บทที่ 617 เสียงประหลาดในเมือง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ก่อนจะออกไป มู่เฉินยังคงอดไม่ได้ที่จะแหวกมุมหนึ่งของม่านหน้าต่างออกดูข้างล่างอีกครั้ง จากนั้นก็ฉีกยิ้มอย่างพึงพอใจ “หลิงม่อ นายคิดว่าพวกฉันจะนั่งรอความตายอย่างนี้จริงๆ น่ะหรอ? คอยดูแล้วกัน…”
………..
“วูบ!”
เสียงสายลมพัดผ่านสี่แยกเป็นระยะๆ ธงหลากสีสันที่ห้อยไว้ข้างทางต่างก็สั่นดัง “พั่บๆ” ตามไปด้วย
รถโดยสารประจำทางพลิกคว่ำอยู่กึ่งกลางถนน ซอมบี้สภาพมอมแมมและน่ากลัวสิบกว่าตัวกำลังเบิกดวงตาสีแดงกลวงโบ๋กว้างๆ และเดินวนเวียนไปมาอยู่อย่างนั้น
ดูจากสภาพบนท้องถนนแล้ว เมืองตงหมิงเหมือนจะไม่แตกต่างจากเมืองอื่นๆ ทั้งวังเวง เสื่อมโทรม และถูกซอมบี้ยึดครองพื้นที่เหมือนกัน
ทันใดนั้น เสียงเบาๆ เสียงหนึ่งก็ได้ดึงดูดความสนใจจากซอมบี้เหล่านี้ พวกมันเงยหน้าขึ้นพร้อมกันเหมือนหุ่นยนต์ไขลานที่ถูกหมุน ดวงตาที่ประกายความอันตรายออกมา กวาดมองรอบทิศด้วยความปรารถนาแรงกล้า
“กึกๆ…”
เสียงเบาๆ นั่นเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่พอฟังดีๆ กลับเหมือนคนที่พูดไม่ชัดคนหนึ่ง กำลังพยายามเปล่งเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมาจากลำคอมากกว่า
เหล่าซอมบี้หมุนคอไปมาเพื่อตามหาแหล่งที่มาของเสียง กรงเล็บอันแหลมคมขยุ้มเข้าออกไม่หยุด
เสียงเรือนรางไม่ชัดเจนนี้ทำให้พวกมันกระวนกระวายอยู่ไม่สุข ทว่าเมื่อพวกมันยืดคอยาวๆ ยกเปลือกตาขึ้น และบิดข้อมือไปมาช้าๆ กลับดูเหมือนฝูงหมาป่าดุร้ายที่พร้อมจะกระโจนตะครุบเหยื่ออย่างไม่รีรอ
“โครม!”
เสียงสนั่นดังขึ้นทันใด ขณะเดียวกันภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา บนพื้นพลันปรากฏเงาร่างที่ถูกแสงอาทิตย์ส่องจนรูปร่างบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย
เท้าเปล่าคู่นั้นที่กระโดดลงบนพื้นอย่างแรงถูกกลบมิดด้วยฝุ่นควันที่ตลบอบอวล ขณะเดียวกัน เงาร่างนั้นพลันกางแขนทั้งสองข้างออก “โฮกกก!”
“กรร กรร!”
เหล่าซอมบี้เองก็ต่างมีปฏิกิริยาตอบกลับโดยการแยกเขี้ยวแยกเล็บ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว
พวกมันใช้ทั้งเท้าและมือปีนป่ายและกระโดดข้ามซากรถยนต์ และทิ้งรอยขีดข่วนลึกๆ ไว้บนตัวรถพวกนั้น
ขณะที่ซอมบี้ตัวแรกกระโดดขึ้นกลางอากาศหมายจะกระโจนใส่เจ้าของเงาร่างนั้น ซอมบี้สิบกว่าตัวที่วิ่งตามหลังมันมาก็กระโจนใส่พร้อมกันจากทุกทิศทาง
สถานการณ์อย่างนี้ ถึงแม้จะเป็นซอมบี้ระดับสูงก็ไม่ใช่ว่าจะรับมือได้อย่างง่ายดาย…
“ฉึก!”
