แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 787

ตอนที่ 787

บทที่ 787 ความยากลำบากของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
หากดูจากผลลัพธ์ แผนที่ภาพฉายของเฮยซือถือว่ามีประโยชน์มาก

ใช้เวลาประมาณสามนาทีต่อมา หลิงม่อก็ได้มาถึงจุดมุ่งหมายแล้ว และเขาก็เริ่มสำรวจสถานที่โดยรอบทันที

ความจริงไม่ต้องทำอะไรมากเลย…เพราะสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นสะดุดตามากที่สุดในย่านนี้ ก็คือโรงพยาบาลแห่งนั้นนั่นเอง

“ที่นั่นมีทั้งกลิ่นฉุนแล้วก็เป็นสถานที่แบบปิดด้วย…” หลิงม่อปัดเสื้อผ้า แล้วไถลตัวลงมาจากหลังคา

ขณะที่เท้าแตะพื้น ทันใดนั้นก็มีซอมบี้ตัวหนึ่งกระโจนมาจากข้างหลัง กรงเล็บแหลมคมพุ่งเข้ามาที่แผ่นหลังเขาอย่างเงียบเชียบไร้เสียงเตือน

หลิงม่อลุกขึ้นยืนตัวตรงโดยไม่หันมามอง แต่จู่ๆ ใบหน้าของซอมบี้ตัวนั้นกลับมีรูโหว่ปรากฏขึ้นมา แล้วไม่นานมันก็ล้มลงไปดัง “โครม”

“โอ้โห ใช้พลังจิตได้คล่องขึ้นเรื่อยๆ เลยน้า! แต่น่าเสียดายที่ความแม่นยำยังไม่เป็นที่น่าพอใจเลย ทั้งที่ตั้งใจเล็งระหว่างหัวคิ้ว แต่กลับโดนใบหน้าแทนซะงั้น…” เสียงของเฮยซือดังขึ้นในสมองอีกครั้ง

“พูดมากน่า” หลิงม่อว่า

ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายยังคงสายสัมพันธ์ทางจิตไว้ เฮยซือที่มีพลังจิตอันแข็งแกร่งสามารถรับรู้บางอย่างจากคลื่นดวงจิตของหลิงม่อได้ อย่างเช่นแนวโน้มจุดประสงค์ของเขาในตอนนี้ หรือความคิดบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในช่วงเวลาสั้นๆ ถึงแม้จะไม่สามารถสัมผัสรู้ได้อย่างแม่นยำ แต่หลังจากไต่ตรองดีๆ แล้ว เจ้าสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ตัวนี้ก็สามารถคาดเดาได้ไม่ไกลจากความจริงนัก

เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนี้ถือว่ามีพรสวรรค์ด้านการวิเคราะห์เพราะมีสภาพแวดล้อมเป็นใจ

ทั้งการเก็บข้อมูลมหาศาล และการลอกเลียนแบบความคิดมนุษย์…

ยิ่งหลังจากที่เธอแสดงพลังการฉายภาพสะท้อนจินตนาการ หลิงม่อก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอไม่ธรรมดาจริงๆ

การพัฒนาความสามารถพิเศษของตัวเองนั้นเป็นเรื่องยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหากช่วยคนอื่นพัฒนาจะเป็นเรื่องที่ยากแค่ไหน

การที่พลังภาพสะท้อนจินตนาการสำเร็จ ด้านหนึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเพราะพลังของตัวเธอเอง ในอีกด้านก็เป็ฯเพราะเธอมีความเข้าใจต่อความสามารถพิเศษของหลิงม่ออย่างลึกซึ้ง…

พอนึกได้ว่าเมื่อก่อนตัวเองถูกเจ้านี่ลอบสังเกตโดยไม่พูดไม่จา หลิงม่อก็รู้สึกขนลุกเล็กน้อย

