หรือพูดอีกอย่างก็คือ แกสตองที่ถูกอวี่เหวินซวน “สลัดทิ้ง” เป็นคนส่งตัวเขาให้กับเจ้า “โอเบลิสก์” ส่วนตัวมันหันมารับมือหลิงม่อกับสวี่ซูหานแทน…
หลิงม่อไม่เคยคิดเลยว่าในนี้จะมีบุคคลที่สามอยู่ด้วย ซึ่งนั่นทำให้พวกเขามองเรื่องราวซับซ้อนเกินไป…
“เดี๋ยวก่อน…มีบางอย่างไม่ถูกต้อง…” หลิงม่อคิด แล้วอยู่ๆ ก็ชะงักไป เขานกมือนิ้วหว่างคิ้วแล้วครุ่นคิด พลันหันหน้ามาถาม “อวี่เหวินซวน นายบอกว่าตอนที่นายเห็นสัตว์ประหลาดฉีกหน้าตัวนั้น มันเป็นเงาคน?”
“เอ่อ…ใช่…” อวี่เหวินซวนพยักหน้างงๆ
“มีรูปร่างยังไง?” หลิงม่อถามต่อ
“จะยังไงได้อีกล่ะ…ก็เหมือนกับคนคนหนึ่งน่ะสิ…” อวี่เหวินซวนขมวดคิ้วบอก “ประเด็นคือตอนนั้นฉันมองเห็นไม่ค่อยชัด เพราะว่ากลัวพวกนั้นเห็นแสงไฟ ก็เลยต้องพยายามซ่อนตัวอย่างมิดชิดน่ะสิ…ตอนที่มองเห็นชัดเจนที่สุด ก็น่าจะเป็นตอนที่เห็นเงาหลังของมันล่ะมั้ง…” เขาครุ่นคิดสีหน้าจริงจัง แล้วจึงพูดอย่างมั่นใจว่า “ฉันจำได้ว่า ตอนนั้นมันใส่เสื้อผ้า แถมยังเป็นเสื้อคลุมที่ค่อนข้างยาวด้วย…”
“เสื้อคลุม?” หลิงม่อขมวดคิ้ว แล้วถามต่อ “สีอะไร?”
“เรื่องนั้น…ฉันไม่ค่อยแน่ใจ…แต่ไม่ใช่สีสว่างแล้วกัน เพราะว่าสีมันหม่นๆ มองเห็นไม่ชัดเจน” อวี่เหวินซวนพูดคลุมเครือ เขาพยายามคิดอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ภายใต้สถานการณ์อย่างนั้น ไม่มีใครมัวมาสนใจกว่าอีกฝ่ายใส่เสื้อผ้าสีอะไรหรอก…
เห็นหลิงม่อยืนนิ่งกับที่ไม่พูดอะไร สวี่ซูหานอดยื่นมือไปดึงเสื้อเขาหนึ่งทีไม่ได้ “นายเป็นอะไรไป?”
“เปล่า…” หลิงม่อรับเสียงเบา แต่กลับไม่พูดอะไร
ไม่ใช่เขาไม่อยากบอก แต่ก็เหมือนกับที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้ยังเป็นเพียงการคาดเดาของเขา…
หลังจากที่เจ้า “โอเบลิสก์” สัมผัสร่างกายกับเป้าหมายที่เล็งไว้แล้ว จึงจะสามารถแปลงร่างได้ เรื่องนี้ได้รับการยืนยันถึงสองครั้งแล้ว ดังนั้นจึงไร้ข้อกังขา ตอนที่มันหลอกล่อหลิงม่อกับสวี่ซูหาน มันใช้ตัวตนของอวี่เหวินซวน แต่ตอนที่หลอกล่ออวี่เหวินซวน มันกลับแปลงร่างเป็นคนอื่นที่ไม่รู้จัก…
แต่หลิงม่อกลับรู้สึกว่า ตัวตนของคนคนนั้น อาจเป็นกุญแจสำคัญก้ได้…
เหตุผลง่ายมาก ในเรื่องที่อวี่เหวินซวนเล่าเมื่อกี้ เขาไม่ได้ถูกหลอกถามข้อมูล หรือสอบสวนอะไรเลย…แต่ไม่ว่าจะกับอวี่เหวินซวนหรือหลิงม่อกับสวี่ซูหาน พฤติกรรมหลอกล่อของเจ้า “โอเบลิสก์” เหมือนเตรียมการมาอย่างดี โดยเฉพาะตอนที่เผชิญกับพวกหลิงม่อสองคน มันถึงขั้นพูดบทละครน้ำเน่าจอมปลอมตั้งหลายประโยค…
มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน!
