ถึงแม้จะเตรียมใจมาก่อน แต่สวี่ซูหานก็ยังตกใจจนเกือบหลุดร้องออกมา เธอเพิ่งจะมาเข้าใจความหมายจริงๆ ของสัญญาณมือจากหลิงม่อเอาตอนนี้ อย่างแรกคือเพื่อเตือนเธอ อย่างที่สองเพราะเขามองทะลุจุดอ่อนของเธอ…
ทว่าตอนนี้ไม่มีเวลาให้คิดมากแล้ว ในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งวินาที หลิงม่อได้พาเธอพุ่งตัวเข้าไปในไอหมอกสีดำที่หนาแน่นยิ่งกว่าเดิม เมื่อเสียง “พรวด” ดังมา สวี่ซูหานสัมผัสได้ว่าใต้เท้าเธอมีบางสิ่งเพิ่มขึ้นมา หลิงม่อดึงเธอให้ไปอยู่อีกด้านทันที ทั้งสองจ้องมองไปบนพื้นพร้อมกัน
แต่หลิงม่อเพียงแค่ “มอง” ไปที่ทิศทางนั้น ไม่เหมือนสวี่ซูหานที่เห็นสิ่งนั้นจริงๆ
หัวที่เต็มไปด้วยคราบโคลน กับร่างที่อาบไปด้วยเลือด…
ขณะเดียวกัน หลิงม่อยกมือปิดจมูก แล้วส่งสายตามาทางสวี่ซูหาน
สวี่ซูหานยังไม่หายตื่นตระหนก แต่เธอก็กลั้นหายใจตามหลิงม่อทันที ทั้งสองนั่งยองๆ ลงกับที่ พลางเอนหลังให้แนบติดกับผนัง
กระทั่งถึงตอนที่สวี่ซูหานเพิ่งจะรู้ตัว หลิงม่อเพิ่งแย่งศพมา…และคงไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาแย่งมาจากมือตัวอะไร
เห็นชัดว่า หลิงม่อกังวลว่าหากบุ่มบ่ามลงมืออาจทำให้เกิดเหตุพลิกผัน ดังนั้นจึงได้พุ่งเป้าไปที่ศพแทน แต่ไม่ว่าหลิงม่อจะใช้วิธีไหน อย่างไรสุดท้ายเขาก็ต้องใช้พลังงานทางจิตอยู่ดี การอาศัยพลังจิตห่อหุ้มศพศพหนึ่งไว้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องยากขนาดไหน…แยกแยะทิศทางจากเสียง จากนั้นก็ค่อยๆ คลำหางั้นหรอ?
สวี่ซูหานไม่รู้ว่าหนวดสัมผัสทางจิตของหลิงม่อแบ่งเป็นไร้รูปกับรูปสสารสองประเภท ดังนั้นเพียงแค่คิดถึงอันตรายเหล่านั้น เธอก็รู้สึกขนลุกด้วยความกลัวแล้ว
ส่วนหลิงม่อนั้น “กำลังจ้อง” ไปยังทิศทางของศพนั้น เหมือนเขากำลังรอยางสิ่งเงียบๆ
“เขาจะล่อสัตว์ประหลาดนั่นออกมา!” สวี่ซูหานใจเต้นเร็วอย่างบ้าคลั่ง
น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาตั้งคำถาม และจากการเคลื่อนไหวรัวเร็วเป็นชุดของหลิงม่อสามารถดูอออกว่า สัตว์ประหลาดตัวนั้นกำลังไล่ตามศพศพนั้นมาอย่างรวดเร็ว พวกเขามีเวลาไม่กี่วินาที กระทั่งอาจมีเวลาน้อยกว่านั้น…
“ใจกล้าบ้าบิ่นเกินไปแล้วมั้ง…” สวี่ซูหานเบิกตากว้าง หัวใจกลับเต้นระรัว
หลิงม่อสามารถสัมผัสรู้ถึงอีกฝ่ายผ่านพลังจิตเท่านั้น แต่คนที่มองเห็นสัตว์ประหลาดตัวเป็นๆ กลับมีแต่เธอ…
ในตอนนั้น เธอรู้สึกว่าหลิงม่อกำมือเธอแน่นกว่าเดิม
มาแล้ว!
“สวบ…”
เสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ ราวกับดังอยู่ข้างหูของพวกเขา
ถ้าหากไม่ใช่ว่าหลิงม่อส่งสัญญาณเตือนก่อน สวี่ซูหานคิดว่าตัวเองคงตกใจจนร้องเสียงหลงไปแล้วจริงๆ
ความขี้กลัวของเธอ เพิ่มเลเวลแล้วซะด้วย…
ในขณะที่เสียงนั้นดังขึ้นไม่ถึงหนึ่งวินาที สวี่ซูหานรู้สึกเหมือนไอหมอกสีดำข้างหน้าราวกับป่วนพล่านขึ้นมา ไม่นาน เงาดำเส้นหนึ่งพลันปรากฏตรงหน้าเธอ…
“สวบ!”
เสียงดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากเสียงนั้นแว่วผ่าน ศพและหัวกะโหลกนั่นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่สวี่ซูหานสังเกตเห็นว่าศพนั้นดูหนักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลิงม่อรีบดึงเธอลุกขึ้นยืน ถึงแม้ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเหลิงม่อ แต่เธอกลับรู้สึกได้ถึงแรงดึงที่มาจากหลิงม่อ ก่อนหน้านี้เป็นเธอที่จับมือหลิงม่อวิ่ง ตอนนี้กลับเป็นเขาที่วิ่งนำเธอ
อีกอย่างไอหมอกดำหนาแน่นขนาดนี้ แต่ฝีเท้าเขากลับไม่ชักช้าเลยแม้แต่น้อย กระทั่งไม่หยุดเแยกแยะทิศเลยแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ
“ไม่ใช่แค่แย่งศพ…” สวี่ซูหานครุ่นคิด แล้วเธอก็กระจ่างขึ้นมาทันที
ความจริงแล้วหลิงม่อกำลังทดสอบ ขั้นตอนที่เขาแย่งศพนั้นรวดเร็วมาก พลังงานที่ใช้ได้ก็เกรงว่าจะน้อยมากเช่นกัน แน่นอนว่านี่อาจเป็นเพราะการก่อกวนจากไอหมอกดำเหล่านั้น…แต่หลังจากที่ศพถูกลากมา เขาก็ได้ใช้พลังจิตจำนวนมากห่อหุ้มศพนั้นไว้ จากนั้นก็รอให้สัตว์ประหลาดตัวนั้นมาตามเอาศพกลับคืนไป
จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา คือให้สัตว์ประหลาดตัวนั้นออกมานำทางพวกเขา ด้วยการลากพวกเขากลับไปพร้อมกับศพ…
ที่เขาแย่งศพเมื่อกี้ ด้านหนึ่งเพื่อยืนยันปฏิกิริยาตอบสนองของสัตว์ประหลาด ในอีกด้านเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้ตั้งเป้าหมายพลาด
บ้าคลั่งเกินไปแล้ว!
สมองของคนคนนี้ต้องโตมาแบบไหน ถึงได้ตัดสินใจเรื่องน่ากลัวขนาดนี้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีได้!
ทว่าพอคิดอย่างนี้ สวี่ซูหานกลับรู้สึกว่าข้อสันนิษฐานของหลิงม่อมีเหตุผลมาก…อวี่เหวินซวนก็บ้าพอตัว หากเขายังไม่ตาย ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจทำเรื่องที่น่ากลัวกว่าหลิงม่อ…
ต้องบอกก่อนว่าในตอนแรก เธอยังไม่เชื่อว่าอวี่เหวินซวนจะวิ่งเข้ามาในสถานที่อย่างนี้จริงๆ…
ทั้งสองเบียดตัวกันชิดกันท่ามกลางไอหมอกสีดำ พลางเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมสัตว์ประหลาดตัวนั้นอย่างต่อเนื่อง
สวี่ซูหานพยายามสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน พลางนึกย้อนถึงเงาที่เห็นเมื่อกี้
ความจริงแล้ว เธอมองเห็นแค่เค้าโครงรางๆ…แต่เสี้ยววินาทีสั้นๆ เพียงแวบเดียวนั่น กลับติดตาเธอมาจนถึงตอนนี้ เธออยากบอกอะไรบางอย่างกับหลิงม่อมาก แต่พอคิดได้ว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นกำลังนำทางพวกเขาอยู่ข้างหน้านี้ เธอจึงหุบปากลงด้วยความหวาดกลัว
สัตว์ประหลาดวิ่งเร็วมาก แต่หลังจากที่ถูกน้ำหนักตัวของทั้งสองถ่วงจนเหนื่อย มันจึงถูกบังคับให้ลดความเร็วลงอย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งนี่เป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานของหลิงม่อที่ว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่มีสติปัญญา มันเคลื่อนไหวโดยอาศัยสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว ศพถูกแย่งไป หลังตามกลับมาน้ำหนักของศพกลับเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ แต่มันกลับไม่ฉุกคิดอะไรเลย สิ่งเดียวที่สามารถดึงดูดความสนใจของมันได้ มีเพียงลมหายใจของสิ่งมีชีวิตอื่นเท่านั้น
ตอนนี้สวี่ซูหานเดาได้รางๆ แล้วว่าทำไมหลิงม่อดึงดันจะตามมาด้วยวิธีนี้ให้ได้…ทันทีที่เขากลั้นหายใจไม่ไหว อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากศพเพื่อถ่วงเวลาไว้เล็กน้อย ดูจากจุดนี้ แม้การตัดสินใจของหลิงม่อจะบ้าคลั่ง แต่ก็ถือว่ารอบคอบมาก
