ทันใดนั้นประกายมีดพลันร่วงวูบ!
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือเสียงลั่นร้องของใครคนหนึ่ง “อ๊ะ!”
ทว่าเสียงเสียงนี้ กลับไม่ใช่ทั้งของซย่าน่า และไม่ใช่ของหลิงม่อเช่นกัน…
เย่เลี่ยนที่กำลังเล็งปืนไปที่ซอมบี้ตัวหนึ่งหันขวับไปมองทางต้นเสียงอย่างงงๆ “เอ๋?”
ในสายตาขี้สงสัยของเธอ สะท้อนเงาร่างของอวี๋ซือหรานที่เดิมซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นกำลังยืนเบิกตากว้าง และอ้าปากค้าง พลางร้องลั่นอย่างตกใจ “กรี๊ดดด!”
เสียงกรีดร้องครั้งนี้ของซอมบี้โลลิ เหมือนเสียงกรีดร้องของเด็กผู้หญิงมนุษย์เวลาตกใจมาก
แตกต่างกันเพียงเด็กสาวมนุษย์เหล่านั้นมักมีน้ำตาอาบแก้ม แต่ซอมบี้โลลิมีเพียงความงุนงงอยู่บนใบหน้าเท่านั้น
อวี๋ซือหรานไม่ใช่คนที่จะถูกสัตว์ “ตัวเล็ก” อย่างแมลงสาบหรือหนูทำให้สะดุ้งตกใจได้ สาเหตุที่เธอกรีดร้องตกใจออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ เป็นเพราะมีดเล่มเมื่อกี้ที่ควรพุ่งไปทางซย่าน่า เพื่อเป็นการเปิดประตูก้าวสู่ชีวิตใหม่ของเธอ ตอนนี้กลับหันมาจ่ออยู่ตรงลูกตาซ้ายของเธอในระยะเพียงหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้เธอยากจะเชื่อที่สุดคือ มีดเล่มนี้ยังคงอยู่ในมือของเธอ
“นี่มันๆๆๆ…นี่มันอะไรกันเนี่ย!”
อวี๋ซือหรานกรีดร้องพร้อมตั้งคำถามอยู่ในใจ
แต่พอสบตากับเย่เลี่ยนได้เพียงแวบเดียว เสียงกรีดร้องของเธอก็เบาลงทันที
“ใช่แล้วๆ! ถูกจับได้แล้วแน่ๆ! ไม่ได้การล่ะ เราต้องรีบหนีแล้ว! หนี…ก่อน…”
อวี๋ซือหรานที่กำลังวิตกสุดๆ กัดริมฝีปากแน่น พลางก้าวถอยหลัง แต่ไม่นานเธอกลับค้นพบว่า ไม่ว่าจะเป็นแขนหรือขาทั้งคู่ของตัวเอง ล้วนไม่ยอมฟังคำสั่งของเธอ
เธอทำได้มากสุดเพียงกระพริบตาปริบๆ หรือไม่ก็เลือกที่จะกรีดร้องต่อไป
“เฮยซือ! ฉันต้องขอบใจแกไหมที่อุตส่าห์เหลือปากกับตาให้ฉันเนี่ย! พวกเราตกลงกันดีแล้วไม่ใช่หรอ? อีกอย่างฉันไม่ได้โจมตีเจ้ามนุษย์คนนั้นซักหน่อยนะ!”
อวี๋ซือหรานยังคงพล่ามบ่นไม่หยุด ทว่าในตอนนั้นเองจู่ๆ เธอก็ค้นพบว่า เย่เลี่ยนที่สบตากับเธอไม่กี่วินาทีได้หันหน้ากลับไปทางเดิมแล้ว
ส่วนซย่าน่าและหลิงม่อก็เหมือนจะไม่สังเกตเห็นเธอเลยซักนิด พวกเขายังคงจดจ่ออยู่กับการรับมือซอมบี้กลายร่างพวกนั้นเต็มที่
“หรือว่า…ไม่ได้ยิน? แต่ถึงแม้ที่นี่จะเสียงดังไปหน่อย…ช่างเถอะ ไม่สนแล้ว”
ซอมบี้โลลิพยายามกลอกตาไปทางซ้าย เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเสี่ยวป๋าย “ชิ่วๆ! เสี่ยวป๋าย!”
