แต่เจ้าสัตว์ประหลาดก็ยังหยิ่งผยอง มันถุยโคลนออกจากปาก แล้วตะโกน “กะอีแค่…”
“ผู้ประกาศข่าวสวี่…ตาเธอลุยแล้ว”
และเรื่องที่เกิดหลังจากนี้ก็ได้ยืนยัน ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ร้ายกาจกว่า “แกสตอง” ที่มันพูดถึงจริงๆ…ถ้าเปรียบเทียบเรื่องอึดถึกอย่างเดียว…
พลังควบคุมของหลิงม่อบวกกับการโจมตีของสวี่ซูหาน ไม่นานเจ้าสัตว์ประหลาดก็ถูกกำราบอยู่หมัด มันพยายามยื่นมือออกมาคว้าตัวสวี่ซูหาน หรือไม่ก็พยายามหนีจากพันธนาการของหลิงม่อ แต่กลับไม่เกิดผลใดๆ ทั้งสิ้น…ยังไม่ต้องพูดถึงหลิงม่อ แค่ความเร็วอันน่าตกใจของสวี่ซูหาน ก็ไม่ใช่ระดับที่แขนยาวๆ ของมันจะตามทันแล้ว นอกจากนี้ ร่างกายสูงใหญ่ดูน่าเกรงขามของมันกลับกลายเป็นภาระของมันอย่างหนึ่ง ในทางเดินแคบๆ อย่างนี้ มันเหมือนเป้าหมายที่ติดแหง็กขยับไปไหนไม่ได้ ได้แต่ทนรับการโจมตีจากทุกทิศเท่านั้น
“ไม่มีประโยชน์! พวกแกไม่มีปัญญาฆ่าฉันได้หรอก หรือถึงพวกแกจะทำได้ แต่แกจะกล้าฆ่าฉันจริงๆ งั้นหรอ? แน่นอนว่าฉันไม่กลัวตายอยู่แล้ว แต่แกไม่อยากรู้หรอว่ามนุษย์คนนั้นอยู่ที่ไหน? หรือว่าแกไม่คิดจะตามหาเขาอยู่แล้ว? พอมาถึงที่นี่ ก็เกิดกลัวขึ้นมาแล้วงั้นสิ? แล้วก็ไอ้เรื่องที่แกพูดน่ะ…คิกคิกคิก ไม่ว่าจะมีเหตุผลแค่ไหน ขอแค่ฉันไม่เปิดปากพูด แล้วแกจะรู้ได้ยังไง? แม้แต่ตัวแกเองก็ยังไม่แน่ใจว่าใช่ความจริงหรือเปล่าไม่ใช่หรือไง?” เจ้าสัตว์ประหลาดพูดเสียงขาดๆ หายๆ แต่เพราะอย่างนั้น มันจึงกลืนโคลนลงท้องไปไม่น้อย…
“หยุดแหกปากได้แล้ว…” หลิงม่อยืนอย่างสงบนิ่งอยู่ไกลออกไปหลายเมตร พลางสะบัดมือไปมาเป็นพักๆ และทุกครั้งที่เขาสะบัดมือ ก็จะมีเสียง “กร๊อบแกร๊บ” ดังออกมาจากร่างกายของเจ้าสัตว์ประหลาด
“ฉันรู้ตั้งแต่ที่ยืนมองแกแปลงร่างแล้ว แกมีพลังฟื้นตัวที่ยอดเยี่ยมมาก ถึงแม้กระดูกหัก แกก็จะหายดีอย่างรวดเร็ว นี่คือพื้นฐานพลังแปลงร่างของแกใช่ไหมล่ะ? แต่ก็เพราะพลังนี้แหละ ที่ทำให้ร่างกายของแกเปราะและดัดได้ง่าย หรือพูดอีกอย่างก็คือ…กระดูกหักง่ายมาก อีกอย่าง นี่ไม่ใช่แค่สิ่งที่ฉันเดาเองด้วย”
“กร๊อบแกร๊บ!”
