชิงฉีสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป เขาย่อมรู้ว่าทางออกอื่นนั้นคือที่ใด เนินเขาทางเหนือ! สี่ด้านล้วนเป็นทะเล ต้องการเข้ามาในเกาะไม่มีทางอื่นไปได้ แต่จากทางนั้นออกไป ขอเพียงชำนาญเส้นทาง อ้อมผ่านศิษย์ที่เฝ้าอยู่ ก็จะหนีจากเกาะฝูอวี้ไปได้อย่างง่ายดาย!
ผู้ใดคุ้นเคยพื้นที่เกาะฝูอวี้?
โอวหยาง! ตงฟางชิงฉีแค่นเสียงโกรธแค้นขึ้นเสียงหนึ่ง ฉู่เหล่ยรีบตามเขาไปยังเนินเขาทางเหนือ พวกเสวียนจีสบตากันรีบวิ่งตามไป เหลือเพียงเจ้าหุบเขาหรงค่อยๆ เก็บกระจกทองแดง ฝ่ามือหนึ่งฟาดลงตรงหน้าอกปีศาจนั่น จนมันกระอักเลือดออกมาก่อนจะหมดลมสิ้นใจตาย
“รองเจ้าตำหนัก ท่านรู้ไม่น้อยเลยจริงๆ” เขากล่าวน้ำเสียงเยียบเย็น
รองเจ้าตำหนักหัวเราะดัง ประสานมือกล่าวว่า “ไม่กล้า ไม่กล้า แต่ไรมาข้าได้ยินได้ฟังมาน้อยนิด จะไปเทียบความรู้กว้างขวางของเจ้าหุบเขาได้อย่างไร แม้แต่คนผู้นั้นขังอยู่ในแดนปรภพก็ยังรู้…”
เจ้าหุบเขาหรงแค่นเสียงฮึ สะบัดแขนเสื้อจากไป
******
พวกตงฟางชิงฉีไล่ตามมายังเนินเขาตอนเหนือ ตลอดทางมาไม่เห็นเงาคนแม้สักครึ่งร่าง สุดท้ายพร้อมใจกันไปยังริมหน้าผา
“เจ้าสำนัก ที่นี่ไม่มีคน” เพียนเพียนมองไปรอบๆ ก่อนจะรีบให้ข้อสรุป
ตงฟางชิงฉีขมวดคิ้วแน่น จ้องไปยังป่ารกชัฏสองข้างทาง ราวกับจะมองให้ทะลุ ค้นหาคนที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้นออกมา
ลมทะเลหอบสายลมร้อนพัดมา เสื้อผ้าทุกคนถูกพัดจนส่งเสียงกระพือดัง เสวียนจีพลันกุมจมูกชี้ไปในป่า กล่าวเบาๆ ว่า “ทางนั้น…มีกลิ่นอายปีศาจ”
วาจาเด็กผู้หญิงเช่นนาง เดิมไม่มีคนรับฟัง นับประสาอันใดกับกลิ่นอายปีศาจที่ใช่ว่าบอกว่าได้กลิ่นก็จะได้กลิ่นกัน ฉู่เหล่ยขมวดคิ้วตำหนินาง “เจ้าอย่าได้เหลวไหล! กลิ่นอายปีศาจอันใด!”
เสวียนจีกะพริบตาปริบๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เป็นกลิ่นอายปีศาจ! เคลื่อนไหวเร็วมาก! ไปถึงริมหน้าผาแล้ว!”
