ทุกคนพยายามดันประตูไว้ ฟางเจิ้งผลักหลายครั้งแล้วก็ไม่ไป ด้วยความจำใจจึงออกแรงมือตบเข้าให้!
ปัง!
ประตูเหล็กส่งเสียงดัง สิบกว่าคนล้มระเนระนาดตามกันไป กลิ้งกันเต็มพื้น พวกหน้าสุดก็คลานออกไปข้างนอกโดยไม่หันไปมอง คลานไปพลางร้องโอดครวญ “ช่วยด้วย หมาป่าออกมาแล้ว วิ่ง…”
“วิ่งก็บ้าแล้ว ไต้ซือไม่ใช่หมาป่า” พั่งจื่อกับโหวจื่อเงียบมาตลอด คอยยืนมองอยู่ข้างๆ อย่างคึกคัก ตอนนี้ถึงค่อยเอ่ยปาก
คนพวกนี้หันไปมอง ตรงประตูใหญ่เป็นหลวงจีนหัวโล้นยืนอยู่จริงๆ ไม่มีเงาหมาป่านั่นเลย
“ไอ้หลวงจีนบ้า แกปิดประตูปล่อยหมาป่า วางแผนจะฆ่าคน!” ชายหน้าแบนชี้หน้าฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งประนมมือ “อมิตาพุทธ ทำไมโยมพูดอย่างนี้ล่ะ?”
“หมาป่าอยู่ในวัดแก ยังไม่ยอมรับอีก แกปิดประตูปล่อยหมาป่ามาไล่พวกเรา ทุกคนก็เห็นแล้ว หรือไม่รู้ว่านั่นคือหมาป่า? เดรัจฉานฟังคนไม่รู้เรื่อง ยากจะฝึกให้เชื่อง มีโอกาสสูงมากที่จะกัดคนตายแกไม่รู้รึไง?” ชายหน้าแบนโต้ตอบ
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “โยม อาตมาไม่เห็นด้วยหรอกนะ โยมบอกว่าเดรัจฉานฟังคนไม่รู้เรื่อง? แล้วถ้ามันฟังคนรู้เรื่องล่ะจะว่ายังไง?”
“ชิ ถ้าหมาป่าฟังคนรู้เรื่อง เราจะไม่ถือสาเรื่องก่อนหน้า” คนอื่นพูดขึ้น ทุกคนก็พากันขานรับ
ทุกคนต่างมองฟางเจิ้งด้วยแววตาดูถูก หมาป่าไม่ใช่หมา ขนาดหมายังต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางฝึกฝนหลายปีกว่าจะเข้าใจภาษาคนเล็กน้อย พวกเขาไม่เชื่อว่าเณรตรงหน้าจะฝึกหมาป่าให้เชื่องแบบนั้นได้ มิหนำซ้ำต่อให้หมาป่านี่ถูกฝึกจนเข้าใจภาษาคนจริงๆ ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะพวกเขาไม่ได้จะทดสอบแค่นี้
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “โยม วัดเป็นแดนอันเงียบสงบ โยมเอะอะเสียงดังในวัดไม่เคารพกฎเลยจริงๆ พ่อแม่ไม่สั่งสอน คงเป็นความผิดพ่อแม่โยม อาจารย์ไม่สอน นั่นก็เป็นความผิดของอาจารย์ โตมาขนาดนี้ ถ้าผ่านอะไรมามากมายแล้วยังไม่เข้าใจอีก นั่นก็เป็นความผิดของโยม ช่างเถอะ เห็นแก่ที่โยมเป็นเดรัจฉาน อายุยังน้อย อาตมาตจะไม่สร้างความลำบากให้ รีบออกไปเถอะ”
ชายหน้าแบนรู้สึกว่าคำพูดข้างหน้าดูไม่คล้องจองกันเลย! ไม่เหมือนคุยกับหมาป่า แต่เหมือนกำลังด่าพวกเขา?
โดยเฉพาะคำว่าเดรัจฉานข้างหลัง ทำเอาเขาเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากมีเรื่องด้วย
แต่พอฟางเจิ้งพูดคำว่าออกไป หมาป่าตัวใหญ่ก็ออกมาจริงๆ!
