หลินหยุนยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเงียบ เงาร่างของเขาดูโดดเดี่ยวและหดหู่ เหมือนกับว่าถูกโลกใบนี้ทอดทิ้งแล้ว
บริเวณโดยรอบต่างก็เป็นคำพูดที่เย็นชา เยาะเย้ย ดูถูก เหยียดหยาม ราวกับลูกศรแทงทะลุผ่านร่างเข้าไปยังหัวใจทีละดอกทีละดอก ทำให้เขาตายกลายเป็นศพที่น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง
อีหลิงก็รู้สึกเจ็บใจขึ้นมาทันที มองไปยังพวกคุณชายลูกเศรษฐีที่อยู่โดยรอบ สีหน้าปรากฏความโกรธเคืองขึ้นบ้างเล็กน้อย
“พวกคุณทำกันเกินไปแล้ว! ”
“เมื่อครู่ฉันได้พูดแล้วว่า ฉันไม่ได้สนใจว่าของขวัญจะเป็นอะไร เพียงแค่ทุกคนสามารถมาหาฉัน ฉันก็ดีใจมากที่สุดแล้ว”
เสียงของอีหลิงเย็นชา และพูดออกมาด้วยความโกรธเคืองเล็กน้อย ทำให้ทุกคนเงียบสงบลงในทันที
ทุกคนต่างก็ฟังออก อีหลิงโมโหขึ้นแล้ว
สายตาของอีหลิง พร้อมกับคำขอโทษ มองไปที่หลินหยุน แล้วพูดขึ้นว่า: “หลินหยุน คำพูดของพวกเขาคุณอย่าได้ถือสาหาความเลย จี้หยกที่คุณมอบให้ฉัน ฉันชอบมาก ฉันจะห้อยมันติดตัวไว้ตลอดเวลา! ”
พวกคุณชายลูกเศรษฐี สีหน้าดูย่ำแย่ เพราะอีหลิงปกป้องเข้าข้างหลินหยุน ชัดเจนมากเกินไปแล้ว
นี่เป็นการทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนี้เสียหน้ากันไปทั้งหมด!
ป๋ายรุ่ยเหวินโมโหมากจนหน้าเขียว เดิมทีคิดว่าการเหยียดหยามหลินหยุนต่อหน้าอีหลิง อีหลิงจะสามารถเห็นตัวตนที่แท้จริงของหลินหยุน และรังเกียจหลินหยุน
แต่คิดไม่ถึงว่า เรื่องราวกลับตรงกันข้าม อีหลิงกลับเห็นใจหลินหยุนขึ้น ถึงขนาดยอมที่จะแตกคอกับทุกคนเพื่อหลินหยุน!
ป๋ายรุ่ยซินขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า: “พี่ พี่สะใภ้หลงใหลในตัวของไอ้หนุ่มนั่นไม่น้อยเลย! จากนี้พวกเราควรจะทำอย่างไรกันดี? ”
เซี่ยหยู่เวยก็ตะลึงอยู่บ้าง เธอคิดไม่ถึงว่าอีหลิงจะทำเพื่อหลินหยุน ถึงขนาดล่วงเกินกับพวกคุณชายลูกเศรษฐีแห่งเจียงหนาน
เซี่ยหยู่เวยสีหน้าดูย่ำแย่ ในใจเต็มไปด้วยความริษยาและโกรธแค้นต่อหลินหยุน อีกทั้งยังกล่าวโทษอีหลิงอีกด้วย
หลินหยุนมีสีหน้าเมินเฉย กวาดสายตามองไปที่ทุกคนอย่างเย็นชา โดยที่แววตาแฝงไปด้วยความ ดูถูก: “ของขวัญที่ข้าหลินชางฉองได้มอบให้นั้น จะนำมาเปรียบเทียบกับของธรรมดาเหล่านี้ได้อย่างไรกัน! ”
จากนั้น หลินหยุนก็ชี้นิ้วออกไป ลำแสงสีเขียวก็พุ่งไปที่จี้หยกที่ด้านหน้าหน้าอกของอีหลิง
