ไม่อย่างนั้นด้วยความเคยชินของทุกคน แม้ธูปดอกแรกจะดี แต่ก็ไม่จำเป็นต้องแย่งกัน ถึงยังไงปีก่อนๆ ก็ไม่ได้มีคนไปแย่งธูปดอกแรกที่วัดผาแดงเยอะขนาดนี้ ส่วนใหญ่จะจุดประทัดที่บ้าน กินเกี๊ยว ดูงานราตรีสังสรรค์ร่วมกันวันปีใหม่
ในเมื่อรู้เจตนาของทุกคนที่มาแล้ว ฟางเจิ้งเลยต้องจัดการให้เรียบร้อย เขาประนมสองมือสวดไปบทหนึ่ง “อมิตาพุทธ พวกโยม ทุกคนไม่ต้องแย่งกัน เรื่องธูปดอกแรกไม่มีอยู่จริงหรอก วัดไหนๆ ก็ไม่มีประกาศเรื่องธูปดอกแรก ธูปดอกแรกที่ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ทุกคนสร้างขึ้น มันไม่ได้มีความหมายยิ่งใหญ่นักหรอก
ถ้าจะพูดถึงธูปดอกแรกจริงๆ ธูปดอกแรกที่พวกเราคิดคือธูปดอกแรกในปีใหม่ของทุกคน ธูปนี้จะไม่เปลี่ยนไปเพราะจุดเป็นคนที่สอง สามหรือจุดคนสุดท้าย มันยังคงเป็นธูปของโยม
แค่มีความจริงใจก็จะสัมฤทธิผล แย่งที่หนึ่งกันไม่มีความหมายมากนักหรอก แค่จริงใจ พุทธศาสนาย่อมปกป้องพวกโยม อวยพรให้พวกโยม”
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็มองหน้ากัน มีคำพูดแบบนี้ด้วย?
ตอนนี้เอง ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ไม่ใช่มั้ง? หลวงพี่อู้หมิงบอกว่าธูปดอกแรกสำคัญมาก”
“ใช่ๆ หลวงพี่อู้หมิงบอกว่าถ้าแย่งธูปดอกแรกในปีใหม่ได้จะเป็นบุญกุศลครั้งใหญ่ ปกป้องให้ปลอดภัยและร่ำรวย!”
“หลวงพี่อู้หมิงเคยพูดไว้จริงๆ เมื่อกี้ยังพูดเรื่องบุญกุศลของธูปดอกแรกอยู่เลย”
พอได้ยินดังนั้นมีหลายคนมองอู้หมิง อู้หมิงร้องทุกข์ในใจ ไม่นึกเลยว่าจะถูกขายเร็วขนาดนี้ แน่นอนเขารู้ว่าฟางเจิ้งพูดถูก เพราะไต้ซือหงเหยียนเคยพูดไว้หลายครั้ง และห้ามนักบวชไปเผยแพร่เรื่องธูปดอกแรกด้วย เพียงแต่ว่าไต้ซือหงเหยียนอายุเยอะแล้ว สนใจเรื่องข้างนอกน้อยมาก อีกทั้งชาวปุถุชนยังมีประเพณีแย่งกัน เขาก็จะไล่คนไม่ได้อีก ได้แต่ปล่อยผ่าน
ตอนนี้ฟางเจิ้งพูดแบบนี้ไม่อะไร ถึงยังไงก็เป็นนักบวชเหมือนกัน แถมยังจัดธูปดอกแรกครั้งแรก…
เพียงแต่ว่าในใจอู้หมิงทั้งเสียใจและดีใจ เสียใจที่ถูกขาย ขบคิดว่าควรจะรับมือกับปัญหายังไง และที่ดีใจคือเณรไม่รู้จักการทำกิจการ ธูปดอกแรกเป็นตัวช่วยดึงแสงไฟธูปได้ดีขนาดนี้ยังปฏิเสธ โง่รึเปล่า? มีคนโง่เป็นคู่ต่อสู้แบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องดี
อู้หมิงตรึกตรองอย่างรวดเร็ว รู้ว่าเลี่ยงไม่ได้เลยเดินหน้าไปหนึ่งก้าว ประนมสองมือ “อมิตาพุทธ อาตมาเคยพูดไว้จริงๆ”
สิ้นเสียงทุกคนต่างเงียบ พากันมองฟางเจิ้งกับอู้หมิง ชาวบ้านไม่รู้ว่าธูปดอกแรกดีหรือไม่ แต่อู้หมิงกับฟางเจิ้งเป็นนักบวช ต่างมีคำพูดของตัวเอง แค่ต้องดูว่าใครดีกว่าก็จะฟังคนนั้น
ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว ธูปดอกแรกคือธูปดอกแรกของทุกคน เปลี่ยนเป็นธูปดอกแรกที่รวมกับทุกคนตั้งแต่เมื่อไร? นี่ไม่ใช่การพูดลวงหลอกคนอื่นเหรอ? เขาไม่พอใจ จึงประนมสองมือแสดงความเคารพ “ขอถามหน่อยว่าท่านบำเพ็ญเพียรที่วัดใด?”
