เป็นดังที่จิ้งจอกม่วงว่าไว้ ยอดเขามีแท่นบูชาเทพหลังหนึ่งดังคาด ไม่รู้สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ดูแล้วเก่าผุพังอยู่มาก แต่กระถางสำริดเก่าแก่นั้นยังคงมีกลิ่นอายโบราณและสูงส่งอยู่
ยามนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ดวงจันทร์กระจ่างที่กลมราวถาดบนท้องฟ้าส่องแสงขาวกระจ่างราวน้ำค้างแข็งทอประกาย หินชิงสือบนแท่นบูชาเทพวางนิ่งเงียบสงบเงาวับราวกระจกใส ทำเอาคนคาดเดาไม่ได้ว่าเคยมีนักพรตจอมขมังเวทมากมายเท่าไรมาบูชาบวงสรวงเทพเซียนสวรรค์กันที่นี่
ไม่รู้เหตุใดแท่นบูชาเทพเก่าผุพังถึงกับทำให้คนรู้สึกได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์อย่างคาดไม่ถึง เทือกเขาซับซ้อนล้อมรอบหลายชั้น ความเงียบสงบโดยรอบ เงยหน้ามองท้องฟ้าสงบนิ่ง มองลงมายังพื้นดินกว้างใหญ่ด้านล่าง ทุกคนล้วนอดรู้สึกยำเกรงไม่ได้ขึ้นมา ไม่กล้ากล่าววาจาหยอกล้อกัน
จิ้งจอกม่วงเองก็เก็บท่าทีขี้เล่นไม่จริงจังที่เคยเป็นมา ก้มหน้านิ่งไม่รู้คิดอันใดอยู่นานพลันออกคำสั่งว่า พวกเจ้าไปเริ่มจากทางเหนือ ค่อยๆ จุดตะเกียงฉางหมิงแปดดวงนั่นไล่มา
รอบแท่นบูชาเทพมีเสาสูงเท่าคนอยู่แปดต้น ในนั้นมีน้ำมันที่ผสมพิเศษพร้อมไส้ตะเกียงที่หนาราวแขนเด็ก คิดว่านั่นคงต้องเป็น ‘ตะเกียงฉางหมิง’ ที่นางพูดถึง
อวี่ซือเฟิ่งเริ่มจุดคบไฟขึ้นจากทางเหนือ ไล่มาซ้ายขวา จุดตะเกียงฉางหมิงทั้งแปดสว่างขึ้น ตะเกียงทั้งแปดเรียงอยู่แปดทิศในตำแหน่งแผนภูมิสวรรค์ปฐพีทั้งแปดทิศ เดินผิดก้าวเดียวก็ไม่ได้
ทันทีที่ตะเกียงฉางหมิงนั่นถูกจุดขึ้น ก็มีลูกไฟสูงราวครึ่งตัวคนวาบขึ้น สีราวมรกตวูบไหวตามแรงลม ส่องใบหน้าทุกคนจนเกิดเงาสีเขียวงามทาบทับชั้นหนึ่ง
จิ้งจอกม่วงกล่าวเบาๆ ว่า ด้านหลังแท่นบูชาเทพมีสระน้ำสะอาด เอานี่สาดลงไปในน้ำ ทุกคนไปอาบน้ำชำระกายเปลี่ยนเสื้อผ้า
นางใช้ปากแหลมชี้ไปยังกระถางสัมฤทธิ์ใบใหญ่มากเบื้องหน้า บนตัวกระถางไม่สลักภาพนก บุปผาหรือสัตว์ใด แต่สี่มุมกลับแยกกันสลักภาพหน้าคนประหลาดเหมือนร้องไห้เหมือนหัวเราะราวกับบ้าคลั่งเสียสติ ทำเอาขนหัวลุก ในกระถางสะสมขี้เถ้าธูปสีขาวราวหิมะไว้ไม่รู้เท่าไร เสวียนจีหันกลับไปมองชายหนุ่มทั้งสาม เห็นชัดว่า นางคงต้องเป็นคนแรกที่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว
นางคว้าเอาขี้เถ้ากำหนึ่งเดินไปหลังแท่นบูชาเทพ ดังคาด ที่นั่นมีสระน้ำเล็กๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง ไม่รู้ลึกเท่าไร ยอดเขาหนาวเย็น น้ำในสระจึงมีแผ่นน้ำแข็งบางๆ อยู่ชั้นหนึ่ง จะลงไปอาบก็น่ากลัวอยู่สักหน่อย
นางได้แต่ใช้กระบี่กระแทกผิวน้ำแข็งออกเป็นรูกว้าง ก่อนจะโรยขี้เถ้าธูปลงไป ตามมาด้วยถอดเสื้อหลับตาปี๋ โดดลงไปราวกับยอมตาย
ต้องอาบน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็งท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ เรียกได้ว่าทรมานตนเองอย่างยิ่ง เห็นชัดว่าทั้งสี่คงไม่ค่อยคุ้นเคยกับการชำระร่างกายเช่นนี้ หลังอาบเสร็จใบหน้าทุกคนล้วนแดงก่ำเพราะไอหนาวเหน็บ เอาแต่ตัวสั่นไม่หยุด ได้แต่ฝืนพยายามขยับร่างกายขับไล่ความหนาว
เสร็จกันแล้วใช่ไหม
จิ้งจอกม่วงถามขึ้นเสียงหนึ่ง พลันสองอุ้งเท้าประกบกันด้านหน้า กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า ทำเรื่องพวกนี้ อย่างไรต้องแปลงร่างเป็นมนุษย์ ไม่มีทางอื่นแล้ว ลองดูแล้วกัน
ทุกคนเห็นนางค่อยๆ โก่งแผ่นหลังยืดตัวขึ้น เล็บเท้าแหลมคมกับขนปุกปุยก็พลันหายไปทันที จิ้งจอกม่วงพลันยืนขึ้น ผมยาวสยายทิ้งตัวลง ร่างงามในชุดม่วงปรากฏ แต่หูกับหางจิ้งจอกอย่างไรก็เก็บกลับเข้าไปไม่ได้
เฮ้อ…เจ้าปีศาจงูสมควรตายนั่น…พิษที่เหลือค้างตอนนี้ยังขจัดไม่หมด… นางลูบหูอย่างแรง
ปกตินางจะแปลงร่างเป็นมนุษย์แค่ตีลังการอบหนึ่งก็สลัดร่างเดิมได้ เป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นนางแปลงร่างเป็นร่างจิ้งจอกจริง อดตกใจอยู่บ้างไม่ได้ จิ้งจอกม่วงพลันหันกลับมา ใบหน้าเหมือนสาวงามชุดม่วงนั่นอยู่แปดส่วน แต่ฟันในปากยังคงแหลมคม ดวงตายังคงมีสีเขียวแบบสัตว์ป่า ใต้แสงจันทร์เยียบเย็น มองแล้วก็รู้สึกดุร้ายสามส่วน น่ากลัวสี่ส่วน
เอาห่อผ้ามาให้ข้า นางกล่าวน้ำเสียงแหบพร่ายื่นมือออกไป บนมือยังคงมีขน เห็นชัดว่าเป็นอุ้งเท้าสัตว์ป่า เล็บยังคงยาวสามนิ้วกว่า
