บทที่ 618 ผู้รอดชีวิตมืออาชีพ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตั้งแต่เมื่อกี้ที่ได้ยินเสียงคำรามประหลาด หลิงม่อก็เริ่มมีลางสังหรณ์รางๆ—
คนของนิพพานสาขาย่อยสามคนนี้ ต้องปิดบังบางอย่างเกี่ยวกับเมืองตงหมิงไว้อย่างแน่นอน
แต่พอคิดอย่างนี้ หลิงม่อกลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
เดิมทีเขามาที่นี่เพื่อการวิจัยเชื้อไวรัสและหมายเลข 0 เท่านั้น แต่ดูท่าแล้วอาจจะมีเซอร์ไพรส์บางอย่างรอเขาอยู่ก็ได้
ไม่เสียชื่อที่เป็นถึงนิพพานจริงๆ…
แต่ถ้าหากไปถามพวกมู่เฉินตรงๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็นอย่างไร
แต่ยิ่งพวกเขาเป็นอย่างนี้ หลิงม่อก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขาสามารถเดินทางตอนกลางคืนได้
รอจนตกดึก มู่เฉินที่จงใจพาพวกเขาเดินอ้อมอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ เกรงว่าก็คงเกิดกลัวขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
ในอีกด้าน หลิงม่อสามารถฉวยโอกาสสืบเรื่องราวให้ชัดเจน เชื่อว่าหากมีพวกเขาอยู่ด้วย อันตรายก็คงจะน้อยลง…
ความจริงแล้ว หลิงม่อก็พอรับรู้ได้ถึงความกังวลของพวกมู่เฉินอยู่บ้าง
ทว่าอาศัยแค่วิธีการพาอ้อมอย่างนี้ อย่างมากก็คงทำได้แค่ถ่วงเวลาเท่านั้น
ถูกต้องแล้ว แค่ถ่วงเวลาเท่านั้น…
พอถูกหลิงม่อจ้อง มู่เฉินกลับรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
สายตาของเขาเมื่อกี้…หรือว่าจะรู้อะไรเขาแล้ว?
ความคิดนี้ทำเอามู่เฉินคอแห้งผากไปทันที ทว่าไม่นานเขาก็ตั้งสติแล้วทำตัวนิ่งเข้าไว้
ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้หรอก…
ถ้าเขารู้แล้ว ถึงเขาจะไม่เปลี่ยนท่าที แต่เด็กผู้หญิงที่อยู่กับเขาพวกนั้นล่ะ?
ยังไม่ต้องพูดถึงเด็กสาวผมยาวหน้าตาสะสวยท่าทางซื่อๆ คนนั้น แต่สาวเลือดผสมที่มักแผ่รังสีอันตรายกับเด็กผู้หญิงผมยาวคนนั้นล่ะ?
โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงผมยาวคนนั้น…
มู่เฉินเหล่มองซย่าน่าแวบหนึ่ง ในใจก็จินตนาการไปถึงภาพน่ากลัวบางอย่าง
อย่างเช่นขณะเดินทาง เด็กผู้หญิงคนนี้มักฟันซอมบี้ที่อยู่ตรงหน้าขาดออกเป็นสองท่อน โดยที่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเสมอ …
“เลือดเย็นดั่งฤดูหนาวในขั้วโลกใต้…” มู่เฉินขนลุกซู่ ในใจพลางให้คำนิยามแก่ซย่าน่า
ทว่าพอเป็นอย่างนี้ เขากลับคลายกังวลลงมาก
หากแผนการสำเร็จ อัตราการรอดชีวิตก็จะสูงขึ้น เมื่อนึกถึง “บทลงโทษ” ที่อาจได้รับหลังความแตกก็ไม่ได้ยากเกินรับไหวขนาดนั้นอีกต่อไป…
“ไม่…มันก็ยังเป็นเรื่องที่ยากจะรับได้อยู่ดี” มู่เฉินลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลอบส่ายหัวกับตัวเอง
“คิดในแง่ดีสิ ตัวประกันสองคนเทียบกับคนสามคน ถึงแม้จำนวนจะลดน้อยลง แต่กลับมีค่ามากขึ้น น่าจะไม่ลงไม้ลงมือสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก น่าจะนะ …”
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน” หลิงม่อบอก
มู่เฉินดึงสติกลับมา แล้วบอกว่า “นี่นายใช้คำพูดบังคับกันโต้งๆ อย่างนี้เลยหรอ!”