“เฮ้ย! มาช่วยฉันเร็ว ฉันต้องกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะกลับมาช่วยแกนะ” อวี๋ซือหรานพูดขึ้น
แต่เสี่ยวป๋ายเพียงยกเปลือกตากขึ้นมองเล็กน้อย จากนั้นก็นอนหมอบลงไปเหมือนเดิม
“เฮ้ย! ชิ่ว! เสี่ยวป๋าย! เจ้าแพนด้า! อย่ามาทำเป็นไม่ได้ยินนะ!”
“เสี่ยวป๋าย เอาอย่างนี้ไหมพวกเรามาตกลงกันก่อน? ฉันสัญญาว่าจะไม่มีวันทิ้งแกอีกแล้ว!”
“เสี่ยวป๋ายป๋าย?”
ภายใต้เสียงร้องเรียกอย่างไม่ลดละของอวี๋ซือหราน ในที่สุดหมีแพนด้ากลายพันธุ์ที่ไม่ยอมตอบสนองต่อสิ่งใดก็เริ่มมีปฏิกิริยาเล็กน้อยแล้ว
แต่ท่ามกลางสายตาตื่นเต้นดีใจของอวี๋ซือหราน เจ้าหมีแพนด้ากลายพันธุ์ตัวนี้กลับยกอุ้งเท้าสองข้างขึ้นมา จากนั้นก็วางทับไว้บนหูทั้งสองของตัวเอง…
มันมุดหน้าลงไปแล้ว!
“ไอ้หมีแพนด้าเลว…ฉันว่าแล้วเชียวว่าหมีกับซอมบี้เข้ากันไม่ได้หรอก!”
อวี๋ซือหรานได้แต่กัดฟันบ่นอย่างเจ็บใจ จากนั้นก็หันไปมองหลิงม่ออีกครั้ง
แต่พอเห็นมนุษย์คนนี้ยังยืนหันหลังให้ตัวเองอยู่ และไม่สังเกตเห็นเธอซักนิด อวี๋ซือหรานกลับรู้สึกโล่งอกทันที…
สามนาทีผ่านไป ซอมบี้ตัวสุดท้ายล้มลงไป
และในที่สุดอวี๋ซือหรานก็รอจนหลิงม่อหันมาทางเธอ ทว่าสีหน้าท่าทางของมนุษย์ไส้กรอกผู้นี้แตกต่างจากที่เธอคิดไว้เล็กน้อย
“ไส้กรอก…นาย…” อวี๋ซือหรานยืนมองหลิงม่อเดินเข้ามาช้าๆ ก็อดเอ่ยปากเรียกขึ้นมาไม่ได้
“ฉันทำไม?” หลิงม่อนวดหว่างคิ้ว พลางถามกลับ
“ตอนนี้นายควรจะขมวดคิ้วเป็นปม และเบิกตากว้างจนลูกตาแทบถลนออกมาจากเบ้าไม่ใช่หรอ?” อวี๋ซือหรานถาม
“ฉันไปทำอย่างนั้น…อ๋อ นั่นเป็นท่าทางตอนฉันโกรธสินพชะ” หลิงม่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ ขณะเดียวกันก็หันไปถามเย่เลี่ยนเบาๆ “ตาฉันเหมือนจะถลนออกมาจากเบ้าจริงๆ หรอ?”
