เยนเป่ยเฟยแสดงท่าทางที่น่าเสียดายอยู่ด้านข้าง แล้วมองไปยังส้งหัวอันพ่อลูก ด้วยสีหน้าที่เหยียดหยาม
ทุกคนเป็นศัตรูกัน คุณทำแบบนี้ไม่ใช่เป็นการสร้างแรงปณิธานให้กับผู้อื่น ทำลายศักดิ์ศรีของตนเองงั้นเหรอ?
โม่จือมิ่งมองไปที่ส้งหัวอันด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังอย่างกะทันหัน: “คุณส้ง ข้าต้องการพบไอ้หนุ่มที่ชื่อหลินหยุนนั่นสักหน่อย! ”
นี่……
ส้งหัวอันมองไปที่โม่จือมิ่งด้วยความไม่เข้าใจ
พบเจอกันเพียงครั้งเดียวคงไม่เป็นไร แต่ทุกคนต่างก็คือศัตรูซึ่งกันและกัน พบเจอกันมันจะดีเหรอ?
เยนเป่ยเฟยถามขึ้นด้วยความโมโหว่า: “พี่จือมิ่ง ทำไมคุณถึงต้องการที่จะพบกับศัตรูด้วย? ”
โม่จือมิ่งมองไปที่เยนเป่ยเฟย และพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก: “ข้าต้องการทราบว่า ยาทิพย์ชั้นยอดนี้เขาเป็นคนกลั่นเองใช่ไหม? ”
เยนเป่ยเฟยมีสีหน้าที่ย่ำแย่ พูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า: “ถ้าหากว่าเขาเป็นคนกลั่นยาเองล่ะ? นายคิดจะทำอะไร? ”
โม่จือมิ่งไม่ได้ตอบ หันหลังแล้วก็เดินจากไป
เยนเป่ยเฟยมีสีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด ส่งเสียงฮึขึ้นอย่างเย็นชา แล้วก็หันหลังเดินจากไปเช่นกัน
ส้งอันหมิงมองไปที่ส้งหัวอันด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ: “คุณพ่อ พวกเราจะทำอย่างไรต่อไป? ”
“โอ้ว รอกันไปก่อนแล้วกัน! ” ส้งหัวอันถอนหายใจ จนปัญญาที่จะทำอะไรได้อีก
ถ้าหากแม้แต่โม่จือมิ่งเองก็ยังไม่มีวิธีจัดการกับหลินหยุน ถ้าอย่างนั้นคนธรรมดาอย่างพวกเขา ก็คงจะยิ่งไม่มีวิธีการเข้าไปใหญ่
ดังนั้น วิธีการที่ดีที่สุดก็คือรอ รอหลังจากที่โม่จือมิ่งได้พบกับหลินหยุนแล้ว มาดูกันว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร
ช่วงค่ำ บนคูน้ำรอบเมืองในมณฑลจงโจว คนชรากับคนหนุ่มยืนประจันหน้า ซึ่งกันและกัน
หลินหยุนอยู่ในชุดสีดำ โม่จือมิ่งอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีเทา เงาร่างของทั้งสองคน ถูกแสงไฟยามพลบค่ำสะท้อนจนกลายเป็นเงาร่างที่ยาวเหยียด
“คุณต้องการพบฉันเหรอ? ” หลินหยุนถามขึ้น ด้วยสีหน้าท่าทางที่ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก
“ใช่” โม่จือมิ่งพยักหน้าด้วยสีหน้าท่าทางที่ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึกเช่นกัน
“มีเรื่องอะไรเหรอ? ” หลินหยุนถามขึ้น
“ข้าต้องการที่จะทดสอบวิชากลั่นยาของนาย” โม่จือมิ่งพูดออกมาตรง ๆ
“ไม่น่าสนใจเลย” หลินหยุนพูดจบ ก็หันหลังแล้วเดินจากไป
โม่จือมิ่งพูดขึ้นอย่างสงบนิ่ง: “ถ้าหากนายชนะ ข้าก็จะยอมวางมือ”
“แม้ว่านายจะใช้ยาทิพย์ชั้นเยี่ยม แต่ข้าก็มีวิธีอื่นที่จะมาประลองแข่งขันกับนาย หากว่านายต้องการที่จะกำจัดบริษัท หัวอัน กรุ๊ป เกรงว่าคงจะไม่ง่ายขนาดนั้น”