ลำแสงสีเขียวหายวับดับลงไป พลังทิพย์ได้กระตุ้นให้ค่ายกลและพลังฟ้าดินภายในจี้หยกตื่นตัวขึ้น กระแสลมเย็น ได้โบกพัดไปทั่วทั้งสถานที่ในทันที
ทุกคนต่างก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น และต่างก็รู้สึกว่าสดชื่นสบายตัว
วัสดุที่นำมาผลิตจี้หยกป้องกันตัวชิ้นนี้นั้น เป็นหยกทิพย์ชั้นดี ภายในหยกทิพย์ จะประกอบไปด้วยพลังฟ้าดินที่แข็งแกร่งหนักแน่น
พลังฟ้าดินเหล่านี้ มีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย ซึ่งหลังจากที่หลินหยุนใช้พลังทิพย์กระตุ้นแล้วนั้น ก็จะทำให้เกิดผลดีช่วยให้สมองสดชื่นปลอดโปร่ง
คนธรรมดาเหล่านั้น จะแค่รู้สึกว่ามีลมพัดผ่านไปชั่วขณะ รู้สึกสดชื่นสบายตัว แต่ พวกเหล่านักบู๊นั้นกลับสั่นไหวไปทั่วทั้งร่างกาย ตื่นตระหนกตกใจกันใหญ่!
โลกนี้ขาดแคลนชี่ทิพย์ ซึ่งหยกทิพย์ที่ประกอบด้วยพลังฟ้าและดินเช่นนี้ก็มีหลงเหลืออยู่น้อยมาก ซึ่งคงไม่ต้องพูดถึงหยกทิพย์ชั้นดีนี้ว่าจะมีจำนวนอยู่แค่เท่าไหร่กัน
เมื่อครู่ที่ชี่ทิพย์ได้แสดงพลังออกมานั้น ก็ทำให้พวกเขาได้รับประโยชน์อยู่บ้าง ภายในห้องโถง ที่มีนักบู๊สิบกว่าคนซ่อนตัวอยู่ สายตาก็ร้อนผ่าวขึ้นในทันที มองไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจหาต้นตอที่มาของคลื่นชี่ทิพย์
ป๋ายรุ่ยเหวินเองก็เป็นนักบู๊แดนพรสวรรค์ และอยู่ใกล้กับอีหลิงมากที่สุด พลังทิพย์อันแกร่งกล้าที่ปลดปล่อยออกมาจากจี้หยก เขาก็รู้สึกและสัมผัสได้อย่างรุนแรง
“เป็นไปได้อย่างไรกัน! จี้หยกชิ้นนี้ หรือว่าจะเป็น……เครื่องราง! ”
ป๋ายรุ่ยเหวินตกตะลึงเป็นอย่างมาก ตอนที่เขาอยู่ในสำนัก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อาจารย์ได้พูดถึงเครื่องรางขึ้น
เขาจำได้อย่างชัดเจนว่า ตอนที่อาจารย์ได้พูดถึงเครื่องราง สีหน้าท่าทางเคร่งขรึม รวมถึงแววตาทั้งสองข้างปรากฏถึงความเลื่อมใสศรัทธา
อาจารย์ของเขาที่มีระดับฝีมือความสามารถที่แข็งแกร่งนั้น เพียงแค่พูดถึงเครื่องราง ก็เคร่งขรึมจริงจังขนาดนี้ หากว่าได้เห็นเครื่องรางกับตาของตนเอง เกรงว่าคงจะถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าในทันที
ส่วนหลินหยุน คิดไม่ถึงว่าจะนำเครื่องรางที่มีความสำคัญมากต่อนักบู๊มาเป็นเครื่องประดับ มอบเป็นของขวัญให้กับคนธรรมดาทั่วไป!
นี่มันเป็นการทำลายสิ่งของอันล้ำค่าตามอำเภอใจ!
ไอ้คนล้างผลาญชัด ๆ!
