บทที่ 633 การดูถูกจากซอมบี้
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ไสหัวออกมาซะ!” เมื่องเสียงตะโกนของหลิงม่อดัง ร่างกายของหมายเลข 1 ที่กำลังพุ่งทะยานมาข้างหน้าพลันมีเลือดกระฉูดออกมามากมาย
และเฉินเล่อที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหมายเลข 1 ก็ถูกบังคับให้เผยตัวออกมา ถึงแม้ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เขากลับถูกคำว่า “ไสหัว” ของหลิงม่อกระตุกต่อมโมโหไม่น้อย ปรากฏว่าหลิงม่อฉวยโอกาสที่เขาเผลอ โจมตีใบหน้าเขาทันที
เขานึกโชคดีในใจที่ตัวเองเบี่ยงหัวหลบทัน พลางโกรธเกรี้ยวจนตัวสั่น
กล้าทำให้เขาเสียโฉมงั้นหรอ…
ทว่าเจ้าหนูคนนี้ยังไม่ทันได้โต้กลับหรือพูดจาร้ายกาจใดๆ ออกมา หนวดสัมผัสอีกสองเส้นก็ถูกยิงออกมา ลมแรงที่ปะทะเข้ามากะทันหันทำให้เขาตกใจมาก เขารีบเบี่ยงกายหลบ และซ่อนตัวอีกครั้ง
ส่วนหมายเลข 1 ถึงแม้ไม่ได้ล้มลงไปง่ายๆ เพราะอาการบาดเจ็บ แต่กลับเคลื่อนไหวได้ลำบากกว่าเดิม
ช่องโหว่นี้ตกอยู่ในสายตาของหลี่ย่าหลินและเย่เลี่ยนทันที สองสาวซอมบี้ร่วมมือกันยืนขวางอยู่เบื้องหน้าหลิงม่อ และเริ่มต่อสู้กับมัน
ตอนนี้พลังป้องกันของมันไม่ได้ร้ายกาจเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว นั่นยิ่งทำให้หลิงม่อมั่นใจในการคาดเดาของตัวเองมากขึ้น
ความแข็งแรงของผิวหนังและกล้ามเนื้อของซอมบี้ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อโมโหจนเลือดขึ้นหน้าเท่านั้น แต่เกิดขึ้นจากระหว่างที่วิวัฒนาการ ร่างกายพวกมันได้ถูกเชื้อไวรัสปรับโครงสร้างใหม่ต่างหาก
ถึงแม้ว่าพวกมันใช้เรี่ยวแรงจนหมดแล้ว แต่ลักษณะเด่นอย่างนี้ไม่ใช่จะหายไปได้ง่ายๆ
แม้แต่ร่างกายของซอมบี้ระดับสูง ก็ไม่ได้ทำลายกันได้ง่ายๆ อย่างน้อยกับมนุษย์ที่ไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสมมันก็เป็นอย่างนั้น…
แต่สภาพร่างกายของสัตว์ประหลาดตัวนี้กลับเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด ซึ่งนี่ไม่ใช่ลักษณะเด่นของซอมบี้
บวกกับพลังโจมตีที่มันระเบิดออกมาเมื่อกี้ ยิ่งทำให้คำตอบในสมองของหลิงม่อชัดเจนยิ่งขึ้น…
“นายซ่อนตัวไปอย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก” หลิงม่อยิงหนวดสัมผัสออกไปอีกหลายสิบเส้น และครั้งนี้เขาก็กระชากร่างเฉินเล่อโผล่ออกมาได้อีกครั้ง
เฉินเล่อหายตัวไปด้วยสีหน้าบูดบึ้งอีกครั้ง ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดสุดขีด
คู่ต้อสู้อย่างหลิงม่อ เขารู้สึกจนปัญญาจริงๆ
เพื่อรับมือกับการโจมตี เฉินเล่อจงใจซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ เย่เลี่ยน พอทำอย่างนี้หลิงม่อก็จะห่วงหน้าพะวงหลัง การโจมตีก็จะไร้ประสิทธิภาพ
แต่ไม่คิดเลยว่า เขาจะยังถูกจู่โจมจนต้องเผยตัวออกมา
“เจ้าโง่ ไม่รู้รึไงว่าพลังจิตมันเลี้ยวโค้งได้น่ะ?” หลิงม่อหัวเราะเย็นชาแล้วพูดขึ้น
เฉินเล่อกลอกตามองบนอย่างฉุนเฉียว “นี่คิดว่าฉันชื่อ ‘เจ้าโง่’ ไปแล้วรึไง!”