“พวกเธอถึงไหนแล้ว?” หลิงม่อถาม ความจริงเขาไม่อยากสลับมุมมองสายตาในเวลาอย่างนี้…แต่แน่นอนว่าในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยอย่างนี้ ถึงจะสลับมุมมองสายตาไปก็ไม่รู้อยู่ดีว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน

ภาพสะท้อนแผนที่ในสมองของหลิงม่อสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นไม่นานก็มีวงกลมเล็กๆ วงหนึ่งปรากฏขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของแผนที่

“ถึงตรงนี้แล้ว” เฮยซือรีบบอก

“นอกจากกากบาทกับวงกลม เธอยังวาดอะไรอย่างอื่นได้อีกไหม?” หลิงม่อเหงื่อตก

“อย่าคิดว่าการอัพเดตตามเวลาจริงเป็นเรื่องง่ายได้ไหม อีกอย่างฉันกับเสี่ยวป๋ายก็อาศัยแยกแยะทุกอย่างด้วยกลิ่น นายในฐานะที่เป็นมนุษย์กลับไม่เข้าใจความยากลำบากของพวกฉันเลยซักนิด…” หลังจากที่เฮยซือถอนหายใจและบ่นเหมือนมนุษย์ จู่ๆ เธอก็เปลี่ยนเรื่องทันที “อยากให้ฉันค้นหาบริเวณรอบๆ ไหม? เผื่อจะเจอไง…”

“ก็ดี” หลิงม่อครุ่นคิด แล้วเห็นด้วยกับเธอ

โรงพยาบาลเป็นเป้าที่ค่อนข้างใหญ่ แต่ย่านนี้ก็ยังมีสถานที่ที่คล้ายๆ กันอยู่เหมือนกัน

หากตามหาพร้อมกันทั้งสองฝ่าย น่าจะช่วยให้เร็วขึ้นไม่น้อย

ตอนนี้เวลาได้ผ่านไปเกือบสิบนาทีแล้ว ถ้าหากพวกที่พักอยู่ในโรงแรมรู้ว่าพวกเขาหายไป ไม่รู้จะมีสีหน้าอย่างไรกันบ้าง…

พอคิดถึงตรงนี้ หลิงม่อก็รีบส่งสารไปถึงซย่าน่า ให้เธอช่วยปกปิดเรื่องนี้ทันที

ขณะเดียวกัน เขาเดินผ่านลานจอดรถ และเข้าไปในโรงพยาบาลแล้ว…

“ชิบ กลิ่นโคตรแรง…”

ทันทีที่ก้าวเข้าไปในโรงพยาบาล หลิงม่อก็ยกมือขึ้นปิดจมูกตัวเองทันที

หลังจากหรี่ตามองดูรอบๆ สีหน้าของเขาก็ดูหวาดระแวงขึ้นมาทันที

กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อแรงขนาดนี้ ต้องเป็นฝีมือของใครซักคนเมื่อไม่นานมานี้แน่

และจุดประสงค์ที่ทำอย่างนี้ ก็เพื่อป้องกันซอมบี้นั่นเอง

ขนาดหลิงม่อเพิ่งเข้ามายังรู้สึกแสบจมูก ซอมบี้ทั่วไปไม่มีทางเข้าใกล้ที่นี่แน่นอน

กลิ่นชนิดเดียวกัน แต่ด้วยประสาทการรับกลิ่นของซอมบี้ กลิ่นจะชัดเจนขึ้นในระดับที่ต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับระดับวิวัฒนาการของพวกมัน

ตามทฤษฎี ยิ่งเป็นซอมบี้ที่ระดับสูง ประสาทการรับกลิ่นจะยิ่งอ่อนไหว

ทว่าทุกอย่างบนโลกนี้ย่อมมีสองด้าน ถึงแม้ซอมบี้ธรรมดาจะได้รับผลกระทบจากกลิ่นไม่มาก แต่เนื่องจากรูปแบบความคิดที่ตายตัว ส่วนมากพวกมันจึงเดินผ่านสถานที่อย่างนี้ไป