เธออดนึกถึงสาเหตุที่ทำให้หลิงม่อมีนิสยอย่างนี้ขึ้นมาไม่ได้…ไม่ว่าใครที่ต้องพาซอมบี้หลายตัวมาอยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างเขา เกรงว่าคงกลายเป็นคนละเอียดรอบคอบกันทุกคน แต่เพราะพฤติกรรมนี้เต็มไปด้วยความเสี่ยง ดังนั้นเดาว่าในกระดูกของมนุษย์ผู้นี้คงมีนิสัยชอบการเสี่ยงอยู่ไม่น้อย…
“ทำไมฉันต้องเอาแต่คิดเรื่องเขาอยู่เรื่อยเลย…” สวี่ซูหานหงุดหงิด
อาจเป็นเพราะทั้งสองมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองล่ะมั้ง…และอาจเป็นเพราะตัวเธอเองก็เป็นหนึ่งในซอมบี้พวกนั้นเหมือนกัน แต่เธอต่างจากพวกเย่เลี่ยน เพราะเธอไม่มี “พวกเดียวกัน” และกลุ่มคนที่เธอคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน กลับมีแค่หลิงม่อคนเดียวที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอ…บางที่มู่เฉินเองก็อาจรู้ดี แต่ไม่ว่าจะเป็นเธอหรือมู่เฉินก็ตาม พวกเขาต่างเลือกที่จะรักษาระยะห่างในสถานการณ์นี้อย่างพร้อมใจกัน
และนี่ก็คือความแตกต่างของซอมบี้กับมนุษย์
แต่ในใจหลิงม่อ กลับเหมือนไม่มีเส้นแบ่งนี้อยู่เลย
“บางทีอาจมีก็ได้มั้ง…เพราะยังไง ซอมบี้ธรรมดาก็เป็นแค่เครื่องจักรสังหารเท่านั้น” สวี่ซูหานคิด
เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกหรือไม่ แต่คิดไปคิดมา การตัดสินใจบางอย่างของเธอก็เริ่มแน่วแน่ขึ้นช้าๆ…
หลิงม่อย่อมไม่รู้ว่าซอมบี้สาวข้างกายเขาขณะนี้กำลังครุ่นคิดอะไรอยู่บ้าง เพราะเขาก็กำลังใช้สมองเป็นพัลวันอยู่เหมือนกัน…
สัตว์ประหลาดตัวนั้นลากพวกเขาเข้าไปในส่วนลึกของความมืดอย่างรวดเร็ว เป็นเวลาเดียวกับที่หุ่นซอมบี้ของเขาเริ่มเข้าใกล้ก้นบ่ออย่างช้าๆ
ระหว่างที่กำลังไต่ลงไป หลิงม่อรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งจ้องแผ่นหลังเขาอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอดเขากลับไม่พบอะไร
อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาวางท่าหวาดระแวงจนเกินไป ดังนั้นถึงความรู้สึกเหมือนถูกจ้องยังคงอยู่ แต่กลับไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้เขาส่งเดชอีกครั้ง
นั่นทำให้หลิงม่อลอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ไม่ว่าอะไรที่จับตามองเขาอยู่ เอาเป็นว่าเรื่องสำคัญที่สุดคือต้องสำรวจสถานการณ์ก้นบ่อให้เร็วที่สุด
………….
ขณะเดียวกัน บนพื้นดิน
ณ มุมถนน ชายสวมชุดกันลมสีเทาเขียวคนหนึ่งกำลังมองซ้ายมองขวา
หลังจากที่เขาสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง เขาได้วิ่งแทรกตัวเข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
แต่หลังจากที่เงาร่างนั้นหายตัวเข้าไปได้ไม่นาน เงาร่างอีกเงาก็ได้ปรากฏขึ้น
เงาร่างนั้นห้อยตัวลงกลางอากาศจากข้างบน เธอจับจ้องไปยังจุดที่ชายคนนั้นแทรกตัวเข้าไปด้วยดวงตาสีแดงก่ำ จากนั้นก็ค่อยๆ ทิ้งตัวลงพื้น
“จะตามไปไหม…” อวี๋ซือหรานพึมพำ
ทว่าในตอนนี้เอง กลับมีใครคนหนึ่งแทรกตัวออกมาจากร้านค้าร้านเดิมนั้น
คนคนนั้นส่องซ้ายส่องขวาทันทีที่ออกมาเช่นกัน ทว่าในเสี้ยววินาทีที่เขาออกมา อวี๋ซูหรานได้โฉบตัวหลบไปอยู่อีกด้าน และแอบมองเขาผ่านช่องเล็กๆ แทน
เห็นชัดว่า อีกฝ่ายยังไม่เห็นอวี๋ซือหราน
หลังจากที่สังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง อยู่ๆ เขาพลันหันหน้ามองไปยังตึกสูงหลังหนึ่ง
“แปลกจัง…”
ขณะที่อวี๋ซือหรานกำลังพึมพำ เธอก็เห็นพฤติกรรมนั้นของอีกฝ่ายเข้า เธอจึงมองตามสายตาเขาไป แล้วก็ต้องชะงักงัน
“ทางนั้นเหมือนจะเป็น…”
แต่พอเธอหันกลับไปมองที่ประตูร้านค้าอีกครั้ง คนคนนั้นกลับหายตัวไปแล้ว!
—————————————–