อู้หมิงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ยิ้มตอบ “อาตมาบำเพ็ญเพียรที่วัดผาแดง นับดูแล้วบำเพ็ญเพียรมาสิบกว่าปี หลวงพี่ฟางเจิ้ง นับจากพรรษาแล้ว เราสองคนพอๆ กัน แต่อาตมาบวชก่อน ท่านต้องเรียกอาตมาว่าศิษย์พี่”
ฟางเจิ้งกลอกตาด่าทอในใจ ‘ไอ้ห่านี่ แค่อ้าปากก็จะเอาเปรียบกันแล้ว! ได้ อยากเล่นใช่ไหม จะเล่นกับแกเอง!’
ฟางเจิ้งจึงยิ้มกว้างกว่าเดิม ยิ้มเอ่ย “หลวงพี่อู้หมิงดำรงตำแหน่งใดที่วัดผาแดง? ตอนนี้อาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี”
สิ้นเสียง รอยยิ้มอู้หมิงแข็งค้าง เขามีตำแหน่งเล็กน้อยในวัดผาแดงจริงๆ แต่วัดผาแดงก็เป็นเพียงวัดเล็กเท่านั้น…พูดตำแหน่งไปก็น่าขายหน้าเปล่าๆ! แม้วัดเอกดรรชนีของฟางเจิ้งจะเล็ก แต่อีกฝ่ายเป็นเจ้าอาวาส! ดึงเข้าไปเทียบได้กับระดับหลวงจีนหงเหยียน! เทียบกันแบบนี้แล้ว อู้หมิงพลันเตี้ยกว่าฟางเจิ้ง
อู้หมิงยิ้มแต่ภายในไม่ยิ้ม “เป็นนักบวช ไม่จำเป็นต้องพูดถึงภาระเหล่านี้หรอก หลวงพี่ฟางเจิ้ง ธูปดอกแรกเป็นเรื่องสำคัญในสำคัญ ทำไมท่านกลับพูดไม่ให้ความสำคัญแบบนี้ อีกอย่างท่านก็เตรียมธูปดอกแรกไว้ให้ใครแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ฟางเจิ้งเข้าใจแล้ว อู้หมิงจงใจมาหาเรื่องเขา! คิดได้ดังนั้นฟางเจิ้งก็ไม่เกรงใจแล้ว ยืดหลังตรง ลดสองมือลง! ดวงตาเป็นประกายวาว วัดได้รับการเสริมอิทธิฤทธิ์มาแล้ว พระธรรมก็เสริมอิทธิฤทธิ์มาแล้ว ฝึกฝนอักษรพุทธองค์มังกรจนน่าเกรงขาม จีวรขาวจันทร์ขยายกลิ่นอายและเอกลักษณ์ให้ใหญ่ขึ้น! พริบตานั้นเอง ฟางเจิ้งในสายตาทุกคนเหมือนสูงใหญ่กว่าเดิม ในตัวเหมือนมีแสงแห่งพุทธสว่างไสว มองแวบแรกจะเกิดความรู้สึกถูกตาสบายใจ!
อู้หมิงรู้สึกชัดเจนเป็นพิเศษ กลิ่นอายของฟางเจิ้งพุ่งมาหาเขาทั้งหมด เขาร้อนตัวขึ้นมา ภายใต้สถานการณ์ตัวเขาลดต่ำลง แต่อีกฝ่ายสูงขึ้น จึงถูกกดดันจนเหงื่อเย็นๆ ซึมตรงหน้าผาก!
ฟางเจิ้งแค่นเสียงขึ้นจมูก “หลวงพี่อู้หมิง ถ้าท่านไม่พูดเรื่องนี้ก็ช่าง ในเมื่อพูดแล้ว อาตมาต้องถามท่านหน่อย”
“เชิญ” อู้หมิงคิดว่าฝีปากตนย่อมเหนือกว่าเณรที่ไม่เคยผ่านโลกมาอย่างแน่นอน มีคนหนุนหลังอยู่จึงไม่เกรงกลัว!