เสียงพูดที่ไม่หนักหรืออ่อนเกินไปของหลิงม่อเหมือนเสียงแห่งความทรมานสำหรับหลิงม่อ มันหมายจะอ้าปากพูดหลายครั้ง แต่ก็ถูกหลิงม่อ “กด” ลงไปทุกครั้ง สุดท้ายไม่เพียงเถียงไม่ชนะ แต่กลับต้องกลืนโคลนลงท้องไปอีกหนึ่งคำแทน
“ส่วนเรื่องที่แกบอกว่าจะแปลงร่างเป็นฉัน…ความจริงแกไม่มีปัญญาจัดการฉันได้หรอกใช่ไหม? ไม่ว่าแกสตอง หรือแก เป็นแค่เหยื่อล่อที่ถูกส่งมาเท่านั้น แกสตองตายแล้ว แกก็เลยต้องออกมา…จากข้อสันนิษฐานนี้ แสดงให้เห็นว่าอวี่เหวินซวนเคยรอดจากแกสตองไปได้เหมือนกัน แล้วค่อยมาเจอกับแก…แต่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน แกกลับไม่มีปัญญาแปลงร่างเป็นฉันหรือหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ ฉันได้…ถ้าไม่อย่างนั้นแกคงแปลงร่างเป็นเธอในเวอร์ชั่นไม่ใส่เสื้อผ้า แล้วฉวยโอกาสตอนเธอกรีดร้องวิ่งหนีไปแล้ว…” หลิงม่อพูดต่อ
“เดี๋ยวๆ ทำไมต้องแปลงร่างเป็นฉันด้วย!” สวี่ซูหานแทรกขึ้นมา
“อ้าว เธออยากให้แปลงเป็นฉันหรอ? งั้นก็ได้ ฉันเปลี่ยนให้ก็ได้…จากนั้นมันก็จะแปลงร่างเป็นฉันที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนเธอกรีดร้อง…”
“ไม่ว่าจะแบบไหนฉันก็เป็นคนกรีดร้องอยู่ดีนี่! อีกอย่างฉันไม่ได้อยากซักหน่อย! ฉันไม่ได้อยากเห็น…” เสียงพูดของสวี่ซูหานเบาลงเรื่อยๆ สุดท้ายได้แต่หันไประบายความโกรธด้วยการอัดเจ้าสัตว์ประหลาดต่อ
“แต่แกกลับไม่ได้ทำอย่างนั้น บวกกับที่แกสวมเสื้อนอกตัวนั้นไว้ด้วย มันก็เลยไม่ใช่เรื่องที่เดายากนัก แกไม่เพียงต้องสัมผัสตัวเป้าหมาย แต่ยังต้องสัมผัสตัวเป้าหมายจนถึงขั้นที่สามารถถอดเสื้อผ้าออกจากตัวอีกฝ่ายได้ ถึงจะสามารถทำความเข้าใจโครงสร้างร่างกายของอีกฝ่าย แล้วจึงค่อยแปลงร่าง…” หลิงม่อพูดต่อ
“ฟังดูเหมือนจะถูก แต่ทำไมฉันรู้สึกแปลกๆ ล่ะ? ฉันคิดมากไปล่ะมั้ง? ฉันคงคิดมากไปเองแน่ๆ…” สวี่ซูหานก้มหน้าก้มตาอัดเจ้าสัตว์ประหลาด พลางคิดในใจ
คราวนี้ในที่สุดเจ้าสัตว์ประหลาดก็หาโอกาสอ้าปากพูดได้ซักที มันพยายามยืดคอสุดชีวิต แล้วหัวเราะบอกว่า “ในเมื่อรู้แล้วแกยัง…พรวด!”