หลิงม่อหยักหน้า “ก็นายเป็นเชลยนี่”
“…ขอบใจที่อุตส่าห์เตือนนะ! แต่ถึงทุกคนจะรู้เรื่องนี้ดี แต่นายช่วยปกปิดมันเอาไว้อย่างเดิมจะได้ไหม!”
มู่เฉินยังอยากจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเดินทางกลางคืนอีกซักหน่อย แต่จู่ๆ เขากลับเหลือบไปเห็นซย่าจื้อที่ยืนเฉยื้องออกไปด้านหลังหลิงม่อ
ถึงแม้เจ้าหมอนี่จะดูเหมือนไร้ตัวตนตลอดเวลา แต่ ณ วินาทีนี้ ในตอนที่เขายักคิ้วหลิ่วตา ทำหน้าเหมือนเป็นคนโรคกล้ามเนื้อกระตุกบนใบหน้าอย่างนั้น มู่เฉินไม่มีทางมองข้ามเขาไปได้จริงๆ…
พอเห็นมู่เฉินมองมา ซย่าจื้อก็รีบส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นเขาก็กลับไปทำหน้าตายไร้อารมณ์เหมือนเดิมในชั่วพริบตา
“เอิ่มม…”
มู่เฉินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดกับหลิงม่ออย่างไม่พอใจเล็กน้อย “พวกนายอยากรนหาที่ตาย ก็เอาตามที่นายว่าแล้วกัน!”
“นี่…”
สวี่ซูหานที่กำลังยืนถือปืนอยู่อีกกำลังหน้าหงิกหน้างอเล็กน้อย
เธอเองก็พยายามส่งซิกทางสายตาให้มู่เฉิน แต่กว่ามู่เฉินจะสังเกตเห็น เธอก็กลอกตามองบนไปเสียแล้ว
สิ่งที่สวี่ซูหานต้องการจะสื่อนั้นชัดเจนมาก เธอหวังว่ามู่เฉินจะสามารถทำให้หลิงม่อเปลี่ยนความคิดได้
แต่มู่เฉินไม่เพียงไม่คิดจะเอ่ยปากคัดค้านออกไปอีกครั้ง แต่กลับฉวยโอกาสตอนหลิงม่อกำลังพูด หันมาส่ายหน้าให้เธอเงียบๆ
คราวนี้สวี่ซูหานถึงกับเอือมระอา เธอขมวดคิ้ว พลางกัดฟันกรอดจ้องมู่เฉิน
มู่เฉินยักไหล่ขึ้นลง แล้วหันหน้ากลับไปเหมือนไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
พอเขาหันไปมองซย่าจื้ออีกครั้ง หวังว่าจะได้รับสัญญาณอะไรจากเขาซักหน่อย กลับพบว่าเจ้าหมอนั่นกลับไปเป็น “ท่อนไม้” อีกครั้งแล้ว
“เชี่ย!”
มู่เฉินสบถด่าในใจ
เขาขมวดคิ้ว แล้วนึกไปถึงอีกปัญหาหนึ่ง “ทำไมทิศทางของเรื่อง เหมือนยังอยู่นอกเหนือการควบคุมของฉันอยู่ล่ะ?”
……….