ฟางเจิ้งพูดด้วยความโอหัง “อาจารย์ท่านสอนความหมายของพุทธศาสนาแบบนี้เหรอ?! บิดเบือนความหมายแท้จริงของพุทธศาสนา ท่านรู้สำนึกไหม?!” เสียงฟางเจิ้งดังกังวานขึ้นเรื่อยๆ ถึงที่สุดเหมือนพระพุทธองค์ตะโกนด้วยความโกรธ ดวงตาถลึงกลมโต พลังอำนาจเปี่ยมล้นกว่าเดิม!
พลังอำนาจเหลือล้นกดทับเข้าไป อู้หมิงรู้สึกว่าสองขาอ่อนยวบ ปากสั่น คำพูดที่เตรียมไว้มากมายอึ้งจนพูดไม่ออก!
ฟางเจิ้งเอ่ยต่อ “พูดจาเหลวไหลในวัดต่อหน้าพุทธศาสนา ต่อหน้าอุโบสถ บิดเบือนความจริง บิดเบือนความหมายแท้จริงของพุทธศาสนา โกหกหลอกลวงชาวบ้านเรื่องแย่งธูปดอกแรก ท่านรู้สำนึกไหม!”
ความผิดต่างๆ ถูกยกออกมาทีละข้อ แต่ละประโยคดังก้องกังวาน มีพลังอำนาจมากขึ้นทีละประโยค! กดจนอู้หมิงซวนเซ สองขาอ่อนยวบ ต้องจับหยางผิงข้างๆ ไว้โดยจิตใต้สำนึก
หยางผิงเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้ว การโต้ตอบของอู้หมิงอธิบายทุกอย่างแล้ว นัยน์ตาพลันมีประกายรังเกียจวูบผ่าน!
ฟางเจิ้งกล่าวต่อ “ทางภูเขาแคบ วัดเล็ก อุโบสถมีหลังเดียว! ท่านให้ทุกคนแย่งจุดธูปดอกแรก ถ้าไม่ระวังเกิดการเหยียบกันจะทำยังไง? พุทธศาสนาแย่งธูปดอกแรก แต่ไม่แย่งชีวิตคน! ชีวิตคนใหญ่กว่าฟ้า ท่านกลับเมินเฉย มีเจตนาอะไรกันแน่?!”
ฟางเจิ้งถามอีก อู้หมิงปากสั่น พูดไม่ออก
พวกชาวบ้านได้ยินดังนั้นพลันรู้สำนึก
ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ไอ้สารเลวนี่ให้ฉันอุ้มลูกส่งไปข้างหน้า นี่ถ้าแย่งได้มาลูกฉันจะไม่เป็นอันตรายเหรอ?”
“ฉันอายุปูนนี้แล้วเขายังให้ฉันไปเบียดข้างใน บอกว่าธูปดอกแรกจะปกป้องฉันให้ปลอดภัย! เจ้าเด็กนี่มีเจตนาไม่ดี!”
“ตอนแรกก็คิดว่าเป็นหลวงพี่ แต่นี่มันคนไม่รู้จักบุญคุณ คนหิวโซนี่หว่า!”
“ไม่ได้เรื่องเลย!”
………
กลุ่มคนฮึกเหิมขึ้นมา คนเหลือคณานับประณาม อู้หมิงหน้าตาย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็รู้ว่าตอนนี้จะถอยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงได้เหม็นโฉ่ไปหมดแน่! ถ้าเรื่องนี้ดังออกไป เขาคงขายหน้าตาย! แล้วทีนี้เขาคงอดเป็นเจ้าอาวาสแล้วแน่ๆ!
ดังนั้นอู้หมิงจึงต้านแรงกดดันไว้ พูดขึ้น “ฟางเจิ้ง ท่านอย่ามาใส่ร้ายคนอื่น ทุกคนต่างรู้ความสำคัญของธูปดอกแรกกันทั้งนั้น! หรือท่านไม่รู้? อีกอย่างแค่จุดธูปก็มีก่อนหลังแล้ว ท่านว่าธูปดอกแรกไม่สำคัญแล้วใครจะมาจุดธูปดอกแรก? หรือว่าท่านมีคนที่จะให้ธูปดอกแรกแล้ว? ตามที่อาตมารู้มา วัดใจดำบางแห่งเป็นพวกแอบขายธูปดอกแรก หึๆ…”
……………………