นางพลันยกนิ้วมือขึ้นชี้ไปยังที่มืดมิดในป่า ตงฟางชิงฉีหันกลับไปกล่าวว่า “เอาธนูมาให้ข้า!” ด้านหลังพลันมีศิษย์ส่งธนูเหล็กคันยาวมาให้ เขาเคลื่อนพลังวัตรน้าวสายธนู ข้อมือนิ่งดังเหล็กกล้า หันมากล่าวว่า “เสวียนจี ทางไหน”
เสวียนจียกมือชี้ไป เขาเล็งลูกธนูไปยังทิศทางนั้น รวมพลังวัตรไปที่ก้านธนู ปล่อยนิ้วมือทันที ได้ยินเสียงดังปึกกลางอากาศ ธนูดอกนั้นยิงออกไป ในป่าได้ยินเสียงคนแค่นเสียงอึกขึ้นดังคาด ตามมาด้วยเสียงหวีดร้องตกใจของสตรี เสียงลมพัดยอดไม้ส่งเสียงเสียดสีกันดัง เงาดำสองร่างลอยขึ้นจากยอดไม้พลิ้วแผ่ว
“คิดหนี?!” ตงฟางชิงฉีดึงธนูออกมาอีกก้าน น้าวตึงยิงเฟี้ยวออกไป ตรงเข้าปักหนึ่งในเงาดำนั้น จากนั้น สองมือสองเท้าก็ตะกุยตะกายร่วงหล่นลงมา
ทุกคนรีบวิ่งไล่ตามเข้าไปในป่า เห็นด้านหน้ามีคนหนึ่งรีบวิ่งมาอย่างร้อนใจ สวมชุดดำสั้นแบบยามฝึกยุทธ์ บนหลังยังเหมือนแบกสัมภาระหนึ่ง ใบหน้างดงามหยดย้อย ถึงกับเป็นฮูหยินตงฟาง! พอนางเห็นทุกคน ยามนั้นสีหน้าพลันซีดขาวลงทันที แต่ดูแล้วไม่ได้หวาดกลัวเท่าไร เพียงแค่หยุดนิ่งอยู่ที่เดิม จ้องมองตงฟางชิงฉีนิ่ง คิดว่าเขาจะกล่าวอันใดสักหน่อย
เหนือคาด ตงฟางชิงฉีราวกับรู้นานแล้วว่านางจะอยู่ที่นี่ในตอนนี้ อันใดก็ไม่ถาม เพียงโบกมือ “เฝ้าไว้ อย่าปล่อยให้นางหนีไปได้!”
แม้ว่าศิษย์หลายคนจะแปลกใจ แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งอาจารย์ ได้แต่ล้อมนางไว้ ฮูหยินตงฟางสีหน้าบัดเดี๋ยวแดง บัดเดี๋ยวขาว เป็นนานจึงกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านทำกับข้าเช่นนี้!”
ตงฟางชิงฉีราวกับไม่ได้ยิน เดินเข้าไปในป่าจับร่างสองคนที่ร่วงลงพื้นมัดไว้แน่นหนา ดังคาด หนึ่งในนั้นก็คือพ่อบ้านโอวหยางที่สวมชุดดำอำพรางยามค่ำคืน ด้านหลังเขาถูกธนูปักหนึ่งดอก สีหน้าซีดขาวราวกระดาษ แต่ก็ใจแข็งไม่น้อย ตอนถูกลากมาไม่ร้องสักแอะ ด้านหลังยังมีอีกคนที่พันแผลเต็มตัวตามมาด้วย มองหน้าไม่ชัด
ทุกคนคิดไม่ถึงว่าไส้ศึกถึงกับเป็นคนในครอบครัวกันเอง และหนึ่งนั่นคือฮูหยินเจ้าสำนัก อีกหนึ่งคือพ่อบ้านเกาะ ปกติพ่อบ้านเป็นบัณฑิตที่ไร้แรงกำลังราวกับไก่ถูกมัด ผู้ใดจะคิดว่าเขาถึงกับเก็บซ่อนไว้ลึกเพียงนี้ เมื่อครู่วิชาตัวเบาที่ลอยตัวขึ้น แม้แต่ศิษย์รุ่นใหญ่ที่ฝึกบนเกาะมาสิบกว่าปีก็ยังทำไม่ได้
ตงฟางชิงฉีจ้องมองทั้งสองนิ่งเป็นนาน โยนธนูในมือทิ้งลงพื้น กล่าวว่า “พวกเจ้า…ปิดบังข้าได้ดีมาก”