ทว่าเขาเองก็รู้ดีว่าหลิงม่อจงใจกระตุ้นให้เขาเผยตัวออกมาหรือไม่ก็เปิดฉากโจมตีก่อน ดังนั้นโมโหก็ส่วนโมโห แต่เขาก็ยังคงอดกลั้นต่อไป และเดินไปรอบๆ เพื่อหาโอกาสโจมตีอยู่อีกทาง
มู่เฉินถามซย่าน่าอย่างแปลกใจ “พลังจิตเลี้ยวโค้งได้?”
“มันเป็นความรู้ทั่วไปที่ควรรู้อยู่แล้วนะ…” ซย่าน่าส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่าย
“นี่มันความรู้ทั่วไปด้านไหนไม่ทราบ?” มู่เฉินอึ้ง
ซย่าน่ามองเขาด้วยหางตา แล้วพูดอย่างรำคาญเล็กน้อย “ช่างเป็นมนุษย์ที่โง่เง่าจริงๆ…เพราะสมองของนายมันทึบอย่างนี้ไงล่ะ ถึงไม่สามารถทำความเข้าใจความรู้ทั่วไปประเภทนี้ได้”
“…” มู่เฉินนิ่งอึ้งไปสองวินาที จากนั้นก็ยกมือขึ้นตบปากตัวเองหนึ่งที “ใครใช้ให้นายปากมากเองล่ะ…”
ถูกเด็กสาวอายุ 17 – 18 ปีคนหนึ่งหยาม มู่เฉินยังหงุดหงิดมากขนาดนี้ ถ้าหากเขารู้ว่าตัวเองกำลังถูกซอมบี้ตัวหนึ่งดูถูกอยู่ ไม่แน่เขาอาจถึงขั้นคลุ้มคลั่งไปเลยก็เป็นได้…
เมื่อเวลาผ่านไป หนึ่งวินาที หนึ่งนาที สภาพของหมายเลข 1 ก็ย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว
หลิงม่อรับมือมันได้อย่างสบายมากขึ้นเรื่อยๆ และมีเวลาพูดมากกว่าเดิมตามไปด้วย “เอ๋ นายคงไม่ได้วิ่งออกนอกอาณาเขต 30 เมตรแล้วหรอกนะ? จะทิ้งสหายร่วมรบกันไปง่ายๆ อย่างนี้เลยหรอก? มันจะถูกรุมตายอยู่แล้วนะ”
“ไอ้หนู ท่าทางขึงขังของนายเมื่อกี้หายไปไหนแล้วล่ะ? เฮ้อ ไอ้เราก็อุตส่าห์ชื่นชม ว่านายช่างกล้าหาญไม่กลัวความตาย…”
“ออกมาเถอะไอ้หนู ออกมาตัดสินให้รู้แล้วรู้รอด เอ่อ…ประโยคนี้กระดากปากจังแฮะ ถือว่าฉันไม่ได้พูดแล้วกัน”
“โธ่เว้ยย!”
เฉินเล่อสติแตกจนถึงขีดสุดยอดแล้ว เจ้าหมอนี่เอาแต่พูดจาเย้ยหยันเขาไม่หยุดหย่อน เขาอยากทำเป็นไม่ได้ยิน แต่ก็ไม่สามารถนิ่งได้ขนาดนั้น
ความจริง เขาเองก็มักจะดูถูกคนอื่นอยู่เสมอ ยิ่งในการต่อสู้การพูดจาดูถูกนั้นมีผลไม่น้อย
มีความดุดันเด็ดเดี่ยวของหมายเลข 1 และความสามารถในการหายตัวของเขา กอปรกับการเย้ยหยันและคุกคามกลายๆ ไม่นานอีกฝ่ายก็ต้องพ่ายแพ้ไปด้วยความหวาดผวา
แต่ตอนนี้พอถูกคนอื่นเล่นงานด้วยวิธีเดียวกัน เขาจึงเพิ่งได้รู้ว่าความรู้สึกอย่างนี้ทรมานแค่ไหน!