ซอมบี้ตัวแรกยังลอยอยู่กลางอากาศ ทว่าทันใดนั้นท้องของมันกลับปรากฏรูแผลเหวอะหวะขึ้นมาหนึ่งรู “พลั่ก” จากนั้นมันก็ร่วงลงบนพื้นอย่างแรง
ขณะที่หยดเลือดของมันยังกระเซ็นอยู่กลางอากาศ ซอมบี้ตัวที่สองก็ถูกโจมตีอย่างแรงจนปลิวออกไป
ทั้งเศษเนื้อ และแขนขา เพียงหนึ่งนาทีไห้หลัง ถนนสี่แยกแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นสถานที่จัดแสดงชิ้นส่วนตุ๊กตาไปในพริบตา
และเท้าเปล่าคู่นั้นที่กำลังยืนอยู่บนกองเลือด พลันยกขึ้นสูง และเหยียบลงไปบนศีรษะของซอมบี้ตัวหนึ่งที่นอนอยู่ข้างเท้า
ซอมบี้ที่ไม่มีร่างกายท่อนล่างตัวนี้เพิ่งจะตะเกียกตะกายคลานเข้ามา ก็ถูกเหยียบหัวไว้กับพื้นอย่างแรงซะแล้ว
มันยังคงเบิกตาสีแดงเลือดกว้าง แต่เลือดสดๆ สายหนึ่งเริ่มไหลลงมาจากหัวของมัน…
“โฮกกก!”
เสียงคำรามเกรี้ยวกราด ดังขึ้นอีกครั้ง…
………..
“เสียงอะไรน่ะ?” หลิงม่อหยุดเดิน แล้วมองออกไปอย่างสงสัย
มู่เฉินทำหน้าเหมือนจะพูดว่า “ทำเป็นตื่นตูมไปได้” แล้วบอกว่า “ก็ซอมบี้ไง…”
“แต่เสียงนี้มัน…ดังเกินไปไหม?” หลิงม่อยังคงทำหน้าสงสัย
“ใช่” ซย่าน่าเองก็พนักหน้าเห็นด้วย เธอก็กำลังเงยหน้ามองออกไปเหมือนกัน
ในเมืองแห่งนี้มีแต่อาคารบ้านเรือนเต็มไปหมด เสียงแบบนี้ อย่างมากก็ทำได้แค่สันนิษฐานว่าเสียงมาจากบริเวณใกล้ๆ แต่กลับยากที่จำระบุตำแหน่งชัดเจน
“ใจเย็นก่อน ก็แค่ซอมบี้ร้องโอเปร่าเองน่า เธอคิดว่าซอมบี้ไม่มีคีย์เสียงสูงหรือไง?” มู่เฉินกลอกตาขาว
พูดไปเขาก็ส่ายหนาอย่างผิดหวังเล็กน้อย “รู้เขารู้เรา ถึงจะสามารถรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ทำความเข้าใจซอมบี้ให้มากๆ หน่อยแล้วกันนะ…”
“ฉันเนี่ยนะไม่เข้าใจซอมบี้?” ซย่าเบิกตากว้าง แล้วฉีกยิ้มบางๆ หันไปมองหลิงม่อ
หลิงม่อเพียงแอบส่ายหน้าให้เธอเงียบๆ…
เสียงนั่นมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องระดับเสียง แต่มันยังให้ความรู้สึกเหมือนสิงโตคำรามพาให้อกสั่นขวัญแขวนด้วย
และเสียงอย่างนี้ หลิงม่อเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก…
“จะว่าไปแล้ว…” มู่เฉินมองไปด้านหลังกลุ่มคนอย่างเหนื่อยหน่าย สวี่ซูหานเดินรั้งอยู่ท้ายสุด เธอกำลังกระชับปืนและสังเกตสถานการณ์รอบข้างอย่างระมัดระวัง “นายจะระวังพวกฉันออกนอกหน้าเกินไปแล้วนะ”
“ก็มาถึงถิ่นพวกนายแล้วนี่นา” หลิงม่อพูดอย่างเรียบเฉยจนทำเอามู่เฉินหมดคำพูด