ส่วนซอมบี้ระดับสูงนั้นถึงแม้จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก แต่เพราะเหตุนี้อาจไปกระตุกต่อมอยากรู้อยากเห็นของพวกมันเข้า

ดังนั้นสำหรับผู้รอดชีวิต “วิธีปกปิดด้วยกลิ่น” ถือเป็นดาบสองคม ที่ต้องอาศัยการเสี่ยงดวง ว่ามันจะลักนำมาซึ่งเรื่องร้ายๆ หรือไม่

“แต่พอใช้กับเขตชานเมืองอย่างนี้ กลับได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อเลยนะเนี่ย สถานที่แบบนี้ น่าจะมีซอมบี้ระดับสูงอยู่ไม่มากนะ”

อาศัยแค่ดูจากสภาพแวดล้อมในห้องโถงไม่สามารถตัดสินได้ว่ามีคนอยู่หรือไม่ และการบุ่มบ่ามใช้พลังจิตสำรวจ ก็อาจเสี่ยงแหวกหญ้าให้งูตื่นด้วย…

“ไม่คิดเลยว่าจะดันมาเจอผู้รอดชีวิตในสถานการณ์อย่างนี้…”

หลิงม่อเริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่หลังจากเดินสำรวจรอบๆ ห้องโถงหนึ่งรอบ เขากลับล่าถอยออกไปข้างนอก

“เอ๋ ทำไมต้องเดินอ้อมล่ะ…” เฮยซือเริ่มพูดมากขึ้นมาอีกครั้ง

“อาคารทั้งหลังมีบันไดอยู่แค่เส้นเดียว เกิดไปจ๊ะเอ๋กับคนเข้า จะซ่อนตัวยังไงล่ะ? หลิงม่ออธิบาย

“ดังนั้นนายก็เลยเลือกใช้อุบาย โจรในที่แจ้ง หลบหลีกง่าย โจรในที่ลับ ยากระวัง งั้นหรอ?” เฮยซือพูด

“ความหมายน่ะไม่ผิด แต่เธอช่วยบรรยายภาพลักษณ์ของเจ้านายตัวเองให้ดูเฉิดฉายกว่านี้หน่อยไม่ได้หรอ?” หลิงม่อบ่น พลางเงยหน้าสำรวจดูโครงสร้างของอาคาร

“ให้พวกฉันไปช่วยไหม?” เฮยซือหัวเราะคิกคัก

“ไม่ต้องล่ะ เสี่ยวป๋ายเคลื่อนไหวในตัวอาคารไม่ได้ อีกอย่างฉันก็ยังไม่แน่ใจว่าสวี่ซูหานอยู่ที่นี่หรือเปล่า”

ขณะเดียวกับที่พูดอยู่ หลิงม่อได้แผ่หนวดสัมผัสทางจิตหนึ่งเส้นขึ้นไปเกาะบนขอบหน้าต่างของชั้นสอง

“เจ้านาย ลุยเลย!”

“ใครใช้ให้เธอทำเสียงประกอบให้ฉัน! ถ้าเสียสมาธิฉันอาจตกลงไปตายได้เลยนะ!”

หลิงม่อที่เพิ่งจะโหนตัวขึ้น เกือบทำตัวเองร่วงลงไป

เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกเข้าใจหัวออกอวี๋ซือหราน และรู้สึกเห็นใจซอมบี้โลลิน้อยตัวนั้น…

ทว่าหากดูจากบางมุม เสียงประกอบจากเฮยซือก็เหมือนจะจี้จุดสำคัญได้พอดี

ถึงแม้ว่าหลิงม่อจะอาศัยหนวดสัมผัสทางจิตรูปสสารโหนตัวขึ้นไป แต่ระหว่างที่หนวดสัมผัสหดตัวยังคงต้องใช้การควบคุมจากความคิดของเขาอยู่ดี