เย่เลี่ยนครุ่นคิดอย่างจริงจัง จากนั้นก็พยักหน้าขึ้นลง
“อย่างนั้นหรอ…” หลิงม่อลูบตาเบาๆ กระแอมเขินสองสามที จากนั้นก็เดินไปทางอวี๋ซือหราน
ท่าทางของเขาที่มีต่ออวี๋ซือหรานในวันนี้แตกต่างไปจากเวลาปกติจริงๆ ที่ผ่านมาเขามักโมโหเธอบ่อยๆ แต่ตอนนี้เขากลับดูสงบนิ่งมาก
“สนุกไหม?” หลิงม่อถาม
“หื้ม?” อวี๋ซือหรานกระพริบตาปริบๆ
“ก็…” หลิงม่อโบกมือพร้อมตะโกนเรียกซย่าน่า “เอามีดลงเถอะ”
คราวนี้อวี๋ซือหรานถึงกับต้องเบิกตากว้าง เธอหันไปมองซย่าน่าอย่างช็อกสุดขีด
เด็กสาวผมยาวคนนั้นเสยผมขึ้น บนดวงหน้าที่บริสุทธิ์สดใส กลับเปื้อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เฮยซือ เอาลงซะ”
อวี๋ซือหรานรีบตวัดสายตาไปมองแขนตัวเองลดลงต่อหน้าต่อตา และมีดเล่มนั้นก็ถูกหลิงม่อยึดไป
“ถึงแม้เธอจะเลือกมาตอนที่พวกเรากำลังสู้อยู่ และหวังว่าฉันจะไม่รับรู้ถึงการมาของพวกเธอ…แต่ความคิดนี้เป็นความคิดที่โง่มาก” หลิงม่อบอก
“แต่ถึงจะสัมผัสได้ นายก็ไม่มีเวลา…อีกอย่างเฮยซือกับฉันก็กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปแล้วด้วย!” อวี๋ซือหรานยังคงทำท่าเหมือนคนที่ไม่เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด
“เธอรู้ตัวไหมว่าเพิ่งเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับตั๊กแตนน่ะ?” (ตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน หมายถึง ผู้สมรู้ร่วมคิด หรือลงเรือลำเดียวกันในภาษาไทย) หลิงม่อพูดอย่างขบขัน จากนั้นก็พูดต่อว่า “ฉันไม่มีเวลาหันมาสนใจเธอมากนักจริงๆ แต่เธอคิดจริงๆ หรอว่าตัวเองจะทำให้เฮยซือทรยศได้? ฮ่าฮ่า…”
“ทำไมจะไม่ได้!” อวี๋ซือหรานถาม
ซย่าน่าเดินยิ้มหวานเข้ามา และยกมือขึ้นหยิกแก้มอวี๋ซือหรานไปมา “เหตุผลง่ายมาก เพราะเฮยซือถูกฉันล้างสมอง…หมายถึงสั่งสอนมาไงล่ะ เธอคิดว่าแค่เธออยู่กับมันเพียงไม่นาน มันก็จะเชื่อฟังเธอหรอ? อืมม มันเริ่มเชื่อฟังเธอแล้วก็จริง แต่เธอเคยคิดบ้างไหมว่าเป็นเพราะอะไร?”
พูดถึงตรงนี้ สายตาของซย่าน่าก็เปลี่ยนไปเหมือนมีบางอย่างแอบแฝงอยู่
อวี๋ซือหรานจ้องซย่าน่าอย่างมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตะโกนอย่างฉุกคิดขึ้นได้ “อ๋ออ…”
“ถูกต้องแล้ว ฉันสั่งให้มันยอมให้ความร่วมมือกับเธอในขอบเขตที่เหมาะสม ถึงอย่างไรพวกเธอก็เป็นร่างร่วม หากทำอย่างนั้นจะยิ่งทำให้พวกเธอเป็นหนึ่งเดียวกันเร็วขึ้น เมื่อไหร่ที่พวกเธอเป็นหนึ่งเดียวกันมากพอ ก็ไม่ต้องทำอย่างนี้ต่อไปแล้ว…แต่ขอบเขตที่ว่า ก็มีขีดจำกัดเหมือนกันนะ” ซย่าน่าโน้มตัวลงเล็กน้อย เพื่อให้สายตาของเธอกับอวี๋ซือหรานอยู่ในระดับเดียวกัน
ดูออกว่าเธออยากจะนั่งลงไปซะเลย แต่หากทำอย่างนั้นก็จะกลายเป็นว่าเธอกำลังดูถูกซอมบี้โลลิแทน
หลิงม่อที่ยืนอยู่อีกฝั่งอดกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้…
คิดไม่ถึงว่าซอมบี้ก็จะมีปัญหาเรื่องความสูงกับเขาเหมือนกัน…
“ขอบเขต?” อวี๋ซือหรานอึ้งค้างไปแล้ว จะให้สมองอันน้อยนิดของเธอทำการประมวลข้อมูลมากมายขนาดนี้ เห็นชัดว่าเป็นเรื่องที่ยากเกินกำลังของเธอ
“หึหึหึ…ก็อย่างเช่นการทำร้ายฉะ…” หลิงม่อพูดแทรกอย่างแอบสะใจเบาๆ
“ฉัน” ซย่าน่ายกนิ้วขึ้นมาชี้ที่จมูกของตัวเอง
“หา?!” คำตอบนี้ทำเอาหลิงม่อตะลึงไปเหมือนกัน เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนคำสั่งที่เขามอบหมายให้เธอสั่งสอนเฮยซือ โดยหลักแล้วจะยึดเรื่องที่ไม่สามารถทำร้ายเขาเป็นหลักนี่นา!