ที่เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นได้ หลิงม่อคิดว่ามีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ…เจ้า “โอเบลิสก์” ตัวนั้นรู้จักกับพวกถังฮ่าว!
ใช่แล้ว มันไม่เพียงรู้ แต่ถึงขั้นรู้จัก…และดูจากการกระทำของมัน มันรู้ดีว่าพวกหลิงม่อมีประโยชน์ต่อพวกมันอย่างไร…
มันไม่ได้ให้สัตว์ประหลาดพวกนั้นฆ่าอวี่เหวินซวน จุดประสงค์ก็เพื่อไม่ให้เขาสูญเสียเลือดหรือพลังชีวิต…ซึ่งก็หมายความว่า เขาถูกนำตัวมาที่นี่ในฐานะอาหารจานพิเศษนั่นเอง และในขณะที่บุคคลที่สามนั้นกำลังดำเนินภารกิจส่งอาหาร เจ้า “โอเบลิสก์” ก็แปลงร่างเป็นอวี่เหวินซวน เพื่อมารับมือกับพวกหลิงม่อ…
ส่วนทำไมถึงถูกปฏิบัติไม่เหมือนกันนั้น…หลิงม่อเหลือบมองสวี่ซูหานเล็กน้อย ในใจพลันกระจ่าง
จุดนี้ดูจากจุดจบของเจ้า “โอเบลิสก์” ก็รู้แล้ว สำหรับพวกมัน ซอมบี้ธรรมดาก็เป็นแค่อาหารธรรมดา แล้วหลิงม่อก็อยู่กับสวี่ซูหาน ย่อมต้องถูกจัดการด้วยวิธีเดียวกัน แต่มันก็ไม่แน่ ไม่แน่ว่าที่เจ้า “โอเบลิสก์” ตัวนั้นเข้าไปในไอหมอกมืดก่อน ก็เพื่อจะกำราบหลิงม่อก่อน แล้วค่อยพาเขามาที่นี่ก็ได้
“แต่ว่าเพื่อทำให้นายสลบ เงาคนเงานั้นก็น่าจะตีนายแรงไม่เบาเลยใช่ไหม?” พอสวี่ซูหานไม่ได้คำตอบจาหลิงม่อ จึงหันไปถามอวี่เหวินซวนแทน
อวี่เหวินซวนหัวเราะ บอกว่า “ตรงกันข้ามเลยล่ะ มันเป็นสัตว์ประหลาด จะกล้าลงมือรุนแรงกับมนุษย์อ่อนแออย่างฉันได้ยังไง เกิดมันเผลอทุบสมองฉันแตกจะทำยังไง? อีกอย่างถึงตอนนั้นฉันจะไม่ทันสังเกต แต่ในวินาทีที่ถูกโจมตี ฉันก็รู้ตัวทันที หลบน่ะหลบไม่ทันแน่แล้ว แต่ก็ยังพอโน้มตัวไปข้างหน้า ตามแรงของอีกฝ่ายได้อยู่ ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ธรรมดา ฉันคงหลบพ้นอย่างไร้รอยขีดข่วนแล้ว ถึงแม้ทำอย่างนั้นไม่ได้ แต่อย่างมากก็แค่แผลถลอกล่ะนะ แต่มันเป็นสัตว์ประหลาด แถมไม่ใช่สัตว์ประหลาดธรรมดา ดังนั้นฉันก็เลยหมดสติไปชั่ววูบหนึ่ง”
“อย่างนั้นเองหรอ…” สวี่ซูหานกลับอึ้งงัน ไม่คิดเลยว่าเจ้าเฟิ่งจื่อจะมีความคิดละเอียดรอบคอบอย่างนี้! จุดนี้กลับเหมือนหลิงม่อไม่น้อย…
“พวกเดียวกันย่อมศีลเสมอกัน!” สวี่ซูหานลอบด่า
“เงาคนนั่นล่ะ?” หลิงม่อถาม
