บทที่ 776 โรคอย่างนี้เป็นโรคที่ป่วยถึงไขกระดูก
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพราะพาหลายคนกลับมายังที่พัก จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความวุ่นวายขึ้นชั่วขณะ
สองพ่อลูกแซ่หลันกำลังคุยกันเรื่องที่หนีออกมาจากนิพพานได้ด้วยความตื่นเต้น และไม่ยอมหลับยอมนอน
หลิงม่อพูดอย่างจริงจัง “ไม่ว่าพวกลุงจะนอนหรือไม่นอน พรุ่งนี้พวกเราก็จะออกเดินทางแต่เช้าตรู่ ระหว่างทางไม่ได้มีเวลาให้พักผ่อนมาก พอถึงตอนนั้นถ้าพวกลุงไม่มีแรง ผมจะให้มู่เฉินหาเชือกมามัดพวกลุงแล้วลากไป หรือถ้าลุงกับลูกขอร้องให้เขาแบกขึ้นหลังได้ก็ดีไป…”
“เจ้าหนู นายต้องรู้จักเคารพผู้สูงอายุและเมตตาต่อเด็กนะ…” เหล่าหลันสั่งสอน
“ใช่ นายทำแบบนี้ไม่ถูกต้องนะ!” หลันหลันคัดค้าน
นอกเหนือจากนั้น ยังมีเสียงพึมพำด้วยความหงุดหงิดของมู่เฉินดังแทรกมาด้วย “ทำไมเป็นฉันอีกแล้วล่ะ! อีกอย่าง อย่างน้อยก็ช่วยถามความเห็นฉันก่อนแล้วค่อยตัดสินใจได้ไหม…”
ทว่าน้ำเสียงของหลิงม่อกลับไม่ได้ฟังดูเหมือนกำลังล้อเล่น หลันหลันบ่นอยู่ครู่หนึ่งแล้วเห็นว่าไม่ได้ผล จึงจำใจเดินตามซย่าน่าไปยังห้องข้างๆ
ห้องตรงข้ามถูกทำความสะอาดเอาไว้ง่ายๆ แล้ว หากจะนอนพักผ่อนร่วมกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ไม่เป็นปัญหาอะไร
คนเยอะขนาดนี้ จะให้อัดกันอยู่ในห้องห้องเดียวคงไม่ไหว…
“ผมจะไปนอนกับพวกเย่เลี่ยนแล้วกัน” หลิงม่อพูด
“ควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่นายก็น่าจะบอกกันตั้งแต่แรกสิ ถ้าฉันรู้ว่าเป็นการ “นอน” อย่างนั้น ก็คงยกห้องให้พวกนายไปนานแล้ว” เหล่าหลันส่ายหน้า
“ก็แค่นอนหลับธรรมดาแหละน่า…” หลิงม่ออธิบายในขณะที่ปากกำลังกระตุกยิกๆ
“ฉันเข้าใจๆ” เหล่าหลันยักคิ้วให้เขาหนึ่งที แถมยังยกมือทำท่าสู้ๆ ให้อีกด้วย จากนั้นจึงได้ถือปลาคราฟที่รักของเขาเดินตามคนอื่นๆ ออกไป
“ตาเฒ่าโรคจิต…”
หลิงม่อเอือมระอา ใครบอกล่ะว่าเหล่าหลันโรคจิตแค่เรื่องการทำวิจัย!
พอลองคิดดูดีๆ โรคจิตเป็นโรคที่ป่วยถึงไขกระดูกเลยนี่!
ถ้าเขาเป็นคนที่มีสัญชาตญาณปกติดี จะวิจัยของแบบนั้นออกมาได้อย่างไรกัน?