หากพูดกันแค่เรื่องพื้นที่ เมืองตงหมิงไม่ถือว่าใหญ่มาก แต่ผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องมือการรักษาทางแพทย์อันเลื่องชื่อ กลับนำพาเขตเมืองอันเนืองแน่นไปด้วยสิ่งก่อสร้างมากมาย และประชากรอันล้นหลามมาให้เมืองแห่งนี้
ในสมัยก่อน สองเรื่องนี้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าเมืองเมืองหนึ่งเจริญรุ่งเรืองหรือไม่มาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นมาตรฐานการวัดระดับความอันตรายไปเสียแล้ว
ถ้าหากต้องจัดระดับเมืองตงหมิงจริงๆ หลิงม่อจะให้คะแนนความอันตรายอยู่ที่ “ค่อนข้างอันตราย”
“ขนาดกองทัพอากาศยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่เลย” หลิงม่อลองนึกย้อนดู แล้วก็ต้องสงสัยในเรื่องนี้
ทว่างานอย่างการสำรวจพื้นที่ คืองานที่กองทัพอากาศเก่าทำ แต่ฟอลคอนที่สองในตอนนี้จะรู้เรื่องนี้หรือยัง หลิงม่อก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
แวบแรกเขานึกถึงเฟิ่งจื่อซวนผู้เป็นพี่เมียของเขาทันที แต่พอหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาจึงรู้ว่าที่นี่ไม่มีสัญญาณ
“ไหนบอกว่าเป็นรุ่นปรับปรุง…” หลิงม่อถอนหายใจ แล้วยัดเครื่องมือสื่อสารใส่กระเป๋า
ในเมื่อไม่สามารถเอาข้อมูลจากฝ่ายที่สามมาได้ ก็คงต้องไปดูด้วยตัวเองแล้วล่ะ
เส้นทางที่มู่เฉินพาพวกเขาไปล้วนอยู่ในใจกลางเมือง การทำอย่างนี้นอกจากจะถ่วงเวลาได้แล้ว ยังสามารถทำให้พวกหลิงม่อหมดเรี่ยวแรงและพลังจิตไปด้วย
เหนื่อยแล้วจะทำอะไรได้อีก? ก็ต้องพักไง
มู่เฉินคำนวณไว้ได้ดี แต่เขาไม่คิดว่าพวกหลิงม่อจะชินชอบกับการเดินอ้อมขนาดนี้
ในฐานะผู้รอดชีวิตที่ไม่มีกลุ่ม ความสามารถในการใช้ชีวิตในเมืองของหลิงม่อย่อมไม่ธรรมดา
มุดซอย อ้อมตึก กระโดดหน้าต่างเข้าไปในร้าน ทำอย่างไรถึงจะหลบซอมบี้ได้ เขาก็จะทำอย่างนั้น
และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ เขาไม่เคยผิดพลาด!
คนทั่วไปหากเดินทางอย่างนี้ จะต้องเดินอย่างระวังทุกฝีก้าว และตัดสินใจอย่างรอบคอบจากทุกวิถีทาง เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเจออะไรรออยู่ข้างหน้า
แต่หลิงม่อกลับยกเท้าปุ๊ปออกเดินปั๊บ เขาไม่เคยมีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้จะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตก็ตาม แต่ความสามารถในการตัดสินใจอย่างนี้สุดยอดเกินไปแล้ว!
และเมื่อสถานการณ์เป็นอย่างนี้ คนที่ทรมานกลับกลายเป็นมู่เฉินแทน เขาต้องเค้นสมองคิดอย่างหนักตลอดเวลา ว่าตกลงว่าถนนสายไหนคือสายที่ไกลที่สุดกันแน่? ยังมีที่ไหนให้พาอ้อมไปได้อีก?
ทว่าถึงแม้จะเป็นอย่างนี้ บางครั้งพวกเขาก็มีช่วงเวลาที่ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้เหมือนกัน
ถึงแม้จะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ แต่เมื่อต้องต่อสู้กับซอมบี้ ก็ยังต้องเสียเวลาและแรงไม่น้อยทีเดียว
แต่วิธีการของหลิงม่อกลับทำให้เรื่องง่ายดายขึ้นมาก และไม่ต้องเสียเวลาอย่างที่มู่เฉินคิดไว้ในตอนแรก
หลิงม่อเพียงมองหาอาคารก่อสร้างหลังหนึ่ง จากนั้นเขาก็จะหลบเข้าไปในมุม เพื่อวางตำแหน่งตัวเองให้อยู่ข้างหลังเด็กสาวสามคนนั้น
ถ้าหากทั้งสองฝ่ายเพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรก พวกมู่เฉินต้องดูถูกการกระทำอย่างนี้ของหลิงม่อแน่นอน
แต่เวลานี้พวกเขากลับรู้ดี ถึงแม้หลิงม่อไม่ได้ยืนขวางอยู่ด้านหน้า แต่บทบาทของเขาในทีมเล็กๆ นั่นสำคัญมากอย่างที่ไม่มีใครมาทดแทนได้
เขาเหมือนระบบศูนย์กลางควบคุม คือสายเชื่อมต่อสำคัญที่คอยประสานให้เด็กสาวสามคนนั้นทำงานร่วมกันอย่างสมบูรณ์แบบ
และการต่อสู้ของทีมนี้กับซอมบี้ ไม่เพียงรวดเร็ว แต่ยังหมดจดอีกด้วย!