และพอจิตไม่นิ่ง เขากลับเป็นฝ่ายเผยตัวออกมาเอง
“เชี่ย!”
เฉินเล่อสะดุ้งตกใจ เขากำลังคิดจะซ่อนตัวอีกครั้ง ท้องน้อยก็ถูกกระแทกอย่างแรงทันที
ขณะที่ความเจ็บปวดพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง เขาก็ถูกโจมตีจนตัวลอย และร่วงลงพื้นดัง “ตุบ”
“ใช่แล้ว อย่างนี้แหละ” หลิงม่อพูดไป ก็พลางเร่งฝีเท้าวิ่งตามเข้าไป หนวดสัมผัสสองเส้นพุ่งออกไป แทงทะลุร่างของเฉินเล่อที่กำลังตะเกียกตะกายฝืนลุกขึ้นยืน
“อ๊ากก!”
เฉินเล่อกรีดร้องเสียงดัง ในใจกลับตะลึงงัน
ทำไมเจ้าหลิงม่อคนนี้ถึงได้เร็วนัก! ถ้าไม่ใช่ว่าศักยภาพร่างกายเขาเองก็ไม่เลว เขาจะรับมือหมายเลข 1 ได้อย่างไร…
นี่มันแหกกฏชัดๆ เลยนี่ ผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตที่ไหนเป็นอย่างนี้กัน?!
ทว่าในขณะที่หลิงม่อกำลังจะแผ่หนวดสัมผัสทางจิตอีกเส้นออกไป เพื่อจู่โจมเฉินเล่อที่กำลังตัวงออยู่ตรงนั้น จู่ๆ เขากลับได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เอ๋?”
หลังจากที่ตาพร่ามัวไปขั่วขณะ หลิงม่อกลับค้นพบว่าสิ่งที่ตัวเองเพิ่งโจมตีไปกลับกลายเป็นแค่ถังขยะ…
“ภาพลวงตา? ไม่สิ เมื่อกี้มัน…”
หลิงม่อรีบหันไป หลังมองซ้ายมองขวาหนึ่งรอย กลับมองเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงมุมเลี้ยวของถนน
ห่างออกไปในระยะทาง 30 เมตร เฉินเล่อกำลังยกมือกุมไหล่และพยายามวิ่งหนีอยู่
แต่หลังจากประสานสายตากับหลิงม่อ ถึงแม้เขาจะเร่งความเร็วเต็มที่แล้ว แต่กลับไม่สามารถซ่อนตัวได้อย่างเมื่อกี้อีกต่อไปแล้ว
“คิดจะทิ้งหมายเลข 1?”
หลิงม่อหัวเราะเย็นชา เขาย่างเท้าวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว
เฉินเล่อตกใจจนหัวใจเต้นรัว แต่ด้วยสภาพร่างกายและสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ เขาจะวิ่งสู้หลิงม่อได้อย่างไร?