ป๋ายรุ่ยเหวินเหมือนมีเลือดไหลหยดออกมาจากหัวใจ ถึงเขาจะสามารถครอบครองแสงแห่งความหวังเอาไว้ได้ และยังส่งมอบให้เป็นของขวัญกับอีหลิงโดยไม่ลังเล
แต่ ไม่ว่าแสงแห่งความหวังจะล้ำค่ามากเพียงใด มันก็เป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น
แต่สำหรับเครื่องรางหนึ่งชิ้น สามารถยกระดับให้พลังความสามารถของนักบู๊เพิ่มขึ้นหลายเท่า เทียบได้กับเป็นชีวิตที่สองของนักบู๊เลยทีเดียว!
หลังจากที่อีหลิงตกใจ ก็รู้สึกได้ว่าร่างกายสดชื่นสบายตัว แล้วมองไปที่หลินหยุนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง เธอเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า ของขวัญที่หลินหยุนมอบให้กับเธอนั้นมันไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ซึ่งตอนนี้ก็เห็นกันแล้วว่า มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ!
กู้ซิวหรั่นกับคุณชายโจวรวมถึงเย่เทียนเหาและคนอื่น ๆ ยังไม่ทราบถึงมูลค่าและความสำคัญของ จี้หยกชิ้นนี้ แต่ พวกเขาก็รับรู้ได้ว่าจี้หยกชิ้นนี้ไม่ธรรมดา
พวกคุณชายลูกเศรษฐีแห่งเจียงหนาน ต่างมองไปยังหลินหยุนด้วยสายตาที่ ตะลึงงันอยู่บ้างเล็กน้อย
แต่พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไป ยังไม่เข้าใจว่าพลังทิพย์ที่เคลื่อนไหวนั้นแสดงถึงอะไร แต่พวกเขารู้ว่าคงจะเกี่ยวข้องกับจี้หยกที่หลินหยุนมอบให้กับอีหลิง
เซี่ยหยู่เวยขมวดคิ้วอย่างหนัก มองไปที่หลินหยุนด้วยความสงสัย: “เมื่อสักครู่ ตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! ”
เห็นว่าทุกคนต่างตะลึงต่อการกระทำของหลินหยุน กู้ซิวหรั่นมีท่าทีที่ไม่พอใจ จึงได้คิดหากลอุบายขึ้นใหม่
“ฮ่าฮ่า หลินหยุน นายมอบของขวัญแบกะดินให้ก็ถือว่าเกินทนแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังจะใช้กลอุบายของพวกนักต้มตุ๋นมาหลอกลวงทุกคนอีก! ข้าก็รู้สึกว่าเมื่อครู่นี้มีลมเย็นพัดผ่านครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นว่าจี้หยกชิ้นนี้ของนายจะมีอะไรที่พิเศษเกิดขึ้นเลย! ” กู้ซิวหรั่นยิ้มอย่างเย็นชาและพูดขึ้นด้วยท่าทางเหยียดหยาม
“ใช่ มีลมเย็นพัดผ่านไปชั่วครู่ แต่ก็ไม่เห็นว่ามีอะไรที่พิเศษเลย แล้วยังจะมาคุยโวว่าสิ่งของธรรมดาทั่วไปไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้ ขี้โม้ชัด ๆ! ” คุณชายโจวตะโกนขึ้นด้วยท่าทางเหยียดหยาม
คุณชายหวางก็ตะโกนขึ้นเช่นกัน: “ถูกต้อง เมื่อเปรียบเทียบกับแสงแห่งความหวังที่คุณชายป๋าย มอบให้นั้น มันก็เป็นเพียงแค่ขยะนี่เอง! ”