ดังนั้นในระหว่างที่โหนตัวขึ้นหรือร่อนตัวลง หลิงม่อต้องใช้ความคิดจินตนาการอยู่ตลอดเวลา…

การใช้ความคิดจินตนาการมีสองด้าน หนึ่งคือ ความคิดที่ว่าร่างกายของเขาต้อง “โหนตัวขึ้นหรือร่อนตัวลง” สองคือพลังจิตของเขาต้อง “หดตัวหรือขยายตัว” พร้อมกับความคิดของเขาให้ได้ บวกกับการเผาผลาญพลังจิตมหาศาล นี่จึงเป็นสาเหตุที่หลิงม่อมักไม่ค่อยใช้พลังนี้หากไม่จำเป็น

ถ้าเขาใช้ สิ่งที่เขาจะจินตนาการในสมองก็คือภาพสไปเดอร์ XX โหนตัวไปท่ามกลางตึกสูงมากมาย…

“ถ้าพวกนิพพานรู้ว่าตอนนั้นฉันกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว พวกนั้นคงจะคลั่ง…” หลิงม่อคิดขำๆ ในใจ

ตอนนี้นิ้วมือของเขาเกี่ยวถึงขอบหน้าต่างแล้ว และเขาก็ทิ้งตัวลงบนเครื่องปรับอากาศที่แขวนไว้ข้างนอกอย่างแม่นยำ

เสี้ยววินาทีที่เหยียบลงไป เครื่องปรับอากาศเครื่องนั้นส่งเสียงดัง “เอี๊ยดอ๊าด” และสั่นสะเทือนอย่างแรง

“เก่ามากจนน็อตหลวมแล้วงั้นหรอ…” หลิงม่ออาศัยหนวดสัมผัสยึดร่างให้ยืนมั่นคง จากนั้นจึงค่อยมองเข้าไปในหน้าต่าง

ด้านหลังหน้าต่างเป็นห้องพักผู้ป่วย ข้างในมืดมาก และสกปรกมากด้วย…แต่นั่นไม่ได้อยู่ในขอบเขตความสนใจของหลิงม่อ หลังจากมั่นใจ เขาก็กระโดดเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบ

“น่าเสียดายที่ฆ่าซอมบี้ตัวเมื่อกี้ไปซะแล้ว ไม่อย่างนั้นใช้หุ่นซอมบี้สำรวจสถานการณ์ก่อนก็ดี…”

หลิงม่อเดินอย่างระมัดระวังไปที่ประตู ในใจพลางคิด

“นายก็ให้ฉันไปช่วยสิ…”

“เงียบเลย ไปหากระดูกแทะเล่นไป” หลิงม่อกลอกตาขาว

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันไม่ใช่…”

เฮยซือยังพูดไม่ทันจบ หลิงม่อก็ตัดบทจบอย่างไร้เยื่อใยทันที

เมื่อกี้เขาจับกลอนประตู ยังไม่ทันได้เปิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากข้างนอก

เสียงเคลื่อนไหวนั้นเกิดขึ้นกะทันหันมาก หลิงม่อจึงตั้งท่าระแวดระวังทันที

“ต้องรักษาความสงบไว้ ถ้าหากเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต อาจถูกตรวจจับคลื่นดวงจิตเจอก็ได้” หลิงม่อรีบพูดขึ้นในใจ

เสียงข้างนอกนั่นเบามาก และฟังออกได้ไม่ยากว่าผู้พูดกำลังเคลื่อนไหว หลิงม่อแทบจะแนบตัวติดกับประตู พร้อมกับรวบรวมสมาธิไปด้วย

เดาว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางคาดคิด ว่าด้านหลังประตูมีคนแอบฟังพวกเขาคุยกันอยู่

“เป็นไงบ้าง? พวกนั้นบอกไม่ให้พวกเรายื่นมือเข้าไปยุ่งไม่ใช่หรอ?” เสียงพูดของชายคนหนึ่งดังชัดขึ้นก่อนเพื่อน

ไม่นาน เสียงพูดเชิงรำคาญของหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังตามมา “ช่างหัวพวกนั้นสิ ถ้าเกิดอะไรขึ้นพวกนั้นไม่ได้เป็นคนรับผิดชอบซักหน่อย…”

เสียงพูดคุยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนหลิงม่อตอนนี้กำลังอึ้งเล็กน้อย

เสียงผู้หญิงเมื่อกี้…คุ้นหูมาก!