“หลังจากทิ้งฉันไว้ ก็ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว ฉันถูกลากจนเปื้อนโคลนไปทั้งตัว ก็เลยตัดสินใจคลำหาทางรอบๆ จนสุดท้ายก็มาถึงนี่ ความจริงตอนแรกฉันตั้งใจจะลอบโจมตีมัน แต่ว่าบรรยากาศที่นี่ประหลาดมากเลย…” อวี่เหวินซวนบอก
ดูจากระยะทาง ความจริงตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่ไกลจากพวกหลิงม่อมากนัก แต่ไอหมอกสีดำนั่นประหลาดมาก เพราะดูเหมือนว่ามันจะสามารถเก็บเสียงได้ ดังนั้นตอนที่หลิงม่อจับได้ว่าเจ้า “โอเบลิสก์” เป็นอวี่เหวินซวนตัวปลอม เขากลับไม่รู้เลยว่าอวี่เหวินซวนตัวจริงกำลังถูกลากอยู่ในไอหมอกมืดที่อยู่ไม่ไกลเหล่านั้น…
ก็ไม่แปลกที่เจ้า “โอเบลิสก์” จะมีท่าทีลำพองใจขนาดนั้น…พรรคพวกของศัตรูกำลังถูกลากไปเสิร์ฟถึงโต๊ะ แต่ศัตรูกลับไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย ในสายตาของเจ้า “โอเบลิสก์” มันก็เป็นเรื่องที่น่าลำพองใจจริงๆ แต่มันไม่คิดเลยว่า “อาหาร” ดังกล่าวไม่ใช่ลูกแกะอ้วนพีที่รอถูกเชือดเฉยๆ แต่เป็นเฟิ่งจื่อ (คนบ้า) ที่กำลังลอบซุ่มตัวอยู่เงียบๆ…
“ประหลาดตรงไหน?” หลิงม่อถาม
อวี่เหวินซวนสอดมือเข้าไปในกระเป๋า สุดท้ายก็ล้วงอะไรบางอย่างสีดำๆ ออกมา เขายื่นให้หลิงม่อ “นี่เป็นสิ่งที่ฉันเจอในนี้”
“อยู่ห่างๆ ฉันหน่อย” หลิงม่อพูดหน้าบึ้งตึง “นี่อะไร?”
อวี่เหวินซวนที่สกปรกจนไม่สามารถสกปรกไปมากกว่านี้แล้วทำได้เพียงสะบัดโคลนออกจากของสิ่งนั้น ถึงแม้จะมีโคลนติดอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังพอมองรูปร่างเดิมของมันออกบ้าง…
แม่เอ็ง กางเกงในจีสตริง!
“ไอ้โรคจิต!” สวี่ซูหานที่ตาไวร้องลั่น
หลิงม่อเองก็มองเขาด้วยสายตาแฝงความนัยด้วยเช่นกัน…อยู่ในที่แบบนี้ก็ยังไม่วายเก็บของประเภทนี้ไว้อีก โรคจิตขนานแท้ตามคาด…
“มันไม่ใช่ของฉันซักหน่อย!” อวี่เหวินซวนแก้ตัว “เรื่องสำคัญคือ ตอนที่ฉันเก็บมันได้ ของสิ่งนี้ห้อยอยู่บนผนัง อีกอย่าง มันอยู่ในสภาพสะอาดมากด้วย”
“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ของนาย นายก็โรคจิตมากอยู่ดีนั่นแหละ…” สวี่ซูหานยังคงพูดดูแคลนเขา
หลิงม่อกลับชะงักค้างไปครู่หนึ่ง “สะอาดหรอ?”