“ข้าคิดว่าไอ้หนุ่มน้อยคนนี้เป็นนักต้มตุ๋น ไม่เพียงแต่จะนำของแบกะดินมอบเป็นของขวัญให้คุณ อีหลิงแล้ว ยังจะใช้กลอุบายนักต้มตุ๋นมาหลอกลวงพวกเราอีก ช่างน่าเกลียดเสียจริง! ”
“ใช่ ช่างเลวทรามมากเกินไปแล้ว! ”
พวกลูกชายเศรษฐีแห่งเจียงหนานพากันด่าทอ พูดโจมตีหลินหยุน
เห็นคนพวกนี้ดูถูกหลินหยุน ป๋ายรุ่ยเหวินก็ยิ้มเยาะอยู่ในใจ
แม้ว่าในตอนนี้เขาจะยังไม่ทราบอย่างชัดเจนว่าเครื่องรางนั้นมีคุณประโยชน์อย่างไร แต่ ต่อให้เป็นเครื่องรางชิ้นหนึ่งที่ธรรมดาทั่วไป ต่างก็เป็นสมบัติอันล้ำค่า แม้แสงแห่งความหวังจะมีมูลค่า แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องรางนี้แล้ว ก็เป็นเพียงแค่ขยะ
แต่ว่า ป๋ายรุ่ยเหวินไม่มีทางที่จะพูดออกมาเองอย่างเด็ดขาด เขาต้องการอย่างมากที่จะให้ หลินหยุนถูกเหยียดหยาม
“หุบปาก! ”
เสียงตะโกนที่แก่ชราดังขึ้น ผู้อาวุโสอาฉินที่อยู่ด้านข้างของอีหยุ่นได้เดินเข้ามา
อาฉินแม้ว่าจะเป็นเพียงพ่อบ้านที่ดูแลอีหยุ่น แต่ ทุกคนทราบดีว่า อาฉินมีสถานะที่สูงศักดิ์ในตระกูลอี แม้แต่คุณอีเองก็ยังเคารพและปฏิบัติอย่างสุภาพต่อเขา
“อาฉิน! ” อีหลิงตะโกนเรียกเสียงเบา ๆ ด้วยท่าทางที่เคารพ
อาฉินเป็นคนหลังค่อมง่อนแง่น แต่ว่า ดวงตาที่แก่ชราทั้งสองข้างของเขากลับมีความเฉียบคม ยิ่งนักซึ่งกำลังมองไปที่จี้หยกที่หน้าอกของอีหลิง ยิ่งดู สีหน้าของอาฉินก็ยิ่งจริงจังขึ้น
“คุณอีหลิง สามารถที่จะถอดจี้หยกนั้นออกมาให้ข้าดูหน่อยได้ไหม? ” อาฉินพูดขึ้นด้วยเสียงที่แหบ
อีหลิงมองไปที่หลินหยุน เห็นว่าหลินหยุนหันหน้ามองไปที่อื่น และแสดงท่าทางที่ไม่ใส่ใจ จึงได้ตอบขึ้นว่า: “ได้สิ! ”
ขณะพูด ก็ถอดจี้หยกนั้นออกมา ใหกับอาฉิน: “อาฉินเชิญดูได้เลย! ”
“ขอบคุณคุณหนู! ” อาฉินรับจี้หยกนั้นมา สองมือโอบอุ้มเอาไว้ ราวกับว่าเป็นสมบัติ
ทุกคนมองไปที่อาฉินด้วยความไม่เข้าใจ ในใจคิดว่าก็แค่จี้หยกที่เป็นของแบกะดินไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ด้วย?
อาฉินตั้งใจมองดูชั่วครู่ ยื่นมือออกมาแล้วก็ปล่อยชี่แท้ ลงไปบนจี้หยกนั้น ก็ปรากฏลำแสงสีเขียวขึ้นแวบหนึ่งอีกครั้ง แต่ ลำแสงมีขนาดเล็กกว่าเมื่อครู่มาก และเวลาการปรากฏขึ้นก็สั้นกว่ามากเช่นกัน
ได้เกิดความรู้สึกเย็นสบายขึ้นอีกครั้งในห้องโถง แต่ว่า เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วก็หายไป
อาฉินนำจี้หยกคืนกลับให้อีหลิง ถอนหายใจและพูดว่า: “แม้ว่าข้าจะสามารถกระตุ้นมันได้เพียงแค่เล็กน้อย แต่ข้ารับรองได้อย่างแน่นอน นี่คือสมบัติอันล้ำค่าที่สุด! ” อาฉินพูดออกมาอย่างจริงจังเป็นอย่างมาก
“คุณหนู ไม่ว่าจะที่ไหนเวลาใด คุณควรจะนำจี้หยกชิ้นนี้ห้อยติดตัวไว้ตลอด! จำเอาไว้ จำเอาไว้!