เสวียนจีรีบส่งห่อผ้าให้นาง จิ้งจอกม่วงวิ่งออกไปซื้อของในหมู่บ้านเก๋อเอ่อร์มู่ด้วยตนเอง ท่าทางลึกลับไม่ยอมให้พวกเขาดู แถมยังห่อไว้มิด ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าข้างในแท้จริงแล้วคืออะไร เห็นนางเปิดห่อผ้าออก ด้านในมีธูปใหญ่ก้านหนาเท่าแขนเด็กห้าต้น ความสูงราวครึ่งตัวคน ยังมีเทียนดำอีกห้าเล่ม ของเล่นพวกนี้เสวียนจีเองเคยเห็นมาบ้าง ได้ยินอาจารย์บอกว่าในหมู่ชาวบ้านมีธูปเทียนประเภทหนึ่งทำจากชาดแดงและเลือดสุนัขดำ ยังผสมสิ่งอื่นที่ไม่เคยได้ยินอีกมากมาย ใช้กันในพิธีกรรมใหญ่เท่านั้น แท้จริงเอาไว้ทำออะไร แม้แต่อาจารย์ก็ไม่กระจ่างนัก
กำลังคิดจนตกในภวังค์อยู่นั้น จิ้งจอกม่วงก็ยัดธูปใหญ่และเทียนใส่มือ ไปจุดธูปและเทียนเอง แล้วค่อยเอามาให้ข้า
เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่เทียนที่สัมผัสโดยมือนั้นหยาบอยู่บ้าง ก้มหน้ามองด้านบนไม่รู้นางสลักอักษรตอนไหน ปิ่ง โหย่ว อี่ ไฮ่ เกิง ยามจื่อ เป็นวันเดือนปีและเวลาเกิดนาง นางตกใจเล็กน้อย พลันคิดถึงที่จิ้งจอกม่วงพูดไว้ตอนอยู่เขาเกาซื่อซาน วันเดือนปีและเวลาเกิดมนุษย์ล้วนกระจ่างชัดในสายตานาง แค่มองก็มองทะลุหมด นางย่อมรู้วันเดือนปีและเวลาเกิดตน คิดแล้วก็ไม่ได้แปลกอะไร
แต่ละคนไปจุดธูปและเทียนกลับมา จิ้งจอกม่วงจึงได้ปักลงในกระถางสำริด ก่อนจะเรียงเทียนเป็นวงรอบที่พื้นหน้ากระถาง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า ก่อนธูปเผาไหม้หมด จะต้องกลับถึงแท่นบูชาเทพ ดังนั้นพวกเราต้องลงมือรวดเร็ว เทียนนี่ผู้ใดก็ไม่อาจขยับ หากมันดับ พวกเราก็จะถูกเขาปู้โจวซานดีดกลับมา บาดเจ็บสาหัส
คิดถึงว่าเขาปู้โจวซานไม่ใช่แดนมนุษย์ พวกเขาเข้าไปทั้งที่ยังมีชีวิต แดนมนุษย์ก็จะไม่มีเงาร่างพวกเขา ย่อมทำให้เกิดขาดสมดุล ดังนั้นเทียนนี่จึงเป็นตัวแทนชีวิตพวกเขาในแดนมนุษย์ ทันทีที่ดับลง เทพเฝ้าเขาปู้โจวซานก็จะรู้สึกได้ทันที และจะขับพวกเขาออกจากเขาปู้โจวซาน
เสวียนจีอดถามไม่ได้ว่า เจ้า…เจ้าไม่ได้บอกว่าแต่เล็กเดินเล่นในเขาปู้โจวซานโตมาหรือ ทำไมต้องจุดนี่ด้วย
จิ้งจอกม่วงตวาดว่า เจ้าก็เอาแต่ถามเรื่องพวกนี้อยู่ได้! ข้าออกจากเขาปู้โจวซานมาบำเพ็ญมีร่างมนุษย์นานแล้ว หากกลับไปอีก ก็เหมือนพวกเจ้าแล้ว จะแตกต่างอีกได้อย่างไรเล่า!