หลังจากที่มันถูกกดหัวลงไปในโคลนอีกครั้ง หลิงม่อบอกว่า “เพราะว่านี่เป็นหนึ่งในวิธีล่อเหยื่อของแกไงล่ะ ไอ้กากที่ทำได้แค่แปลงร่างอย่างแกกลับสามารถรับช่วงต่อจากแกสตองได้ แสดงว่าจะต้องมีท่าไม้ตายอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ หลอกใช้ความเป็นห่วงที่พวกฉันมีต่อพรรคพวก จากนั้นก็ฉวยโอกาสพาพวกฉันไปติดกับดักอีก…เป็นแผนลับที่ไม่เลวจริงๆ ดังนั้นถ้าหากเชื่อแก พวกฉันก็แพ้อย่างไม่ต้องสงสัย”
“หา?” สวี่ซูหานอดพูดขึ้นอีกครั้งไม่ได้ “ซอมบี้โกหกไม่เป็นนะ…”
“ข้อแรก มันไม่ใช่ซอมบี้จริงๆ ข้อสอง ถ้าหากมันไม่โกหก แล้วมันจะแปลงร่างไปเพื่ออะไร? หากมัวแต่ยึดหลักความคิดตายตัว ก็จะถูกสัตว์ประหลาดพวกนี้หลอกได้ง่ายๆ ถ้าไม่ใช่ว่าพวกมันมีพิรุธชัดเจน ฉันเองก็ไม่คาดคิดว่าหลังจากเจ้าแกสตองนั่น แล้วจะยังมีเหยื่อล่อตัวต่อไปโผล่ออกมาอีก ตรงกันข้าม อวี่เหวินซวนกลับสลัดเจ้าแกสตองหลุดได้อย่างรวดเร็วเพราะไม่รู้อะไรเลย” หลิงม่อยกนิ้วขึ้นมาสองนิ้วประกอบคำอธิบาย
สวี่ซูหานชะงัก จากนั้นก็พูดพร้อมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ถือว่าฉันไม่เคยพูดแล้วกัน…แต่ว่า…” เธอสงสัยต่อวิธีการของหลิงม่อ ในเมื่อจะเชื่อก็ไม่ได้ ตีก็ไม่ได้ แล้วตกลงว่าพวกเขาจะทำยังไงได้อีก? ที่เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้หยิ่งผยองไม่กลัวสิ่งใด ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล…
“วางใจเถอะ เฟิ่งจื่อไม่ตายง่ายๆ หรอก ถ้าใครกินเขาก็จะติดเชื้อบ้าไปด้วย…” หลิงม่อพูดอย่างมั่นใจ
“นี่! ถึงน้ำเสียงเหมือนเชื่อใจเขามาก แต่คำพูดกลับโจมตีคนอื่นอย่างหน้าตาเฉยเลยนะ! หรือนายคิดว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้จะเชื่องั้นหรอ? นายกำลังวางแผนจะหลอกให้ศัตรูกลัวแล้วคายเขาออกมาหรือยังไง!” สวี่ซูหานตะโกนก้องในใจ
“อัดแกไปก็ไม่มีประโยชน์จริงๆ นั่นแหละ แต่หลังจากที่อัดแกจนหมดแรง แล้วค่อยคุยกันจะสะดวกกว่านี่” หลิงม่อมองดูเจ้าสัตว์ประหลาดที่กำลังดิ้นขัดขืน พลางบอก
แต่ขณะที่เขาเงยหน้ามองไปยังทางเดินข้างหน้า รอยยิ้มที่มุมปากเขากลับค่อยๆ ค้างเติ่ง…ตรงนั้น มีอะไรอยู่กันแน่? ในอีกหนึ่งร้อยเมตรข้างหน้านั่น มีอะไรรอพวกเขาอยู่กันแน่? อีกฝ่ายจะได้ยินเสียงพวกเขาตอนนี้ไหม? หรือว่า…บางทีอาจมีดวงตาคูหนึ่งกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ในความมืดอยู่แล้วก็ได้
ถึงแม้เขาจะพูดออกไปอย่างมั่นใจ…แต่ความจริงแล้วการปรากฏตัวของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ กลับทำให้เขาเริ่มสงสัยข้อมูลที่รู้มา สัตว์ประหลาดที่มีสติปัญญาสูงที่สุดในนี้ไม่ใช่เจ้าตัวที่ชื่อว่าแกสตองแต่อย่างใด แต่เป็นเจ้า “โอเบลิสก์” ตัวที่อยู่ข้างหน้านี้ต่างหาก แต่ที่สำคัญกว่าคือ คนที่ตั้งชื่อให้พวกมันล่ะ? ใช่ร่างแม่ที่อยู่ในนี้หรือเปล่า?