วิธีเดียวที่ทำได้คือ ขณะที่หลิงม่อเข้ามาในอาณาเขต 30 เมตร เขาต้องรีบซ่อนตัวทันที จากนั้นก็รีบหนีต่อก่อนที่จะถูกโจมตีให้เผยตัวออกมา…
ทว่าเห็นชัดว่าหลิงม่อไม่เปิดโอกาสนั้นให้เขา ขณะที่หลิงม่อยังอยู่ห่างจากเฉินเล่อ 30 เมตรนั้น เขายิงหนวดสัมผัสออกไปหลายเส้น ฉุดรั้งเฉินเล่อไว้จนล้ม
เฉินเล่อที่ล้มลงไปอย่างแรงยังไม่ทันลุกขึ้นยืนก็ถูกดึงไปข้างหลังทันที พริบตาเดียวเขาก็ถูกหลิงม่อใช้เท้าเหยียบแผ่นหลังแน่น
คราวนี้จะซ่อนตัวอย่างไรก็ไร้ผลแล้ว เฉินเล่อสีหน้าซีดเผือด ตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
หลิงม่อก้มลงไปกระชากต้นคอเขา จากนั้นก็ดึงร่างเจ้าหนูคนนี้ให้ลุกขึ้นยืน
“นาย…ฆ่าฉันซะเถอะ…” ริมฝีปากของเฉินเล่อกระตุก เสียงพูดก็สั่นตามไปด้วย
หลิงม่อเหลือบมองหนึ่งที จากนั้นก็ชักมีดพกออกมาจากต้นขาท่ามกลางสายตาตื่นกลัวของเฉินเล่อ
ประกายวูบวาบของคมมีดเพิ่งจะส่องสว่างต่อหน้าเฉินเล่อครู่เดียว เจ้าหนูคนนี้ก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป
เขาอ้าปากตะโกนขึ้นมา “อย่าฆ่าฉัน! ขอร้องล่ะอย่าฆ่าฉันเลย!”
“เบาๆ หน่อยสิ…” หลิงม่อยังคงถือมีดไว้ แล้วมองหน้าเฉินเล่อที่กำลังกรีดร้องด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
หลังจากร้องลั่นอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเฉินเล่อก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง แล้วค่อยๆ หุบปาก
สีหน้าของเขาทั้งโกรธจัด แต่ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวในขณะเดียวกัน
“นาย…นายจะไม่ฆ่าฉัน?” เฉินเล่อยังคงมีความหวัง
“ฉันอยากรู้เรื่องบางอย่าง” หลิงม่อบอก
“ฉันไม่ได้อยากฆ่านาย คนออกคำสั่งไม่ใช่ฉัน ฉันแค่มาทำภารกิจเท่านั้น! ถ้านายฆ่าฉันจะมีคนอีกมากมาไล่ล่านาย ถ้านายปล่อยฉันไป ฉันจะบอกว่าฉันฆ่านายไปแล้ว เป็นไงล่ะ?” เฉินเล่อพูดรัวและเร็ว
หลิงม่อจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ถาม “มีแค่นายกับหมายเลข 1 เท่านั้นที่มา?”
สีหน้าของเฉินเล่อนิ่งงันไปทันที ทว่าพอมีดของหลิงม่อขยับอีกครั้ง เขาก็รีบส่ายหน้าแรงๆ “พวกเราเดินทางได้ค่อนข้างเร็ว…ฉันมากับหมายเลข 1”
“แสดงว่าความเร็วของหมายเลข 1 ไม่เลวจริงๆ…ที่นายรีบฆ่าพวกฉันขนาดนี้ ก็เพื่อจะแย่งผลงาน?” หลิงม่อหัวเราะแล้วถามขึ้น
เฉินเล่อไม่พูดอะไร เขาจะกล้าตอบคำถามนี้ได้อย่างไร
หลิงม่อลากเขาเดินกลับทางเดิม พลางถามว่า “ความจริงเรื่องที่ฉันอยากรู้ไม่ใช่เรื่องพวกนี้”
“อะไรนะ?” เฉินเล่อนิ่ง ไม่อยากรู้เรื่องนี้ แล้วอยากรู้เรื่องไหนล่ะ?
อีกอย่าง…เดี๋ยวนะ งั้นก็เท่ากับว่าเขาเป็นคนเปิดปากขายข้อมูลด้วยตัวเองเลยน่ะสิ?
“หมายเลข 1…เป็นตัวอะไรกันแน่?” หลิงม่อหันกลับมามองหน้าเขา ด้วยสายตาแฝงนัยลึกซึ้ง
เฉินเล่อหน้าถอดสีอีกครั้ง เขาอ้าปากพะงาบๆ ส่ายหน้าเบาๆ “ก็เป็น…ซอมบี้…โอ๊ยย!”