เสวียนจีถูกนางตวาดใส่ ได้แต่หุบปากแต่โดยดี
จิ้งจอกม่วงกล่าวอีกว่า จันทร์กลางท้องฟ้า ถึงยามจื่อแล้ว ข้าจะเริ่มบูชาแล้ว พวกเจ้าผู้ใดก็ห้ามส่งเสียง
กล่าวจบนางก็ลอยตัวขึ้น ผมยาวแผ่สยาย ลอยไปยังทางเหนือของตะเกียงฉางหมิง สะบัดแขนเสื้อราวกับนกเฟิ่งหวงสยายปีก เงยหน้าส่งเสียงคำรามยาวโหยหวนราวกับร้องไห้คร่ำครวญ เปลวไฟราวกับถูกกระทบกระตุกวาบสูงขึ้นทันที
ทั้งสี่นั่งเป็นวงอยู่เงียบๆ เบื้องหน้ามีเทียนดำที่สลักวันเดือนปีและเวลาเกิดตนเองไว้ ได้ยินเพียงเสียงร้องโหยหวนยาวของจิ้งจอกม่วง พลันแยกไม่ออกว่าแท้จริงเป็นเสียงเพลงหรือว่าเสียงร้องเรียกของสัตว์ป่า ตะเกียงฉางหมิงแปดทิศส่องแสงสว่างวาบ เงาบนพื้นกระจายออกทั่วทุกสารทิศ ท้องฟ้าราวกับมีกลุ่มเมฆดำมารวมตัวบดบังวงจันทร์ที่ราววงน้ำแข็งไว้ ลมหนาวพัดมาพร้อมกับเสียงร่ำไห้คำรามร้องของสัตว์ป่าและภูตผี ทำเอาคนขนลุกชันไปหมด
จิ้งจอกม่วงพลันหยุดลง ค่อยๆ ก้าวกลับมานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง ผนึกสองมือ หน้าผากมีเหงื่อผุดออกมา แยกมือซ้ายขวาออก มือหนึ่งชี้ขึ้นฟ้าพึมพำกล่าวว่า ฟ้าศักดิ์สิทธิ์
น้ำเสียงกล่าวจบ เห็นเพียงรอบทิศมีแสงสีขาวสว่างวาบขึ้น ท้องฟ้ามีสายฟ้าสีเงินฟาดลงมาสายหนึ่งราวกับจะแยกฟ้าออกเป็นสองส่วน เสียงดังก้องกัมปนาททำเอาหูแทบหนวก
ร่างนางโงนเงนเล็กน้อย ราวกับทนรับไม่ไหว สีหน้าซีดเผือด กัดฟันทนประสานสองมือ ท่องต่อ รวมเมฆา!
เมฆดำบนท้องฟ้าราวกับถูกมือยักษ์คนไปมา พลันเกิดคลื่นม้วนตัวฉับพลัน ราวกับฉีกท้องฟ้าออก ทุกคนเห็นภาพประหลาดเช่นนี้ ทำเอาลืมวาจากันไปนานแล้ว พากันอ้าปากมองตาค้าง จิ้งจอกม่วงหอบหายใจหนัก ทนไม่ไหวอีกต่อไป ตัวอ่อนยวบล้มลงกับพื้น
อา… เสวียนจีอ้าปากค้าง อยู่ๆ คิดถึงคำสั่งนางที่เมื่อครู่บอกว่าห้ามส่งเสียง ดังนั้นได้แต่รีบลุกขึ้นไปประคอง
ได้ยินเพียงเหนือศีรษะมีเสียงสายฟ้าแลบเสียดแก้วหูดังมา เบื้องหน้าพลันวูบลง มีสายฟ้านับหมื่นพันสายฟาดลงมายังแท่นบูชาเทพเล็กๆ นี่พร้อมกัน นางตกใจถึงกับลืมประคองจิ้งจอกม่วง อดปล่อยมือไม่ได้
ประตู ประตูเปิดแล้ว… จิ้งจอกม่วงตะกายลุกขึ้นนั่ง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า ไป…ไปกลางแท่น…พวกเราไป…เขาปู้โจวซาน
สายฟ้าแลบพวกนี้ยังคงฟาดอยู่ แต่ละสายแลบอยู่ระหว่างฟ้าและดินไม่หยุด ราวกับเป็นกรงครอบขนาดใหญ่มาก คลุมแท่นบูชาเทพไว้ทั้งหมด ออกไปไม่ได้ เข้ามาก็ไม่ได้
เสวียนจีเห็นพวกอวี่ซือเฟิ่งยังคงจ้องมองนิ่งอึ้ง อดไม่ได้ดึงแขนเสื้อเขา พวกเรารีบไปเร็ว! หลิงหลงกำลังรออยู่นะ!
พวกเขากำลังจะลุกขึ้น ได้ยินด้านหลังมีคนคำรามดุดันว่า ห้ามไป!
ทุกคนตกใจรีบหันกลับไป เห็นเพียงนอกกรงมีแสงวาบ คนสามคนยืนเหินกระบี่เคียงกันอยู่กลางท้องฟ้า ถึงกับเป็นฉู่เหล่ย ฉู่อิ่งหง และอาวุโสเหอหยาง พวกเขาแต่ละคนล้วนเหงื่อท่วมแผ่นหลัง หอบหายใจไม่หยุด คิดว่าน่าจะเร่งเดินทางมาที่นี่สุดชีวิต
เสวียนจีอึ้งเป็นนาน ก่อนจะกล่าวว่า ท่านพ่อ…อาจารย์…ทำไมพวกท่าน…
พวกเขาทั้งสามไม่อาจเข้าใกล้กรงแสงวาบกลางแท่นบูชาเทพได้ ได้แต่เหินกระบี่หยุดอยู่ด้านนอก ฉู่เหล่ยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า ผู้ใดก็ไม่อนุญาตให้ไปเขาปู้โจวซาน! ได้ยินไหม?! รีบกลับมาเดี๋ยวนี้!
จะไม่ไปได้อย่างไร! กว่าพวกเขาจะมาถึงที่นี่ได้ เห็นอยู่ตรงหน้าว่าจะช่วยหลิงหลงกับศิษย์พี่รองกลับมาได้แล้ว จะละทิ้งไปได้อย่างไร!
เสวียนจีกำลังจะโต้ จงหมิ่นเหยียนด้านหลังพลันกล่าวว่า ขออาจารย์ยกโทษให้ศิษย์อกตัญญู คำสั่งอาจารย์ ศิษย์ไม่อาจน้อมรับ! พวกเราต้องไปเขาปู้โจวซานพาหลิงหลงกลับมา! ขออาจารย์ อาจารย์อาวางใจ!
เขาถึงกับกล่าวเช่นนี้! ในใจเสวียนจีตกใจมาก แม้ว่าปกติจงหมิ่นเหยียนดูไม่เอาไหน ต่อหน้าท่านพ่อแต่ไรมาก็ล้วนรับคำสั่งไม่เคยขัด ไม่กล้าไม่เคารพแม้แต่น้อย แต่น้ำเสียงวาจาในวันนี้ไม่เหมือนเขายามปกติจริงๆ!
ฉู่เหล่ยโมโหตามคาด กล่าวเฉียบขาดว่า พวกเจ้าไปก็มีแต่ไปตาย! ยังมีคนเกิดเรื่องไม่พออีกหรือ?