“ลองคิดดูดีๆ สิ…” เสียงผู้หญิงที่หลิงม่อได้ยินในช่วงนี้มีไม่มาก นอกจากเสียงอันคุ้นเคยของพวกเย่เลี่ยน ที่เหลือก็มีแค่คนในนิพพานสำนักงานใหญ่…

“ใช่แล้ว! ฉันจำได้แล้ว! ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเธอ…”

เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวข้างนอกเงียบหายไป หลิงม่อก็ค่อยๆ เปิดประตู

ข้างนอกเป็นทางเดินเส้นหนึ่ง เนื่องจากไม่มีแสงสว่าง มันจึงดูมืดเป็นพิเศษ

สิ่งที่ทำให้หลิงม่อตงิดใจ คือร่องรอยบนทางเดิน…

บนพื้นมีแต่เลือดเต็มไปหมด บางจุดมีกระทั่งเศษเนื้อและเศษอวัยวะภายใน

“ไม่น่าล่ะถึงต้องใช่ยาฆ่าเชื้อมากมายขนาดนั้น…” หลิงม่อยกมือขึ้นปิดจมูก

ร่องรอยมากมายขนาดนี้ไม่มีทางเป็นของคนหรือซอมบี้เพียงตัวเดียวแน่นอน บวกกับเสียงเมื่อกี้…

เมื่อตระหนักได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน หลิงม่อก็พยายามใจเย็นลง เขาดึงมีดพกออกมา แล้วใช้ปลายมีดจิ้มเลือดขึ้นมาดม

“น่าจะเป็นเลือดของซอมบี้กลายพันธุ์หรือซอมบี้วิวัฒนาการ…อาศัยแค่ดมกลิ่นคงแยกแยะได้เท่านี้”

หลิงม่อกระชับมีดไว้ในมือ จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปข้างหน้า

รอยเท้าสีเลือดปรากฏบนพื้นเป็นระยะ ซึ่งนั่นทำให้หลิงม่อประหยัดแรงไม่น้อย

“รอยรองเท้า รองเท้ากีฬา…ตัดสินจากรอยพื้นรองเท้าที่ไม่เหมือนกัน ขั้นแรกเดาว่าน่าจะมีกันสี่คน แต่ก็ยังไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่อาจมีคนไม่ได้เดินผ่านชั้นสองออกไป…” ขณะเดียวกับที่กำลังวิเคราะห์ หลิงม่อมาเดินมาถึงบันไดที่ขึ้นไปชั้นสามแล้ว

เขาครุ่นคิด แต่กลับไม่เดินขึ้นทางบันได และเลือกที่จะเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยห้องหนึ่ง แล้วขึ้นไปข้างบนด้วยวิธีเดิม…

เสี้ยววินาทีที่เขาหายตัวไปที่หน้าต่าง ทันใดนั้นบนบันไดก็มีเงาร่างหนึ่งก็โฉบผ่านไป ไม่นานเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น “นึกว่ามีใครตามมาซะอีก…”

“จะเป็นไปได้ไง…” เสียงของชายคนแรกดังมาจากความมืด

“ฉันคงอ่อนไหวไปเองมั้ง แต่ก็ต้องระวังตัวไว้ก่อน” หญิงสาวพูด

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

Status: Ongoing

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง

ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด!

แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด

แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท