ความจริงสัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่มีแรงแล้ว…แต่พอถูกหลิงม่อถีบ มันก็พุ่งพรวดออกไปข้างหน้าทันที จากนั้นก็ค่อยๆ ถูกลากไปข้างหน้าระหว่างที่พยายามดิ้นขัดขืน…จะว่าไปแล้วเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ก็โชคร้ายจริงๆ ไม่เพียงโดนซ้อมจนหมดแรง แต่แค่จะร้องออกมายังทำไม่ได้เลย…น้ำลายของมันไหลเยิ้มท่วมปาก ในหัวมีแต่เรื่องอาหารเต็มไปหมด…
สิ่งที่ลากมันไปข้างหน้าก็คือโทรศัพท์เครื่องนั้นนั่นเอง แต่สวี่ซูหานไม่ค่อยเข้าใจว่าหลิงม่อทำอย่างนั้นได้อย่างไร
“ถามไปเขาก็ไม่บอกหรอก…ช่างเถอะ ยังไงนี่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ…” สวี่ซูหานคิดอย่างปลอบใจตัวเอง สำหรับเธอ พลังพิเศษของหลิงม่อนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ…มองแวบแรกอาจเหมือนเขาใช้พลังจิตกับวัตถุโดยตรง แต่พอเขาทำมือเหมือนกำลังดึงหรือกระชาก เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองคิดผิด…
“แต่เขารู้วิธีออมแรงดีจริงๆ…”
ภายใต้สถานการณ์ที่เจ้าสัตว์ประหลาดไม่อาจต้านทานได้ การควบคุมของหลิงม่อดูผ่อนคลายขึ้นมาก ท่ามกลางสายตาของทั้งสอง เจ้าสัตว์ประหลาดกับมือถือเครื่องนั้นค่อยๆ ขยับเข้าไปในความมืดทีละนิดๆ สุดท้ายก็หายไปจากครรลองสายตาของพวกเขา
“ต่อไปทำเอาไงต่อ?” สวี่ซูหานเงียบไปหลายวินาที แล้วก็อดถามขึ้นไม่ได้
“รอ” หลิงม่อตอบอย่างรวบรัดกว่าปกติ
ในทางเดินอันเงียบสงัดและมืดมิด สิ่งที่พวกเขาทำได้ ดูเหมือนจะมีแค่การรอคอยเท่านั้น…
และในหนึ่งนาทีก่อนหน้านั้น หุ่นซอมบี้ของหลิงม่อก็เพิ่งจะลอดผ่านช่องอุโมงค์นั่นมา ตอนนี้ เขากำลังยืนอยู่ตรงขอบทางเดิน
ระหว่างทางเขาไม่เจอฟิล์มเชื้อไวรัสนั้นเพิ่มอีก และไม่เจอปลาดุร้ายประเภทนั้นด้วยเหมือนกัน…ผิวน้ำทั้งผืนดำสนิทและเงียบงัน กระทั่งเสียงหยดน้ำก็ถูกทิ้งห่างไว้ข้างหลังแล้วเหมือนกัน
“แต่พอคิดถึงเหตุการณ์ทางฝั่งร่างจริงแล้ว…เกรงว่าพวกเราคงต้องจัดระเบียบความเข้าใจที่มีต่อที่นี่ใหม่แล้วสิ…” หุ่นซอมบี้ยืนอยู่ตรงปากทางเดิน สายตากวาดมองไปรอบทิศช้าๆ ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดว่า “เจ้า ‘โอเบลิสก์’ ที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ทำทุกอย่างเละเทะไปหมด แต่คิดอีกมุม นี่อาจเป็นโอกาสดีก็ได้ ส่วนทางฝั่งหุ่นซอมบี้ เราเจอสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำใต้ดินประเภทนี้…แล้วก็ฟิล์มนี่อีก…ซึ่งนี่หมายความว่า ซย่าน่าอาจคิดถูก สิ่งทีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้ดินอาจแบ่งออกเป็นสองสายพันธุ์จริงๆ ก็ได้ แต่ในอีกด้าน พวกมันกลับมีร่างแม่ตัวเดียวกัน”
เห็นชัดว่า ปัญหาทุกอย่างเชื่อมโยงกับร่างแม่ตัวนี้ทั้งหมด…และสิ่งที่มันต่างขากซอมบี้ร่างแม่ตัวอื่นๆ ก็คือ มันมีความทะเยอทะยานมาก มันไม่เพียงเลี้ยงสิ่งมีชีวิตบนดินไว้เป็นอาหารของตัวเอง แต่ยังพยายามสร้าง “โอเบลิสก์” สัตว์ประหลาดที่สามารถแปลงร่างได้ในเวลาสั้นๆ ขึ้นมาอีกด้วย เป้าหมายสูงสุดของมัน ก็คือสามารถขึ้นไปบนพื้นดิน กระทั่งเข้าไปปะปนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน…
“เดี๋ยวก่อน…ไม่น่าล่ะตอนที่ได้ยินชื่อนี้ถึงได้รู้สึกว่ามันแปลกๆ…แม่เอ็ง แค่ชื่อนี้ก็บ่งบอกเรื่องราวทั้งหมดได้ดีแล้วไม่ใช่หรือไง!” ในที่สุดหลิงม่อก็เพิ่งฉุกคิดขึ้นมาได้…ทว่าเทียบกับความทะเยอทะยานของมันแล้ว การตั้งชื่อของร่างแม่ตัวนี้กลับตรงไปตรงมาอย่างไม่คาดคิด!
นอกจากนี้ รายละเอียดอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้หลิงม่อตงิดใจก็คือ…แปลงร่าง พลังแปลงร่างที่ “โอเบลิสก์” ใช้ อาจดูไม่เหมือนพลังที่พวกถังฮ่าวมี แต่ความจริงหากคิดดูดีๆ มันกลับมีความคล้ายอยู่เล็กน้อย—ฝ่ายหนึ่งแปลงร่างสัตว์ประหลาดให้กลายเป็นคน ส่วนอีกฝ่ายแปลงร่างมนุษย์ให้กลายเป็นสัตว์ประหลาด จุดที่คล้ายกันของพวกเขา ก็คือการสลับกัน…
ไม่เพียงเท่านี้ พลังแปลงร่างทั้งสองอย่างนี้มีระยะเวลาการใช้พลัง และวิธีการเผาผลาญพลังงานเหมือนกันทุกประการ!
“อีกอย่างถังฮ่าวก็เคยพูดว่า พลังของพวกเขาต้องการบางสิ่งที่อยู่ในนี้ ถึงจะสมบูรณ์แบบ และไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียง พอคิดดูแล้ว พวกเขาอาจได้พลังไปจากที่นี่…แต่น่าเสียดายที่บุคคลสำคัญอย่างผีเสื้อที่ได้พลังไปคนแรกดันตายซะแล้ว ไม่ ไม่สิ…ผีเสื้ออาจไม่ใช่คนแรกก็ได้ คนแรกสุด น่าจะเป็นร่างแม่ตัวนั้นต่างหาก! นอกจากนี้ แหล่งข้อมูล รวมถึงต้นแบบในการแปลงร่างครั้งแรกสุดของเจ้า ‘โอเบลิสก์’ อาจเป็นคนกลุ่มนี้ก็ได้ แต่ว่า…”
แต่ข้อสันนิษฐานนี้ยังมีช่องโหว่ใหญ่อยู่อีกหนึ่งจุด หากช่องโหว่นี้ไม่ถูกอุด เขาก็ไม่อาจเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และจุดน่าสงสัยพวกนั้นก็จะยังน่าสงสัยต่อไป…ดังนั้นสิ่งที่หลิงม่อต้องทำตอนนี้ ก็คือหาวิธีอุดช่องโหว่นี้ให้ได้
อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือตามหาอวี่เหวินซวนที่หายตัวไปกลับมาให้ได้…สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งแปลงร่างเป็นอวี่เหวินซวน รวมถึงเสื้อสูทที่อยู่บนตัวของมัน…ดูจากสองจุดนี้ สถานการณ์ของอวี่เหวินซวนคงไม่ดีนัก…
“แต่ถ้าอวี่เหวินซวนตายแล้วจริงๆ ทำไมสัตว์ประหลาดตัวนั้นต้องร้อนรนขนาดนั้นด้วย? มันควรจะมีท่าทีสบายอกสบายใจต่อหน้าเหยื่อสองตัวที่โดดเดี่ยวไร้กำลังเสริมมากกว่าสิ แต่ในเมื่ออวี่เหวินซวนไม่เป็นไร แล้วตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหนล่ะ?”
จะอยู่ในความมืดนั้นหรือเปล่านะ?
คิดถึงตรงนี้ ร่างจริงของหลิงม่อก็อดสูดหายใจลึกๆ ไม่ได้
ทั้งหมด คงต้องรอดูผลลัพธ์หลังจากที่รอแล้วล่ะ…
ขณะเดียวกัน หุ่นซอมบี้ของเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เหมือนกัน
ต้องบอกว่า การที่สามารถเคลื่อนไหวไปพร้อมกันทั้งสองฝั่งนั้น เป็นเหมือนทั้งภาระ ขณะเดียวกันก็เป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อหลิงม่อเช่นกัน ถึงแม้ตำแหน่งที่อยู่ไม่เหมือนกัน เรื่องที่กำลังทำก็ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ค้นพบในตอนสุดทาย กลับสามารถนำมายืนยันซึ่งกันและกันได้ และในระหว่างที่ทำเรื่องเหล่านี้ หลิงม่อก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังใช้มือทั้งสองข้าง คลี่ม้วนภาพใต้ดินแห่งนี้ออกอย่างช้าๆ…
“ซ่า…”
นอกช่องอุโมงค์นี้ เป็นบ่อน้ำอีกบ่อหนึ่ง
และพอเทียบกับบ่อน้ำตรงหน้านี้แล้ว บ่อน้ำที่เขาเพิ่งผ่านมาเมื่อกี้ก็แทบจะกลายเป็นเหมือนอ่างล้างหน้าเล็กๆ ไปเลย …
“ใหญ่เกินไปแล้ว!”
บ่อน้ำขนาดใหญ่นี้มีพื้นที่เท่ากับสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐาน ผิวน้ำดูค่อนข้างกว้างขวางและลึก ผนังด้านในทั้งสองฝั่งมีหลุมซีเมนต์มากมาย อีกด้านของบ่อน้ำเป็นทางเดินยาวๆ ทอดมองออกไป มองเห็นแค่รั้วกั้นรางๆ…
“เอาเถอะ…น้ำขังบนถนนสายนี้คงจะมารวมกันอยู่ที่นี่หมดแล้ว…” หลิงม่ออดถอนหายใจไม่ได้
ระบบการทำงานเพียงอย่างเดียวที่ดูเหมือนจะไม่หยุดชะงักหลังจากเกิดภัยพิบัติ เกรงว่าคงจะมีแต่ท่อระบายน้ำใต้ดินพวกนี้แล้วล่ะ…แต่มันกลับไม่ใช่เรื่องดีเลยซักนิด! มนุษย์ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากระบบนี้ได้ กลับกัน มันกลับให้เวลาสัตว์ประหลาดพวกนี้ได้เจริญเติบโตนานถึงหนึ่งปี…เทียบกับโลกภายนอกแล้ว ที่นี่เป็นเหมือนชีวิมณฑลที่เป็นอิสระ พวกมันอาศัยการเลี้ยงอาหารเพื่อพัฒนาการและอยู่รอด และจนถึงตอนนี้จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดที่ปรากฏบนตัวพวกมัน ก็คงจะมีแค่พัฒนาการด้านสติปัญญา… (ชีวมณฑล บริเวณของผิวโลก รวมทั้งในบรรยากาศและใต้ดินที่มีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นทั้งที่มีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว ได้แก่ พืช สัตว์ มนุษย์ โดยพื้นที่หรือถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่มีความสัมพันธ์กันและมีการปรับปรุงตัวของสิ่งมีชีวิตให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมของท้องถิ่นนั้นๆ)
“แต่พอมีเจ้า ‘โอเบลิสก์’ เข้ามา จุดอ่อนนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นจุดอ่อนอีกต่อไปแล้ว…ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะแอบฝึกไส้ศึกอย่างนี้ขึ้นมาได้! นี่มันที่ไหนกันเนี่ย? ฉากละครใต้ดินหรืออะไร!” หลิงม่อลอบบ่นในใจ จากนั้นก็เริ่มมองไปรอบๆ เพื่อหาจุดที่เหมาะแก่การก้าวเท้าออกไป
ถึงแม้มองอะไรไม่เห็นจากผิวน้ำ แต่ดูจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ ถ้าหากที่นี่มีสัตว์ประหลาดฝูงใหญ่อยู่จริงๆ งั้นมันก็น่าจะอยู่แถวๆ บ่อน้ำขนาดใหญ่แห่งนี้แน่นอน…และจากมุมของหลิงม่อ จุดที่ควรระวังมากที่สุด ก็คือก้นบ่อน้ำ…
เขาปรับลมหายใจอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็พยายามไม่ส่งเสียงดัง…ในความจริงแล้ว พื้นที่ของหลุมที่เขายืนอยู่ได้จมลงใต้น้ำกว่าครึ่งส่วนแล้ว ดังนั้นเมื่อเขามองตรงไปข้างหน้า สิ่งที่เห็นก็มีเพียงผิวน้ำที่แน่นิ่งไม่ไหวติง…มันไม่ใช่ความกดดันธรรมดาๆ ที่ใครจะคาดคิดถึงจริงๆ และสิ่งที่เขาต้องทำไม่ใช่แค่ต้องตรวจสอบ แต่ยังมีอย่างอื่นด้วย…นั่นแสดงว่าเขาต้องรักษาชีวิตน้อยๆ ของเจ้าหุ่นซอมบี้ตัวนี้เอาไว้อย่างดีถึงจะได้ ถ้าไม่อย่างนั้น พวกซย่าน่าก็คงต้องรอฟรี
“ถ้าหากว่ายไปยังไงก็ต้องมีเสียง อีกอย่างที่นี่ไม่เหมือนบ่อน้ำข้างนอกนั่น ถ้าหากลูกอะไรบางอย่างลากลงไปในน้ำ คงไม่มีโอกาสขึ้นมาอีกแล้ว…ดังนั้น…” หลิงม่อใช้มือเกาะขอบปากหลุม แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวไปเบาๆ
เขาตัดสินใจปีนไปตามแนวผนัง ถ้าทำอย่างนี้ อย่างน้อยเขาก็มีที่ให้เกาะ และไม่ถูกศัตรูโจมตีทั้งหน้าและหลังพร้อมกัน…แต่เมื่อเขาสอดเล็บเข้าไปในรอยแยกบนผนัง และค่อยๆ มุดเข้าไปในน้ำ เขากลับไม่ทันสังเกตเห็นว่า…
บนผิวน้ำที่อยู่ห่างจากเขาออกไปมากนั้น อยู่ๆ ก็มีฟองอากาศผุดขึ้นมา และมันก็กำลังค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้หลิงม่อช้าๆ…
“ฮู่ว…”
ก่อนที่จะดำลงไปใต้น้ำทั้งตัว หลิงม่อสูดหายใจเข้าลึกๆ
“จ๋อม…”
เมื่อระลอกคลื่นขยายออกเป็นวงกว้าง ศีรษะของหุ่นซอมบี้ก็จมหายไปใต้น้ำ ขณะเดียวกัน ฟองอากาศที่อยู่ไกลๆ กลุ่มนั้น ก็หายไปด้วย…
————————————