จงหมิ่นเหยียนตะโกนว่า อาจารย์อย่าได้ดูแคลนพวกศิษย์! ศิษย์มั่นใจว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย
ฉู่เหล่ยโมโหจนสีหน้าเขียวคล้ำกล่าวไม่ออกสักคำ ฉู่อิ่งหงข้างๆ รีบกล่าวเสริม หมิ่นเหยียน เสวียนจี! ไม่ได้ดูแคลนพวกเจ้า! แต่ที่นั่นไม่ใช่แดนมนุษย์ อันตรายมาก เกรงแต่ว่าได้แต่ไปไม่อาจกลับ! เสวียนจี ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าสูญเสียหลิงหลงไปแล้ว เจ้าทนให้พวกเขาสูญเสียเจ้าไปอีกหรือ
เสวียนจีสะดุ้ง ในใจไร้วาจาโต้
จงหมิ่นเหยียนยังคงโต้เถียงต่อ อาจารย์อา ไม่ต้องโน้มน้าวแล้ว! พวกเราตัดสินใจแน่แล้ว! ครั้งนี้ต้องช่วยศิษย์พี่รองกับหลิงหลงกลับมาให้ได้!
ฉู่เหล่ยโมโหมาก สะบัดแขนเสื้อตวาดว่า จงหมิ่นเหยียน! เจ้าจะไป! ได้! เจ้าไปแล้วก็ไม่ใช่ศิษย์สำนักเส้าหยางอีก! วันนี้ไปจะขับเจ้าออกจากสำนัก! นี่เป็นผลตอบแทนที่เจ้ากระทำการตามอำเภอใจ!
ขับไล่จากสำนัก! ทุกคนตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยน นี่เป็นการลงโทษหนักที่สุด! เสวียนจีรีบกล่าวว่า ท่านพ่อ! ทำไมท่านจึงได้…
อย่าเรียกข้าว่าท่านพ่อ! ข้าไม่มีลูกสาวอย่างเจ้า!
เสวียนจีถูกเขาตวาดจนแน่นหน้าอกไปหมด เจ็บปวดอย่างที่สุด ยามนั้นมีแต่น้ำตาไหลทะลักออกมา
จงหมิ่นเหยียนหน้าซีด อึ้งไปเป็นนาน ได้ยินเพียงจิ้งจอกม่วงข้างๆ ร้อนใจกล่าวว่า เร็วหน่อย! ประตูใกล้ปิดแล้ว!
อยู่ๆ เขาก็หมอบลงพื้น ตัวสั่นเทา โขกศีรษะคำนับฉู่เหล่ยสามครั้ง น้ำเสียงสั่นเครือกล่าวว่า ศิษย์อกตัญญู! แม้ถูกขับจากสำนักก็ต้องช่วยหลิงหลงกลับมา! ไม่กล้าขออาจารย์เก็บคืนคำสั่ง เพียงแต่ศิษย์…ไม่อาจตอบแทนคุณอาจารย์ ชีวิตนี้ไม่อาจเป็นสุข!
กล่าวจบก็ยืดตัวลุกขึ้นหันหลังเดินไปยังกลางแท่น แสงสีขาวสว่างวาบ พริบตาเงาร่างก็หายไป
หมิ่นเหยียน! ทั้งสามกลางท้องฟ้าอดร้องเรียกตกใจไม่ได้
เสวียนจีมองฉู่เหล่ย กลับไปมองยังกลางแท่นบูชาเทพอีกครั้ง ในที่สุดก็กัดฟันเดินตามไป
แสงสีขาววาบอีกสองสามครา พวกอวี่ซือเฟิ่งล้วนเดินเข้าไปหมด เหลือเพียงจิ้งจอกม่วงเงยหน้ามองสีหน้าซีดขาวของทั้งสามบนท้องฟ้า กล่าวว่า ผู้บำเพ็ญเซียนเช่นพวกเจ้าช่างไร้ใจ! พวกเขาเสี่ยงชีวิตเพื่อผู้ใด?!
กล่าวจบก็หันกายเดินไปยังกลางแท่น พริบตาแสงวาบก็หายไปสิ้น เหลือเพียงกระถางสำริดใบหนึ่ง ในกระถางยังมีธูปใหญ่ห้าต้น เทียนดำเรียงวงรอบกระถาง เปลวเทียนวาบไหวเงียบงันราวกับทุกอย่างที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น