หลินหยุนหยุดก้าวเดินต่อ โดยไม่ได้ปฏิเสธ
โม่จือมิ่งพูดได้ถูกต้อง ยาทิพย์ชั้นยอดสำหรับผู้คนในโลกบู๊แล้ว มีชื่อเสียงโด่งดังมาก แต่สำหรับคนทั่วไปแล้วนั้น ก็ไม่แตกต่างอะไรกับยาทิพย์ธรรมดาทั่วไป
ต่างกันก็ตรงที่สรรพคุณผลของการรักษาที่จะนานหรือสั้นเท่านั้นเอง
หากว่าโม่จือมิ่งนำยาทิพย์ชนิดอื่นออกมา เป็นไปได้ที่บริษัท หัวอัน กรุ๊ปจะสามารถรับมือกับการโจมตีของบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปได้ ซึ่งคิดที่จะเอาชนะบริษัท หัวอัน กรุ๊ปนั้น ก็คงจะต้องพบกับความยากลำบากพอสมควร
“คุณคิดจะแข่งขันอย่างไร? ” หลินหยุนหันหลังกลับไปมองที่โม่จือมิ่ง เขามองออกว่า ผู้นี้คือนักกลั่นยาที่แท้จริง
เพราะว่า ตอนที่โม่จือมิ่งพูดถึงกลั่นยาสองคำนี้นั้น แววตาเผยออกมาถึงความเร่าร้อน ซึ่งไม่สามารถที่จะเสแสร้งได้อย่างแน่นอน
นั่นเป็นเพราะความชื่นชอบอย่างแท้จริง เป็นความชื่นชอบอย่างแรงกล้าที่ออกมาจากภายในจิตใจ!
โม่จือมิ่งพูดว่า: “สิบข้อห้ามของการกลั่นยา นายสามารถพูดออกมาได้กี่ข้อ? ”
หลินหยุนยิ้มอย่างเหยียดหยามเล็กน้อย: “สำหรับข้าแล้ว แต่ไหนแต่ไรการกลั่นยาไม่เคยมีข้อห้ามมาก่อน”
“หมายความว่าอย่างไรกัน? ” โม่จือมิ่งขมวดคิ้ว แสดงท่าทางสงสัย
“วิธีกลั่นยาคือสิ่งตายตัว ส่วนคนคือสิ่งมีชีวิต วัตถุดิบคือสิ่งตายตัว ส่วนคนคือสิ่งมีชีวิต ต่อให้เป็นยาสองชนิดที่มีผลขัดแย้งกัน ถ้าหากว่าปรุงแต่งอย่างเหมาะสมแล้ว ก็สามารถทำให้เกิดประสิทธิผลที่ดีเกินคาดก็เป็นได้”
“ที่คุณพูดว่าข้อห้ามสิบข้อนั้น มันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน”
โม่จือมิ่งขมวดคิ้วครุ่นคิด คิ้วบางทีผ่อนคลาย บางทีก็ขมวดขึ้น เหมือนกับว่ากำลังพิจารณาคำพูดของหลินหยุนว่าถูกต้องหรือไม่
“เพียงคำพูดมันไร้หลักฐาน ต้องให้ข้าเห็นถึงความสามารถของนายก่อนจึงจะทราบได้! ”
พูดจบ โม่จือมิ่งก็ได้หยิบหม้อเล็กสามขา ออกมาจากกล่องที่ข้างกายของเขา โยนให้กับหลินหยุน
“ภายในนี้มีวัตถุดิบยาสมุนไพร พวกเราลองมากลั่น ‘ยารวมจิต’ กันสักกี่เม็ดดู” โมจือมิ่งจ้องเขม็งไปที่หลินหยุน
หลินหยุนรับหม้อเล็กสีเขียวนั้นมา แล้วก็หมุนเล่นในมือชั่วครู่ จากนั้นก็โยนคืนให้กับโม่จือมิ่ง
โม่จือมิ่งมีสายตาที่เย็นชาเล็กน้อย: “ทำไมกัน? เตากลั่นยาก็ยังไม่กล้ารับ หรือว่านายเป็นเพียงแค่คุยโวโอ้อวด? ไม่มีความสามารถที่แท้จริง? ”
หลินหยุนยิ้มเล็กน้อย: “นักกลั่นยาที่แท้จริง ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เตากลั่นยาเลยด้วยซ้ำ”
โม่จือมิ่งส่งเสียงฮึขึ้นอย่างเย็นชา: “กล้าพูดโดยไม่ละลายใจเสียเลย! ไม่มีเตากลั่นยา ข้าจะดูว่านายจะควบคุมไฟได้อย่างไรกัน! ”
หลินหยุนมีรอยยิ้มโค้งขึ้นที่มุมปาก: “นำวัตถุดิบสมุนไพรมาให้ข้า”
โม่จือมิ่งไม่ทราบว่าหลินหยุนต้องการที่จะทำอะไร แต่ก็ได้โยนวัตถุดิบสมุนไพรให้กับหลินหยุน: “ข้าจะดูว่าตกลงนายจะทำอะไรกันแน่? ”
หลินหยุนรับวัตถุดิบสมุนไพรมา ยิ้มเหยียดหยามเล็กน้อย มือข้างหนึ่งก็ดีดนิ้วขึ้นกลางอากาศ แล้วเปลวไฟสีฟ้าก็ลุกไหม้ขึ้นอยู่กลางอากาศ
“ดูให้ดีนะ! ”
หลินหยุนโยนวัตถุดิบสมุนไพรเหล่านั้นไปในอากาศ มือสองข้างวาดลายเส้นทีละเส้นที่ซับซ้อนกลางอากาศ โดยที่ฝ่ามือทั้งสองข้างก็ปล่อยเปลวไฟสีฟ้าออกมาในเวลาเดียวกัน เพื่อกลั่นวัตถุดิบสมุนไพรเหล่านั้นอย่างเงียบสงบ
วัตถุดิบสมุนไพรเหล่านี้คือพวกโสมและโส่วอูธรรมดา ยารวมจิตก็จัดเป็นยาระดับล่าง ต่อให้ระดับขั้นการบำเพ็ญของหลินหยุนตอนนี้ในโลกเซียนนั้นจะสามารถทำได้เพียงกลั่นยาระดับล่างเท่านั้น แต่ยาระดับล่างในโลกเซียน เมื่อปรากฏอยู่บนโลกมนุษย์ก็มีระดับที่เกินกว่าขอบเขตของ ยาทิพย์ชั้นยอดแล้ว
ดังนั้น หลินหยุนจึงสามารถกลั่นยารวมจิตได้อย่างง่ายดาย
ท่าทางที่เฉยชาบนใบหน้าของโม่จือมิ่งนั้น ได้หมดสิ้นไปแล้ว เหลือแต่สีหน้าท่าทางที่ตกตะลึงเข้ามาแทนที่!
นับแต่ที่หลินหยุนก่อเปลวไฟกลางอากาศ โม่จือมิ่งก็ตกตะลึงแล้ว
เขาเคยอ่านเจอในหนังสือโบราณของหุบเขาเทพยา นักกลั่นยาในสมัยโบราณ สามารถที่จะใช้ ชี่ทิพย์พ่นจุดเปลวไฟกลางอากาศได้ แต่นั่นก็มีเพียงนักกลั่นยาขั้นสูงสุดเท่านั้นที่จะสามารถทำได้ โดยที่ทุกคนต่างได้รับขนานนามว่าราชาโอสถ
แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะพบเห็นท่านผู้หนึ่งด้วยตาของตนเอง อีกทั้งยังเป็นหนุ่มที่อายุน้อยขนาดนี้!
โม่จือมิ่งรู้สึกว่าตนเองในช่วงสามปีที่ผ่านมานี้ เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่วทุกสารทิศ เหมือนกับว่าเป็นการเดินทางที่เปล่าประโยชน์
ผู้มีความสามารถชั้นสูงที่แท้จริง เดิมทีอยู่ที่นี่เอง!
ผ่านไปไม่กี่นาที ก้อนของเหลวที่หลินหยุนทำการกลั่นนั้นก็ค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นกลางอากาศ จนในที่สุด ก็กลายเป็นยาทิพย์หนึ่งเม็ดที่แวววาวผ่องใส
“ยาทิพย์ชั้นยอด! ” โม่จือมิ่งอุทานขึ้นเสียงดัง
ยาทิพย์มีกลิ่นหอมฟุ้ง ผิวภายนอกมีแสงสีเขียวล้อมรอบ ซึ่งก็คือลักษณะที่ยาทิพย์ชั้นยอดพึงจะมี
วัตถุดิบสมุนไพรเดียวกัน โม่จือมิ่งสามารถกลั่นออกมาได้เพียงยาทิพย์ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น โดยวิชากลั่นยาของเขา ก็เพียงแค่สามารถรับรองอัตราความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้น แต่ไม่กล้าที่จะคาดหวังว่าจะสามารถกลั่นออกมาเป็นยาทิพย์ชั้นกลางหรือยาทิพย์ชั้นสูง ซึ่งไม่ต้องไปพูดถึง ยาทิพย์ชั้นยอดเลย
แต่ว่า หลินหยุนใช้เวลาไปเพียงไม่กี่นาที ก็สามารถกลั่นยาทิพย์ชั้นยอดได้สำเร็จ!
โม่จือมิ่งรู้สึกว่าวิชาการกลั่นยาที่ตนเองเคยศึกษาในช่วงก่อนนั้น เป็นของปลอม!
“เป็นอย่างนี้ได้อย่างไรกัน! ” โม่จือมิ่งตกตะลึงอย่างมากที่สุด สำหรับตัวเขาแล้ววิชากลั่นยาของหลินหยุนนี้ ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนโดยสิ้นเชิง!
หลินหยุนนำยาทิพย์เม็ดนั้น โยนให้กับโม่จื่อมิ่ง จากนั้นก็ยิ้มเหยียดหยามเล็กน้อย แล้วก็หันหลังเดินจากไป
โม่จือมิ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม มือทั้งสองข้างโอบยาทิพย์เม็ดนั้นที่หลินหยุนได้กลั่นขึ้นมา ด้วยสีหน้าท่าทางที่ตะลึงงัน
“ที่จริงแล้วข้าต้องการจะบอกว่า พวกเราหาสถานที่แห่งหนึ่ง ก่อไฟเพื่อกลั่นยา แต่ว่าคำพูดของข้ายังไม่ทันจะได้เอ่ยขึ้น นายกลับกลั่นยาทิพย์ชั้นยอดจนสำเร็จแล้ว! ”
ในเวลานี้โม่จือมิ่งไม่สามารถหาคำพูดใดมาอธิบายความตะลึงงันที่เกิดขึ้นในจิตใจได้
เขาไม่เคยทราบมาก่อนว่า บนโลกใบนี้จะมีวิธีการกลั่นยาแบบนี้อยู่ด้วย
“มิน่าล่ะถึงสามารถนำเอายาทิพย์ชั้นยอดนี้ให้กับคนทั่วไปกินแทนข้าวได้ เดิมทีที่พวกเรามองว่า ยาทิพย์ชั้นยอดนั้นล้ำค่าสูงสุด แต่ในสายตาของเขาแล้วกลับเป็นเพียงแค่ขยะเท่านั้น! ”
“เหอะเหอะ! ช่างน่าขันเสียจริง! ”
“ช่างมันเถอะ ข้ากลับไปยังหุบเขาเทพยาเพื่อฝึกฝนบำเพ็ญอย่างหนักดีกว่า! จะมาอยู่ที่นี่ให้ อับอายขายหน้าทำไมกันล่ะ? ”
โม่จือมิ่งรับแรงกดดันอย่างหนัก และเดินกลับไปด้วยท่าทางที่สิ้นหวัง
เดิมทีครั้งนี้ที่เขาตกลงเพื่อจะมาแก้แค้นให้กับเยนเป่ยเฟยนั้น เหตุผลส่วนหนึ่งก็เพราะต้องการที่จะทดลองวิชาการกลั่นยาของตนเองว่าตกลงแล้วอยู่ในระดับไหน!
ตอนนี้หลังจากที่ได้ทดลองแล้วจึงทราบว่า เดิมทีวิชาการกลั่นยาที่เขาภาคภูมิใจยิ่งนัก ในสายตาของนักกลั่นยายอดฝีมือที่แท้จริงนั้น แม้แต่ผายลมก็ยังไม่ใช่เลย!
ในคืนนั้นโม่จือมิ่งก็เดินทางกลับไปแล้ว ไม่แม้แต่จะบอกกล่าวกับเยนเป่ยเฟย
วันถัดมา เยนเป่ยเฟยจึงได้รับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ในห้องทำงานของส้งหัวอัน เยนเป่ยเฟยโมโหอย่างมาก ตบโต๊ะแล้วกระโดดขึ้น: “ไอ้โม่จือมิ่งนี้ ไม่ได้เรื่องได้ราวเสียเลย! ยังแก้แค้นให้หยู่เอ๋อไม่สำเร็จ เขาก็กลับไปก่อนแล้ว! ”
“ในเมื่อยาทิพย์พึ่งพาไม่ได้อีกต่อไป ถ้าคิดจะใช้วิธีการทั่วไปเพื่อเล่นงานกำจัดบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป ก็คงจะไม่มีทางเป็นไปได้”
“หลังจากนี้ ก็ทำตามแผนการของข้าที่ได้วางเอาไว้! ” ใบหน้าของเยนเป่ยเฟยเผยถึงรอยยิ้มเย็นชาที่ชั่วร้ายออกมา