ส่วนมู่เฉินที่เพิ่งจับชายแว่นดำมัดตัวใหม่เสร็จ หันมาถามหลิงม่ออย่างสับสน “หัวหน้าทีม นายตั้งใจจะช่วยสวี่ซูหานเมื่อไหร่…”
“วันนี้แหละ” หลิงม่อบอก
“ฉันก็คิดอยู่…” มู่เฉินพยักหน้า
สองพ่อลูกแซ่หลันสัมผัสไม่ได้ แต่มู่เฉินกลับดูออกว่าหลิงม่อมีเรื่องที่อยากสะสางอยู่
“ถึงแม้สถานการณ์ของเธอยังไม่ถึงขั้นแย่ที่สุด แต่ยิ่งลงมือเร็ว โอกาสที่จะสำเร็จก็ยิ่งมาก” หลิงม่อพูดต่อ
“ถ้าอย่างนั้นฉัน…” มู่เฉินดูเหน็ดเหนื่อย แต่พอนึกถึงเรื่องสวี่ซูหานขึ้นมา เขาก็ดูกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
หลิงม่อยกมือตบไหล่มู่เฉิน แล้วบอกว่า “นายไปนอนเถอะ นายเองก็รู้นี่ ถึงนายจะอยู่ด้วย ฉันก็ไม่ให้นายเห็นอะไรอยู่ดี”
“ก็ได้…” มู่เฉินพยักหน้าด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “แล้วนายล่ะ ไม่นอนทั้งคืนจะไหวหรอ? สีหน้านายเองก็ดูไม่ดีเหมือนกัน…”
“วางใจเถอะ ฉันมีวิธีฟื้นพลังแบบพิเศษอยู่” หลิงม่อยิ้มบาง
สายตาเป็นห่วงเป็นใยของมู่เฉินพลันหายวับไปทันที เขาลอบด่าหลิงม่อในใจ “ชิบ! คิดว่าฉันไม่รู้จริงๆ หรือไง! แต่ละครั้งที่จูบกับสามสาวนายก็จะคึกขึ้นมาอย่างกับฉีดยากระตุ้นประสาทเข้าไปอย่างนั้นแหละ ช่างเหมาะกับฉายาปีศาจจูบเสียจริงๆ…ซักวันเถอะ ขอให้ปากเจ่อเป็นไส้กรอกไปเลย! นี่คือคำสาปแช่งจากชายที่เป็นโสดมา 30 ปีอย่างฉัน…”
“จู่ๆ ฉันก็เหมือนจะมองเห็นประกายไฟลุกในตานาย…” หลิงม่อพูดขึ้งอย่างประหลาดใจ
“นายตาฝาดแน่ๆ…”
พอมู่เฉินออกไป หลิงม่อก็หันมามองชายแว่นดำที่ถูกมัดไว้ตรงมุมห้อง
พอเห็นหลิงม่อเดินมาทางตัวเอง ชายแว่นดำเริ่มมีสีหน้าลนลาน แต่กลับยังคงยืดคอ และส่งเสียงร้อง “อื้อๆๆ” เหมือนเดิม
หากตีความหมายจากสีหน้าท่าทางของเขาแล้ว เขาคงต้องการจะสื่อว่า “ฉันไม่กลัวตาย” อะไรทำนองนั้น…
หลิงม่อลากเขามาตรงหน้าประตูห้องน้ำ แล้วยกเท้าถีบเขาเข้าไปในห้องน้ำ
“อื้อๆๆ!”
หลิงม่อยินพิงประตู เงยหน้ามองหน้าต่างบานเล็กแคบบนผนัง แล้วบอกว่า “แกอยู่นี่ไปก่อนแล้วกัน”
“อื้อ”!
“อย่าเปลืองแรงอีกเลย ฉันไม่ฆ่าแกหรอก แต่ยังไงแกก็หนีไม่พ้นเหมือนกัน”
ขณะที่หลิงม่อกำลังพูด ชายแว่นดำรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ไม่นาน ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
แมงกะพรุนสีแดงใสเหมือนคริสตัลตัวหนึ่งไต่ออกจากท้ายทอยเขา จากนั้นมันก็ค่อยๆ ย้ายมาอยู่บนหน้าผากเขา และฝังรากใหม่อีกครั้ง
ดวงตาของชายแว่นดำเหลือกขาวหนักกว่าเดิม แต่ร่างกายกลับแข็งทื่อบ้าง กระตุกสั่นบ้างสลับกันไป
“วางใจเถอะ เจ้ามาสเตอร์บอลไม่ฆ่านายหรอก แต่พลังจิตของนายถูกเอามาต่อสู้กับแรงดูดของมันหมดแล้ว ก็เลยควบคุมร่างกายไม่ได้ดั่งใจอย่างนี้สินะ? แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ นายก็คงทำได้แค่นั่งอยู่นิ่งๆ แล้วล่ะ”
วินาทีที่ประตูปิดลง หลิงม่อหันกลับมาพูดเสริมประโยคหนึ่งว่า “อย่าคิดจะประลองการเผาผลาญพลังงานกับเจ้ามาสเตอร์บอลเชียว นายสู้มันไม่ได้หรอก…”
“แกร๊ก!”
ตอนที่ปิดประตู มุมปากของหลิงม่อยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับบอกว่า “เจ้าตัวเล็กนั่นมีความสามารถในการชาร์จพลังในตัวเชียวนะ…”
………..
ติ๊กต่อก…ติ๊กต่อก…
ยามเช้ามืด เวลาตีสี่ หลิงม่อนั่งอยู่บนโซฟาแล้ว และโซฟาด้านหน้าก็มีสวี่ซูหานและหลี่ย่าหลินนั่งอยู่
เพื่อไม่ให้สองพ่อลูกแซ่หลันสังเกตเห็นอะไร สวี่ซูหานจึงซ่อนตัวอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว และเพิ่งจะเดินออกมาในตอนนี้
ทว่าสภาพของสวี่ซูหาน กลับทำให้หลิงม่อต้องเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
“นี่เธอเป็นอะไรไป?” หลังจากจ้องเธออยู่ครู่หนึ่ง หลิงม่อก็อดถามออกมาไม่ได้ในที่สุด
สวี่ซูหานยกมือขึ้นกุมคอเสื้อตัวเองแทบจะทันที แล้วบอกว่า “ไม่มีอะไรนี่…”
“แต่ทรงผมของเธอเปลี่ยนไปนะ” หลิงม่อชี้ไปที่ศีรษะของเธอแล้วบอก
สวี่ซูหานในตอนแรกมัดหางม้าแบบลวกๆ แต่ตอนนี้เธอกลับถูกตัดผมเป็นทรงสั้นแบบง่ายๆ ด้านหนึ่งดูเหมือนจะยาวกว่าเล็กน้อย ส่วนอีกด้านเผยให้เห็นลำคอเนียนขาวพอดี
ความจริง ทรงผมนี้กลับทำให้เธอดูทะมัดทะแมงขึ้นมาก ขณะเดียวกันก็ได้ขับบุคลิกผู้ประกาศข่าวสาวของเธอให้โดดเด่นขึ้นด้วย
เพียงแต่ดวงตาสีแดงอ่อนของเธอยังคงแฝงไว้ด้วยความคลุ้มคลั่งเหมือนเดิม ทำให้รังสีที่แผ่อยู่รอบตัวเธอดูแปลกออกไปเล็กน้อย
“ถึงแม้สุดท้ายจะรักษาสติปัญญาไว้ได้ แต่คงจะเปลี่ยนดวงตาคู่นี้ให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว…” หลิงม่อคิดในใจ
“เปล่า ไม่มีอะไร…” สวี่ซูหานยังคงกำคอเสื้อตัวเองไว้แน่น ขณะเดียวกันเธอก็เปลี่ยนท่านั่งเป็นท่าแปลกๆ
หลิงม่อขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วจู่ๆ เขาก็ตวัดสายตามองไปทางหลี่ย่าหลิน “รุ่นพี่…”
“ฉันไม่ได้กินเธอนะ!” รุ่นพี่ตอบอย่างไร้ความผิด
“ก็น่าจะเหลือแต่ไม่ได้กินเธอแล้วล่ะ!” หลิงม่อยกมือตบหน้าผากดังป๊าบ จากนั้นก็ยิ้มแหยเป็นนัยขอโทษขอโพยไปทางสวี่ซูหาน “อย่าถือสาเลยนะ…”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไรน่ะ” สวี่ซูหานกลับไม่ได้โกรธ แต่ท่าทางเธอดูแปลกไปเล็กน้อย
หลิงม่อหันไปมองหลี่ย่าหลินอีกครั้ง แต่รุ่นพี่กลับส่ายหน้าไปมารัวๆ “ฉันไม่ได้ทำอะไรจริงๆ นะ แค่เปลี่ยนให้เธอดูเหมือนพวกเดียวกันมากขึ้นเฉยๆ”
“เหมือนตรงไหน…”
“ข้างล่าง…”
“เฮ้ย!”
หลิงม่อเหลือบมองสวี่ซูหาน แล้วเห็นว่าเธอก้มหน้าจนแทบจะมุดโซฟาอยู่แล้ว จึงพูดขึ้นด้วยความเห็นใจว่า “รุ่นพี่เธอเลียนแบบพฤติกรรมแย่ๆ มาจากซย่าน่าน่ะ”
“ฉันไม่เป็นไร…”
“ยังไงมันก็ยังงอกขึ้นมาใหม่ได้นี่”
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรจริงๆ ไงเล่า!” สวี่ซูหานคว้าเสื้อนอกที่วางอยู่ข้างๆ ขว้างใส่หลิงม่อ “นายจงใจใช่ไหม!”
หลิงม่อเบี่ยงหัวหลบ แล้วพูดด้วยสีหน้าปกติ “ก็แค่สงสัยนิดหน่อย…เธอต้องใจเย็นๆ นะ…”
“นายนั่นแหละที่บังคับให้ฉันต้องกัดนาย!”
“อะแฮ่ม นี่ก็จะสายแล้ว เธอน่าจะเตรียมตัวพร้อมแล้วใช่ไหม?” ทันใดนั้น หลิงม่อกลับปรับสีหน้าเป็นโหมดจริงจังขึ้นมากะทันหัน ขณะเดียวกันก็หยิบขวดขวดหนึ่งออกมาจากประเป๋าเป้
ในขวดแก้วขวดนี้บรรจุเลือดหนืดๆ เอาไว้ แต่พอเขย่าเบาๆ ก็ไม่เห็นว่าพวกมันจะจับตัวเป็นก้อนแต่อย่างใด ซึ่งนี่เป็นลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของเลือดซอมบี้นั่นเอง
ตอนแรกสวี่ซูหานทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่พอเลือดขวดนี้ปรากฏขึ้น สายตาของเธอก็ถูกดึงดูดไปที่มันทันที
“นี่มัน…” ร่างกายของเธอเกร็งและแข็งทื่อไปโดยอัตโนมัติ สายตาฉายแววแห่งความปรารถนาขึ้นมาทันที
“อ่อนไหวต่อเลือดของร่างแม่เป็นพิเศษเหมือนที่คิดไว้จริงๆ ด้วย…” หลิงม่อสังเกตท่าทางเธอ พลางคิดในใจ
นี่ขนาดมีฝาขวดปิดอยู่ เธอยังมีปฏิกิริยาตอบสนองเลย อีกเดี๋ยวหากเปิดฝาออก เธอจะสูญเสียสติปัญญาไปเพราะมันหรือเปล่านะ?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วหลิงม่อจะไปหาเลือดที่เหมาะสมกับเธอ เพื่อทำให้เธออยู่ในสภาวะสมดุลได้จากที่ไหนล่ะ?
“เลือดที่เหมาะสม” ที่พูดถึง แน่นอนว่าไม่ใช่เลือดที่จะได้จากซอมบี้ที่จับตัวได้ง่ายๆ เงื่อนไขแรกคือต้องมีระดับความเข้มข้นของเชื้อไวรัสในเลือดไม่ต่างจากสวี่ซูหานมากนัก
และหลิงม่อก็ไม่อาจตัดสินระดับความเข้มข้นดังกล่าวเป็นตัวเลขได้อย่างแม่นยำ เรื่องนี้มีเพียงเหล่าหลันที่เป็นบุคลากรผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นจึงจะทำได้
แต่ในสถานการณ์ที่ขาดอุปกรณ์ช่วย ถึงแม้จะเป็นเหล่าหลันก็คงต้องคว้าน้ำเหลว…
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหนทางซะทีเดียว…ถึงแม้จะมีอันตรายหน่อย แต่ก็ยังดีกว่ายื้อต่อไป” หลิงม่อคิดมาถึงตรงนี้ แววตาของเขาก็แน่วแน่ขึ้นมาทันที เขาหันไปบอกว่า “เด็กโง่ รุ่นพี่ จับเธอไว้ ผู้ประกาศข่าวสวี่ ฉันทำอย่างนี้เพื่อเธอนะ”
เขาเพิ่งจะพูดจบ เย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินก็เดินเข้าไป และกดไหล่ของสวี่ซูหานคนละข้าง
ดวงตาของสวี่ซูหานยังคงมีความบ้าคลั่งแฝงอยู่ แต่เธอก็ไม่ได้ดิ้นพล่าน เพียงแค่พยักหน้าตอบเบาๆ
“นึกว่าพอถึงเวลาที่ต้องตัดสินชะตาชีวิตอย่างนี้ อารมณ์ของเธอจะไม่มั่นคง จนอาจถึงขั้นร้องไห้ตะโกนว่าอยากยอมแพ้แล้ว อะไรทำนองนั้นซะอีก…แต่ดูจากตอนนี้เหมือนจะไม่ต้องเป็นห่วงแล้วนะ…”
หลิงม่อถือขวดขยับเข้าไปหาสวี่ซูหาน แต่เขาไม่ได้รีบร้อนลงมือ กลับหลับตาเพื่อสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่ง
หนึ่งนาทีผ่านไป เมื่อหลิงม่อลืมตาขึ้น สายตาของเขาก็ดูมุ่งมั่นและมีสมาธิสูงมาก
ภายใต้สถานการณ์ที่สมาธิถูกรวบรวม สายตาที่จับจ้องมาของหลิงม่อ ทำให้สวี่ซูหานได้สติขึ้นมาเล็กน้อย
“ฉัน…”
“อย่าพูด พยายามคิดเรื่องที่สำคัญมากๆ เข้าไว้ เธอต้องควบคุมตัวเองไว้ให้ได้”
“ได้…ฉะ…ฉันจะทำให้ได้…” สวี่ซูหานตอบตะกุกตะกัก
ในขณะที่หลิงม่อพูด มือของเขาได้เปิดฝาขวดเลือดออก
ฝาขวดเพิ่งจะแง้มออกเป็นช่องเล็กๆ กลิ่นเชื้อไวรัสอันเข้มข้นก็ได้ลอยฟุ้งออกมาแล้ว
“อ๊า!”
ดวงตาทั้งสองข้างของสวี่ซูหานกลายเป็นสีแดงฉานในชั่วพริบตา ร่างกายที่ถูกกดตรึงไว้กับโซฟาเริ่มดิ้นพล่านอย่างรุนแรง
เธอแยกเขี้ยวแยกฟันจ้องหน้าหลิงม่อ ราวกับสามารถพุ่งเข้ามาฉีกทึ้งร่างเขาได้ทุกเมื่อ!