ฟางเจิ้งกล่าว “พวกโยมดู แม้เดรัจฉานจะฝึกยาก แต่ก็มีเหตุผล รู้ว่าวัดจะส่งเสียงดังไม่ได้ ให้มันออกมามันก็ออกมา”
พูดจบพวกชายหน้าแบนพลันหน้าแดงก่ำ…ก่อนหน้านี้ฟางเจิ้งให้พวกเขาเคารพกฏ แต่ไม่มีใครฟัง ไม่สนใจ พอเทียบแบบนี้แล้ว หมายความว่าพวกเขาสู้เดรัจฉานไม่ได้รึเปล่า?
ชายหน้าแบนตะโกนด้วยความอับอายและโมโห “ไอ้ลาหัวล้าน แกด่าฉันทางอ้อมเหรอฮะ!”
“แกว่าใครลาหัวล้านหา?” พั่งจื่อกับโหวจื่อได้ยินดังนั้นก็กระโดดเข้ามา เฉินจิ้งขยับไปยืนข้างหลังโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะพบว่าครั้งนี้ไม่ได้มาหาเรื่องตนจึงสบายใจลงไม่น้อย
ชายหน้าแบนเห็นสองคนนั้นถลึงตามองอย่างโหดเหี้ยมก็หวาดกลัวทันที เขาชี้ฟางเจิ้ง “เณร เป็นนักบวชยังด่าคนอื่นอีก…กะ…แกผิดศีล แบบนี้เรียกว่านักบวชได้เหรอ?”
ฟางเจิ้งสวดไปบทหนึ่ง “อมิตาภพุทธ โยมพูดอะไรอย่างนั้น หรือว่าอาตมาสั่งสอนเดรัจฉานที่ไม่เข้าใจกฎไม่รู้เรื่อง โยมจะสนใจทำไม? อีกอย่างอาตมาพูดถึงหมาป่า ไม่ได้พูดถึงคนเลย? แน่นอนถ้าโยมจะร้อนตัวบอกว่าอาตมาพูดถึงพวกโยม อาตมาก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
ฟางเจิ้งมีสีหน้างงงวย มีท่าทีว่าไม่เข้าใจ
ชายหน้าแบนโกรธแทบจะบ้าตาย ชี้ฟางเจิ้ง “อย่าคิดว่าพวกเราโง่ ทำเป็นตีวัวกระทบคราด คิดว่าพวกเราไม่เข้าใจรึไง?”
ฟางเจิ้งตอบ “อมิตาภพุทธ โยมอยากคิดยังไงก็คิดเถอะ เป็นสิทธิ์ของพวกโยม ทุกคนมาดูนี่ ของของใครเอากลับไปด้วย”
ฟางเจิ้งพูดจบก็ถือเข่งขยะใหญ่ข้างๆ ด้วยมือเดียว ก่อนวางลงตรงหน้าดังปัง แรงทรงพลังทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนตาม!
ชายหน้าแบนเห็นฟางเจิ้งมีแรงขนาดนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ไม่ค่อยกล้าแข็งกร้าวกับฟางเจิ้งแล้ว เขามองของในเข่งขยะใหญ่ สีหน้าย่ำแย่กว่าเดิม เพราะเขาเห็นขากางเกงสองข้างของตน…
คนอื่นๆ มีสีหน้าไม่ต่างกัน เศษซากของตนเองอยู่ในนั้น น่าขายหน้านัก…
ส่วนพวกจิ่งเหยียนที่เห็นมาตั้งแต่เริ่มก็เข้าใจแล้ว ฟางเจิ้งเลี้ยงหมาป่านี่ไว้! ก่อนหน้านี้ปล่อยมาไล่พวกเธอก็อาจจะเป็นฝีมือของหลวงจีนนี่! อีกอย่างถ้าลองคิดดูดีๆ แม้หมาป่าจะดุร้ายแต่กลับไม่ทำร้ายใคร เค้าลางต่างๆ สื่อว่าหลวงจีนนี่เป็นคนบงการ!