แต่เมื่อหลิงม่อถามคำถามนี้ออกมาด้วยความสงสัย ซย่าน่ากลับยิ้มออกมาอย่างเขินๆ “ความจริงข้อแรกคือห้ามทำร้ายฉันน่ะ…”
“ทำไมล่ะ?!” หลิงม่อตะลึง
“ก็ล้างสมองน่ะ…จู่ๆ ฉันก็ทำไปอย่างไม่รู้ตัวเลย…” ซย่าน่าเอียงคอ แล้วหัวเราะ
“แต่ว่า…” หลิงม่อออกจะทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็คิดได้
ก็เหมือนกันนั่นแหละ ถึงอย่างไรเป้าหมายของเขาก็คือปกป้องพวกเธอนี่นา
ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่า “ที่สุนัขยักษ์สุดเท่ห์ของเขาเปลี่ยนไปต้องเป็นเพราะอย่างนี้แน่ๆ” ก็ตามแต่…
“ถ้าอย่างนั้น ก็แปลว่าเฮยซือหลอกฉันหรอ? แสดงว่ามันหลอกฉันให้มาติดกับดักสินะ?” จู่ๆ อวี๋ซือหรานก็ถามขึ้น
“ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ความจริงมันก็คือเธอ พลังจิตของพวกเธอทั้งสอง…คาดว่าอีกไม่นานก็คงจะหลอกรวมเป็นหนึ่งแล้วล่ะ” หลิงม่อยั่งยองๆ ลงตรงหน้าอวี๋ซือหราน พลางยกมือขึ้นวางบนไหล่ซอมบี้โลลิ “แต่ว่าความรู้สึกที่เหมือนถูกเพื่อนขายบ้างอย่างนี้น่ะ รู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”
“หา?” อวี๋ซือหรานงงตึ๊บไปอีกครั้ง
“ฉันหมายถึง ถูกคนที่สนิทมากหลอกอย่างนี้ รู้สึกไม่ดีมากใช่ไหมล่ะ? อีกอย่างเธอจะอัดมันก็ไม่ได้ หรือจะทำอะไรก็ไม่ได้…” หลิงม่อบอก
“ฉันไม่ได้อยากอัด…” อวี๋วือหรานกำลังพยายามใช้ความคิด
แต่ในตอนนั้นเอง เส้นไหมสีเงินกึ่งโปร่งแสงสองเส้นกลับพุ่งออกมา จากนั้นก็เลื้อยเข้าไปในร่องหน้าอกลึกๆ ของอวี๋ซือหราน
เมื่อ “แมงกะพรุน” เรืองแสงก้อนหนึ่งถูกล้วงออกมา และถูกส่งต่อไปยังมือของหลิงม่อ ในที่สุดอวี๋ซือหรานก็ร้องเสียงดังออกมาอย่างทนไม่ได้ “กรี๊ดด! เฮยซือฉันจะกินแกซะ!”
“ใช่แล้ว ความรู้สึกอย่างนี้แหละ เธออยากจะกินก็กินไม่ได้” หลิงม่อยิ้มระรื่น พลางยกมือตบแก้มอวี๋ซือหรานเบาๆ มืออีกข้างก็ล้วงบางสิ่งออกมาแล้วยัดใส่ฝ่ามือของอวี๋ซือหราน “ถึงแม้ซอมบี้จะไม่โกหก แต่ในตอนที่ซอมบี้ไม่เข้าใจแม้กระทั่งว่าสมองของตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ คำพูดที่พูดออกมาก็จะเชื่อถือไม่ได้อีกต่อไป”
—————————————————————————–