ในอีกด้าน เจ้า “โอเบลิสก์” ได้เผลอแสดงเรื่องสำคัญบางอย่างออกมาโดยไม่รู้ตัว…ถ้าหากเขาเดาไม่ผิด บางทีเรื่องนี้อาจซับซ้อนกว่าที่เห็นภายนอกอีกมาก…การมีอยู่ของผู้รอดชีวิตกลุ่มนั้น คำบอกเล่าของถังฮ่าว รวมถึงทางเข้านั่น…เรื่องทั้งหมดนี้ บางทีอาจเกี่ยวโยงกับคำพูดประโยคนั้นของมัน
แต่อาศัยแค่คำพูดนั้นประโยคนั้น ถึงแม้หลิงม่อจะมีข้อสันนิษฐานมากมาย แต่กลับไม่มีข้อสันนิษฐานใดได้รับการพิสูจน์เลยซักข้อ นั่นทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยสุดๆ…เขาอยู่ในรังของอีกฝ่าย แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองมีข้อมูลอยู่ในมือมากน้อยเท่าไหน่ แต่ยังมีอะไรอีกที่ตัวเองไม่รู้ และเขาก็รู้สึกรางๆ ว่าตั้งแต่ที่พวกเขามาถึงที่นี่ พวกเขาก็ถูกจับตามองเข้าให้แล้ว…ไม่ใช่จากพวกของถังฮ่าว แต่เป็นอย่างอื่น…
อีกฝ่าย…คิดจะทำอะไรกันแน่?
หนึ่งนาทีต่อมา เจ้าสัตว์ประหลาดนอนแบ็บกับพื้นไม่ไหวติง
กระดูกที่หักและเชื่อมต่อเองซ้ำๆ กันหลายครั้งทำให้มันสูญเสียพลังงานไปมหาศาล สภาพมันในตอนนี้อย่าว่าแต่หนีเลย แค่จะยืนยังยาก ในช่วงสุดท้ายมันได้พยายามใหม่อีกครั้ง…พอมันเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง หน้าของมันก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนหน้าอวี่เหวินซวน และร้องอ้อนวอน “อย่าทำอย่างนี้…”
“เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ…”
หลิงม่อไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาตบหน้ามันขณะที่ยืนอยู่ที่เดิมติดๆ กันหลายฉาด…หรือพูดอีกอย่างก็คือมีหนวดสัมผัสถูกสะบัดใส่หน้าของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้สิบกว่าเส้น …
“ทำมะ…แกไม่…ชะงักเลย…” เจ้าสัตว์ประหลาดลั่นร้องอย่างเจ็บใจ มองจากมุมของมัน มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนไม่ใช่หรอ? ประมาณว่า ถึงรู้แก่ใจว่าไม่ใช่พรรคพวกตัวเอง แต่พอเห็นใบหน้าที่เหมือนกันก็จะทำใจลงมือไม่ได้อะไรทำนองนั้น! แต่ทำไมหมอนี่ถึงลงมือแรงกว่าเดิมอีกล่ะ!
“ฮู่ว…”
หลิงม่อบิดข้อมือไปมา แล้วพูดเสียงเรียบ “ฉันอยากทำอย่างนี้มานานแล้ว…”
“ไอ้มนุษย์! แกคอยดูเถอะ อย่าหลงคิดว่าตัวเองจะปลอดภัยไร้กังวลไปหน่อยเลย อีกไม่นานหรอก…” เจ้าสัตว์ประหลาดเพิ่งจะคำรามไปได้ครึ่งเดียว ก็ต้องรีบหุบปากทันที
แต่น่าเสียดายที่มันช้าไปเสียแล้ว…หลิงม่อตาเป็นประกาย บอกว่า “เป็นอย่างที่คิดจริงๆ…”
เขาค่อยๆ เดินไปหยุดตรงหน้าเจ้าสัตว์ประหลาด จากนั้นก็ส่งยิ้มให้มัน ถามว่า “แกยังมีพรรคพวกอยู่อีก ใช่ไหม?”
——————————————-