ดังนั้นจิ่งเหยียนจึงยิ่งไม่พอใจฟางเจิ้งไปใหญ่ ‘ไอ้คนโกหก หน้าด้านจริงๆ!’
ไชฟางส่ายหน้าเล็กน้อย ถึงวิธีของฟางเจิ้งจะไม่เหมาะอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายใคร มิหนำซ้ำพวกเขาไร้เหตุผลก่อน จึงพูดอะไรไม่ได้
พั่งจื่อ โหวจื่อ และอู๋ฉางสี่ยืนอยู่ฝั่งฟางเจิ้ง ย่อมไม่พูดอะไรเช่นกัน
ฟางเจิ้งเห็นทุกคนเงียบก็ปิดประตูใหญ่กลับเข้าวัด พอเข้ามาแล้วเขาถอนหายใจโล่งอก เงียบสักที…มียุงเยอะมันน่ารำคาญจริงๆ
ฟางเจิ้งสบายแล้วแต่กลับมีคนกำลังโมโห
“เอี๊ยด!” รถยนต์เบรกกะทันหัน หยุดอยู่ข้างซ่งเอ้อโก่ว
“ไอ้บ้า ไหนแกบอกว่าภูเขาเอกดรรชนีอยู่ทางตะวันตกไง? มันอยู่ตะวันออกนี่ ทำไมถึงหลอกเรา?” รถลดกระจกลง โอวหยางเฟิงหวาขมวดคิ้วต่อว่าด้วยความโกรธ
ซ่งเอ้อโก่วที่ยังกวาดถนนอยู่หันไปมองก็หัวเราะทันที เดิมทีเขาเป็นคนเสเพลในหมู่บ้าน แม้จะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ก็มีวิชาปลิ้นปล้อน เขาบอกว่าสองใครจะกล้าบอกหนึ่ง? ดังนั้นซ่งเอ้อโก่วเลยกอดอกหัวเราะเหอะๆ “เด็กน้อย ไม่เคยเรียนหนังสือรึไง?”
“แกนั่นแหละที่ไม่เคยเรียน! พ่อฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพู่กันจีน แม่ฉันเป็นอาจารย์ ฉันอ่านหนังสือมาเยอะกว่าถนนที่แกกวาดอยู่อีก!” โอวหยางเฟิงหวาร้องเสียงดัง
ซ่งเอ้อโก่วพยักหน้า “นั่นฉันเชื่อ ฉันกวาดถนนนี่เท่ากับเธออ่านหนังสือสองเล่มใช่ไหม?”
โอวหยางเฟิงหวาโกรธจนจมูกเล็กแทบจะเบี้ยว
โอวหยางหวาไจรู้ว่าลูกสาวตัวเองฝีปากสู้ชาวบ้านคนนี้ไม่ได้ จึงพูดอย่างเย็นชา “พวกเราไม่ได้มีความแค้นอะไรกัน ทำไมต้องบอกทางเราผิดด้วย? นายทำแบบนี้มันใช้ไม่ได้นะ”
ซ่งเอ้อโก่วหาวหวอด “คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะพู่กันจีนแต่ดันเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือ อาจารย์ไม่เคยสอนรึไงว่าโลกกลม? คุณไปทางตะวันตก ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวก็กลับมา ทางตะวันตกรถติด ผมอุตส่าห์ใจดีชี้ทางที่รถไม่ติดให้ แต่พวกคุณมาพูดแบบนี้อีก เฮ้อ…คุยกับพวกคนไม่รู้หนังสือไม่ได้จริงๆ รีบไปเถอะ ผมยังต้องกวาดถนนอีก ไร้วัฒนธรรม ตาหามีแววไม่…”
โอวหยางหวาไจกับโอวหยางเฟิงหวาได้ยินดังนั้นก็โกรธจนแทบจะลงไปกระทืบคน!
ดีที่โอวหยางเฟิงหวาระงับความโกรธไว้ได้แล้วเหยียบคันเร่งจากไป ดันมาเจอคนน่าโมโหเอาเสียได้
……………………………………….……..