“อื้ม!” อวี่เหวินซวนพยักหน้าอย่างหนักแน่น
นี่มันอะไรกัน…ผู้ชายสองคนกำลังรุมจ้องกางเกงในจีสตริงและถกเถียงกัน?
สวี่ซูหานไม่รู้จะด่ายังไงต่อไป…ทว่าตอนนี้เธอเริ่มได้สติแล้ว กางเกงในจีสตริงตัวนี้ ดูเหมือนจะมีเงื่อนงำบางอย่างซ่อนอยู่…
ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยศพไร้วิญญาณ มีกางเกงในโผล่มาสักตัวสองตัวก็ไม่ใช่เรื่องแปลก…แต่จุดที่แปลกก็คือ มันกลับอยู่ในสภาพสะอาด…นั่นหมายความว่าอะไรล่ะ?
“มันไม่ได้มาจากศพแน่นอน” หลิงม่อพูดขึ้น “ถ้าหากเป็นศพ ก็จะต้องถูกลากจมโคลน ดังนั้นไม่มีทางอยู่ในสภาพสะอาดแน่นอน เพราะฉะนั้น…”
“นายหมายความว่า…นี่เป็นสิ่งที่สัตว์ประหลาดเก็บกลับมาหรอ?” สวี่ซูหานถามหยั่ง
“นี่ก็เป็นเรื่องที่ฉันกำลังสงสัยอยู่เหมือนกัน!” อวี่เหวินซวนตาเป็นประกาย “ในฐานะสัตว์ประหลาด ทำไมพวกมันถึงได้สนใจกางเกงในจีสตริงของมนุษย์เพศหญิงล่ะ? อีกอย่าง ยังตั้งใจแขวนไว้บนผนังเป็นพิเศษด้วยนะ…ถ้าหากชอบกลิ่นมนุษย์ ก็น่าจะเก็บอันที่เคยใช้งานมาแล้วสิ…อุวะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ข้ามประโยคสุดท้ายไปแล้วกัน…”
“อยู่ๆ ฉันก็สงสัยว่านายเจอมันได้ยังไง…นายมีเรดาร์จับตำแหน่งกางเกงในหรือไง!” สวี่ซูหานทนฟังไม่ไหว ทั้งที่เป็นเรื่องประหลาดมากแท้ๆ แต่ทำไมเวลาเขาพูดออกมามันกลับฟังดูเปลี่ยนไปล่ะ? พูดไปพูดมา กลับกลายเป็นการถกเถียงประเด็นโรคจิตคลั่งกางเกงในซะอย่างนั้น…
หลิงม่อถลึงตาใส่เขา ถึงแม้ในใจเขาจะคิดอย่างนั้นเหมือนกัน…แต่ก็ไม่ควรพูดเรื่องนี้ต่อหน้าสวี่ซูหานสิ! แต่ถ้าหากเปลี่ยนเป็นพวกซย่าน่ามาอยู่ที่นี่แทน ไม่แน่ว่าอาจมีคำศัพท์ที่น่าตกใจกว่านี้ออกมาจากปากของพวกเธอเองก็ได้…
“ฉันคลำทางไปทีละน้อยๆ ความจริงนอกจากอันนี้ ฉันยัง…” พูดไป อวี่เหวินซวนก็ล้วงสิ่งของออกมาเพิ่ม พลางสะบัดคราบโคลนออก แล้วโยนลงพื้น
มีแต่กางเกงในกับเสื้อในทั้งนั้น…
———————————