หากเป็นอย่างนี้ต่อไปเขาก็จะไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับสวี่ซูหาน แต่โชคดีที่พวกเขายังมีคนส่งข่าวที่เป็นเสมือนเงา
ถ้าหากไม่ตั้งใจมองหาในกลุ่มคนดีๆ ก็ยากที่จะมองเห็นซย่าจื้อผู้ที่ไม่เคยเปล่งเสียงใดๆ ซ้ำยังชอบอยู่ในมุมมืดในแวบแรกอย่างแน่นอน
เขาเหมือนท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ไม่เคยทำเรื่องที่เป็นการดึงดูดความสนใจจากคนอื่น และไม่เคยปริปากให้ใครมาสนใจเขา แม้กระทั่งสีหน้าท่าทางของเขาก็ยังแทบจะไร้บทบาทใดๆ…หน้าไร้อารมณ์ แล้วยังหน้าตาธรรมดาอีก…
ทว่าตอนที่มู่เฉินมองไป ซย่าจื้อกลับตอบสนองกลับทันที
เขาเดินไปหามู่เฉินอย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ…
“เอ๋? ไม่นะๆๆ…อย่าเพิ่งเข้ามาตอนนี้!” มู่เฉินคิดอย่างแตกตื่นในใจ
ถึงแม้ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกหลิงม่อกำลังสนใจสภาพแวดล้อมรอบข้างอยู่ แต่เขาจะเดินเข้ามาทั้งอย่างนี้เลยหรอ…
เอาเถอะ ไม่มีใครสนใจเลย…เขาถูกมองข้ามได้อย่างหมดจดงดงาม
มู่เฉินปากอ้าตาค้าง เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรเรียกสิ่งนี้ว่าพรสวรรค์หรือเรื่องน่าเศร้าดี…
แต่ถ้าพวกเขาสองคนจะคุยกัน ก็คงทำได้แค่แอบคุยกันโดยทีเป็นมองทางไปพลาง และลดเสียงให้เบาที่สุดไปพลาง
“เป็นไงบ้างแล้ว?” มู่เฉินแทบจะเค้นเสียงลอดไรฟันออกมาให้เบาที่สุด
ซย่าจื้อกลับดูสงบนิ่งมาก ตาทั้งสองข้างของเขามองตรงไปยังเบื้องหน้า นิ้วมือที่ซุกไว้ในกางเกงดีดส่งสัญญาณเบาๆ จากนั้นก็ทำมือ “OK” ให้เขาเห็น
“ถ้างั้น…” มู่เฉินถาม “เธอล่ะ? เลือกใคร? แล้วนายเลือกใคร?”
การคุยกันโดยใช้รหัสลับอย่างนี้ทำให้มู่เฉินปลอดภัยขึ้นเล็กน้อย เพราะถึงใครมาได้ยินแผนก็ไม่แตกอยู่ดี
มู่เฉินใจเต้นไม่เป็นระส่ำเล็กน้อย เขารู้ว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเชื่อใจตัวเองที่สุด แต่กลับเป็นเรื่องยากที่สุดที่จะเลือกตัวเอง
เรื่องนี้ เขาเองก็เป็นเหมือนกัน
เพราะแม้ว่าเส้นทางการหลบหนีจะยากลำบาก แต่ก็น่าจะดีกว่าอยู่เป็นตัวประกันที่นี่…
ซย่าจื้อคิดหนัก จากนั้นก็ชี้ตัวเองก่อน
“เธอเลือกนาย?” มู่เฉินถามอย่างผิดหวังเล็กน้อย
ซย่าจื้อพยักหน้า จากนั้นเขาก็ชี้ไปข้างหลัง
“แล้วนายก็เลือกเธอ?”
ทว่าต่อมา ซย่าจื้อก็หันนิ้วกลับมาชี้ที่ตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็ส่ายหน้าไปมา
เขาฉีกยิ้มที่ดูแหยแกสุดๆ ให้มู่เฉิน จากนั้นก็เดินกลับไปอยู่ในกลุ่มของพวกหลิงม่อ
“เฮ้ยเดี๋ยว!”