หลิงม่อยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ แต่ไหล่ของเฉินเล่อกลับมีรูแผลเพิ่มขึ้นมาหนึ่งรู
“ความอดทนของฉันมีขีดจำกัด” หลิงม่อพูดอย่างเย็นชา
ความจริง เวลาต่างหากที่มีจำกัด…
การต่อสู้อันดุเดือดเมื่อกี้ ใช้เวลาไปก็ประมาณสิบกว่านาทีแล้ว และในอีกสิบนาทีที่จะถึงนี้ สำหรับสวี่ซูหานแล้ว เกรงว่าจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่เธอจะประคองสติไว้ได้
และนี่คือเหตุผลที่หลิงม่อไว้ชีวิตเฉินเล่อชั่วคราว เขาต้องการรู้ข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับหมายเลข 1
“มัน…” เฉินเล่อมืดแปดด้าน สิ่งที่เขามองเห็นจากสายตาของหลิงม่อไม่ใช่หยั่งเชิง แต่เป็นความมั่นใจ
หลิงม่อรู้ว่ามันไม่ใช่ซอมบี้…
แต่เขารู้ได้อย่างไร?!
ดวงตานั่น ท่าทางอย่างนั้น มองอย่างไรก็ซอมบี้ชัดๆ เลยนี่!
แม้แต่พวกผู้เชี่ยวชาญด้านเชื้อไวรัสที่สำนักงานใหญ่ หากไม่ผ่าร่างหมายเลข 1 ออกมาตรวจสอบดูอย่างละเอียด ก็ยังไม่สามารถมองออกได้
อีกอย่าง…ความจริงแล้วหมายเลข 1 ไม่ต่างอะไรจากซอมบี้มากแล้ว…
ทว่าเขากลับไม่ได้นึกถึงสวี่ซูหานเลยซักนิด เพราะในความคิดเขา สวี่ซูหานไม่มีโอกาสรอดชีวิตแล้ว
บางทีที่หลิงม่อซักไซ้เรื่องหมายเลข 1 อาจเพราะแค่ความอยากรู้?
“อย่ามัวแต่อ้ำอึ้ง” หลิงม่อขมวดคิ้วเบาๆ
ถึงแม้หลิงม่อไม่ได้ข่มขู่เขาอีก แต่ความเจ็บปวดจากบาดแผลกลับเตือนสติเฉินเล่อได้ดียิ่งกว่า
ในใจของเขาก็กำลังหวาดกลัวสุดขีดอยู่แล้ว ท่าทางของหลิงม่อในตอนนี้ ยิ่งน่ากลัวกว่าปกติเข้าไปอีก
ไม่รู้ว่าหลิงม่อเริ่มใช้วิธีทรมานเพื่อเค้นความจริงตั้งแต่เมื่อไหร่! สื่อสารกับคนแบบนี้ ไม่สามารถเดาทางอะไรได้เลยแม้แต่น้อย…
“นาย…นายจะฆ่าฉันไม่ได้นะ…” เฉินเล่อพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เงื่อนไขคือ?” หลิงม่อหรี่ตาเล็กลง
เฉินเล่อพยักหน้าสุดแรง จากนั้นก็พูดเสริมอย่างร้อนรน “เจ้าคนแซ่มู่นั่น ก็จะไม่เป็นอะไรเหมือนกัน ฉันจะปล่อยเขาไปก็ได้ แค่บอกไปว่าเขาก็ตายไปแล้วเหมือนกัน…”
“เดี๋ยว พูดมากไม่มีประโยชน์ พูดเรื่องหมายเลข 1 ก่อน” หลิงม่อบอก
เฉินเล่อยังคิดจะถ่วงเวลาต่ออีกซักนิด แต่ประกายเย็นเยียบในสายตาของหลิงม่อกลับทำให้เขาจำใจต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอไป
ถ้ายังไม่พูดตอนนี้ บางทีเขาอาจตายทันทีเลยก็ได้ เขาไม่มั่นใจเลยว่าหลิงม่อสนใจความเป็นความตายของมู่เฉินหรือไม่ อย่างน้อยดูจากท่าทางของเขาในตอนนี้ เดาว่าน่าจะไม่สนใจมากกว่า…
—————————————————————————–