หลิงม่อที่ยืนอยู่หลังสุดจะคอยใช้พลังจิตเพื่อทำการก่อกวนสนามรบทุกรูปแบบ ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจ แต่แค่ดูจากที่จู่ๆ ซอมบี้พวกนั้นก็เคลื่อนไหวแปลกๆ ก็พอจะเดาอะไรได้บ้าง
ส่วนเด็กสาวที่ถือปืนไรเฟิลไว้ในมือยืนอยู่ข้างหน้าหลิงม่อ เธอคนนั้นจะคอยเลือกยิงสังหารซอมบี้ระดับสูงที่ปรากฏตัวอยู่ในฝูง และขอเพียงอีกฝ่ายอยู่ในครรลองสายตาของเธอแม้เพียงวินาทีเดียว เธอก็สามารถลั่นไกด้วยความมั่นใจอย่างรวดเร็วทุกครั้ง
ในฐานะที่เป็นผู้ใช้อาวุธปืนเหมือนกัน แล้วยังเป็นผู้มีความสามารถพิเศษอีกด้วย สวี่ซูหานยอมรับว่าฝีมือการยิงปืนระดับนี้หากตัวเองพยายามสุดกำลังแล้วก็ยังคงทำได้แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น
แต่ความแตกต่างที่แท้จริงอยู่ตรงที่ เย่เลี่ยนทำเรื่องอย่างนี้ได้อย่างสบายๆ และอัตราความสำเร็จก็สูงมากจนทำให้คนดูต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน
เธอไม่ได้ต้องการให้ถึงตายในลูกปืนนัดเดียว แต่ลูกกระสุนปืนไรเฟิลที่มีอานุภาพร้ายแรงนั้น แม้จะยิงโดนแค่นิ้วเท้า ก็สามารถทำให้เป้าหมายสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวได้ในพริบตา
และในทางตรงกันข้าม ซอมบี้ที่ได้รับบาดเจ็บกลับยิ่งอันตรายมากว่า สำหรับผู้รอดชีวิตมันเป็นอย่างนั้น สำหรับพวกเดียวกันกับมันก็เช่นกัน
คนที่อยู่ข้างหน้าสุดคือซย่าน่า เคียวดาบเล่มนั้นเมื่ออยู่ในมือเธอก็เหมือนกลายเป็นใบมีดคมๆ ที่กำลังร่ายรำเพลงดาบอันงดงาม มันฉวัดเฉวียนไปมาอยู่บนฟลอร์เต้นรำ พลางปลิดชีพของสิ่งมีชีวิตที่อยู่โดยรอบไปด้วย รอบกายมีสายฝนแห่งเลือดโปรยปรายเป็นฉากหลังประกอบ
และหากพวกมู่เฉินสังเกตให้ดี พวกเขาก็จะมองเห็นหลี่ย่าหลินหนึ่งคนหรือหลายคนปรากฏตัวรางๆ อยู่ท่ามกลางสายฝนแห่งเลือดนั่น
เป้าหมายในการลงมือของเธอคือเหล่าซอมบี้ที่วนเวียนอยู่รอบนอก ซึ่งกำลังมองหาโอกาสจะกระโจนเข้าไปร่วมวง
เหล่าซอมบี้ที่เดิมหลบกระสุนและเคียวดาบพ้นแล้ว แต่จู่ๆ ก็ชะงักกึกไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ จากนั้นไม่นานลำคอของพวกมันก็เริ่มมีเลือดพุ่งออกมา พอพวกมู่เฉินเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดก็อดรู้สึกเสียววูบที่ลำคอไม่ได้
หมดจดงดงามเกินไปแล้ว!
—————————————————————————–