มู่เฉินตะโกนเรียกเขาเสียงเบา แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับ
สีหน้าของเขาดูยุ่งยาก แต่ขณะเดียวก็ดูปวดหัว
สวี่ซูหานเลือกซย่าจื้อ และซย่าจื้อก็เลือกเธอ
แต่ท่าทีสุดท้ายของซย่าจื้อกลับบ่งบอกว่า เขาขอสละสิทธิ์…
สละสิทธิ์ในสถานการณ์อย่างนี้ ก็เท่ากับว่าเขาหลีกทางให้สวี่ซูหานได้เดินไปบนเส้นทางที่มีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าไม่ใช่หรือ?
ไม่คิดเลยว่าซย่าจื้อจะเป็นคนใจกว้างอย่างนี้ แต่พอคิดดูอีกที เขาไม่ค่อยเข้าใจนิสัยใจคอของซย่าจื้อมากนัก
ไม่มีใครเข้าใจซย่าจื้อเลย…
ไม่ว่าอย่างไร การที่เขาเลือกอย่างนี้ทำให้มู่เฉินรู้สึกทึ่งไม่น้อย เขาตัดสินใจที่จะทำอย่างนี้ด้วยความเด็ดเดี่ยว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ…
แต่เมื่อเป็นอย่างนี้ ความจริงมู่เฉินก็จะเหลืออยู่แค่ทางเลือกสุดท้าย
มู่เฉินหันกลับไปมองสวี่ซูหาน จากนั้นก็สูดหายใจลึกๆ
ทันทีที่ทั้งสองสบตากัน ท่าทางก็ดูลุกลี้ลุกลนผิดปกติเล็กน้อย
และหลังจากที่มู่เฉินจ้องสวี่ซูหานอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันกลับไป
“เธอ…เอาเป็นเธอก็แล้วกัน…ซย่าจื้อไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจทำอะไรส่งๆ เราเองก็น่าจะเชื่อใจเธอได้เหมือนกัน อีกอย่างเธอมีสาทะศิลป์ แล้วยังมีเสียงที่อัดไว้มากขนาดนั้น…”
มู่เฉินกระชับด้ามมีดแน่น แล้วคิดในใจ “ที่เหลือก็เหลือแค่ปัญหาเดียวแล้ว ควรลงมือตอนไหนดี?
………..
สำหรับพวกหลิงม่อ เมืองตงหมิงเป็นสถานที่ที่พวกเขาไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่เคยมาที่นี่ซักครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะตามหานิพพานในเมืองนี้เจอได้อย่างไร
ดังนั้นหน้าที่สำคัญอย่างการนำทาง ย่อมต้องตกเป็นของพวกมู่เฉินอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
ทว่าหลังจากเดินอ้อมมากว่าครึ่งวัน ความอดทนของหลิงม่อก็หมดลงไปอย่างรวดเร็ว
“พาพวกเราไปให้ถึงที่หมายภายในวันนี้”
“เป็นไปไม่ได้” มู่เฉินหันหน้ากลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว “นายไม่เห็นหรอว่ามีซอมบี้เยอะไหน?”
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองจงใจพาเดินอ้อม แต่ซอมบี้บนถนนเส้นนี้มีอยู่เยอะมากจริงๆ
แน่นอนว่านี่เป็นเหตุผลที่เขาเลือกใช้เส้นทางที่คึกคักขนาดนี้ และเรื่องจริงก็ได้ยืนยันแล้วว่าเขาเลือกได้ไม่เลว
“เดินทางกลางคืนด้วยก็ได้” หลิงม่อพูดต่อ
“ไม่ได้ จะเคลื่อนไหวกลางคืนไม่ได้เด็ดขาด” พอพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของสวี่ซูหานก็เริ่มเปลี่ยนสี
“ฮ่า…” หลิงม่อจ้องมองสีหน้าของสามคนนี้อย่างสนอกสนใจ “ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว”
เขาผ่านการเดินทางตอนกลางคืนมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วจริงๆ ถึงแม้อัตราความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าหากระวังตัวขึ้นอีกหน่อยก็ยังพอรับมือได้
สิ่งที่ทำให้เขาสนใจก็คือปฏิกิริยาของสามคนนี้ ที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนจับผิดอะไรบางอย่างได้
—————————————————————————–