ตกลงอยู่ที่ไหนกันแน่?
ศูนย์กลางพลังงานมีอยู่อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นไม่มีทางที่จะรักษาการขับเคลื่อนทำงานของค่ายกลนิรันดร์กาลได้
แต่ไม่ทราบว่าไปแอบซ่อนอยู่ที่ตรงไหน?
ตามที่หลินหยุนเข้าใจเย่เยว่นั้น ศูนย์กลางพลังงานของค่ายกล จะอยู่บริเวณใกล้กับวังเทพจันทรา
นอกเสียจากว่า ค่ายกลนี้เย่เยว่ไม่ได้เป็นคนจัดวางขึ้น
แต่ค่ายกลนิรันดร์กาลนี้เย่เยว่เป็นผู้คิดค้นขึ้นมาด้วยตนเอง คนอื่นไม่มีทางที่จะรับรู้ได้อย่างแน่นอน
หลินหยุนเดินออกมาจากตำหนักอีกครั้ง จากนั้นก็หันมองไปที่ตำหนักพร้อมกับขมวดคิ้วและครุ่นคิดอย่างหนัก
ทันใดนั้น หลินหยุนก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
พลังดวงตาทำลายล้างได้เริ่มต้นใช้งานขึ้นอีกครั้ง โดยได้สังเกตวังเทพจันทราที่อยู่เบื้องหน้าอย่างจริงจัง
ภายใต้พลังดวงตาทำลายล้าง ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นเส้นด้ายกฎเกณฑ์ทั้งหมด แต่มีเพียงสิ่งเดียวก็คือวังเทพจันทราที่นึกไม่ถึงว่าจะยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ถ้าหากไม่ใช่ปัญหาจากพลังดวงตาทำลายล้าง ถ้าอย่างนั้นวังเทพจันทรานี้คงจะมีปัญหาอย่างแน่นอน
หลินหยุนหยุดใช้พลังดวงตาทำลายล้าง แล้วก็ตั้งใจสังเกตวังเทพจันทราอย่างจริงจัง
“ที่จริงแล้วเป็นการแยกร่างแปลงกาย! มิน่าล่ะที่ภายใต้พลังดวงตาทำลายล้างก็ยังคงไม่เกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงใด ๆ โดยใช้ร่างที่แปลงกายของตนเป็นศูนย์กลางพลังงาน ช่างแตกต่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสียจริง! มิน่าล่ะที่แม้แต่ข้าเองก็ยังค้นหาไม่พบ”
ใบหน้าของหลินหยุนเผยรอยยิ้มที่แปลกประหลาดขึ้นโดยพลัน
“เซียนป้ายเยว่ผู้นี้ตายอย่างไม่เป็นธรรมเสียจริง! ”
ซูจื่อเหลียงรู้สึกว่าหลินหยุนคงจะค้นพบศูนย์กลางพลังงานแล้ว ก็เบาใจลงบ้างเช่นกัน และถามขึ้นว่า: “อาจารย์ที่ท่านพูดนี้หมายความว่าอย่างไร? ”
หลินหยุนพูดขึ้นว่า: “ศูนย์กลางพลังงานที่พวกเรากำลังค้นหานั้น ก็คือตำหนักแห่งนี้! ”
“ทัณฑ์ฟ้าผ่าคราวนั้นที่จริงแล้วต้องการจะผ่าลงมาที่ตำหนักแห่งนี้ ส่วนเซียนป้ายเยว่ผู้นั้นก็พลอยได้รับความเดือดร้อนกันไปด้วย”
พลังความสามารถของซูจื่อเหลียงในขณะนี้ ไม่มีทางที่จะทราบได้ว่าทัณฑ์ฟ้าผ่านั้นคืออะไรกันแน่ ได้ยินแล้วก็งุนงงไปหมด และก็ยิ่งไม่ทราบด้วยว่าทำไมเซียนป้ายเยว่ถึงต้องพลอยได้รับความเดือดร้อนจากตำหนักแห่งนี้ด้วย แต่ว่าเขาก็ไม่ได้สอบถาม เพราะว่าเรื่องราวเหล่านี้แม้หลินหยุนจะพูดออกมาแล้วเขาก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี
เพียงแค่มุ่งมั่นตั้งใจบำเพ็ญฝึกฝน จนพลังความสามารถถึงขั้นแล้ว เขาก็จะเข้าใจทุกอย่างได้เอง
หลินหยุนเองก็ไม่ได้อธิบาย ตามระดับขั้นของซูจื่อเหลียงแล้ว ต่อให้อธิบายไปเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
กล่าวโดยสรุปก็คือ ในตอนนั้นผู้ที่ได้จัดวางค่ายกลนี้ อย่างน้อยที่สุดก็คงจะมีพลังความสามารถในระดับขั้นแดนดั่งเทพ โดยได้ใช้วิธีการกลายร่างเป็นวัตถุ ทำให้ศูนย์กลางพลังงานเปลี่ยนแปลงเป็นตำหนักวังเทพจันทรา
การกลายร่างเป็นวัตถุ ก็คือพลังอภินิหารของการแยกร่างแปลงกาย ตามตำนานเล่าขานของจีนสมัยโบราณ เคยมีลิงที่เก่งกาจมากความสามารถตัวหนึ่ง สามารถที่จะฝึกฝนการแยกร่างแปลงกายจนถึงขั้นสูงสุดได้
การกลายร่างเป็นวัตถุ ก็มีหลักการที่เหมือนกับการแยกร่างแปลงกาย เพียงแค่แปลงกายเป็นวัตถุโดยที่ไม่ใช่การแยกร่างของตนเองออกมา ซึ่งเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม
เพียงแค่อาศัยการกลายร่างเป็นวัตถุไม่สามารถที่จะทำให้เกิดทัณฑ์ฟ้าผ่าได้ คาดว่าเซียนป้ายเยว่คงคิดที่จะอาศัยค่ายกลนิรันดร์กาลของวังเทพจันทรา เพื่อมาต้านทานทัณฑ์ฟ้าผ่า ดังนั้นจึงได้เลือกที่จะข้ามผ่านทัณฑ์อยู่ภายในวังเทพจันทรา
ที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ เดิมทีวังเทพจันทราก็คือการกลายร่างเป็นวัตถุของผู้ที่มีพลังความสามารถแดนดั่งเทพ โดยที่ทัณฑ์ฟ้าผ่าได้เข้าใจผิดว่าผู้ที่ข้ามผ่านทัณฑ์นั้นอยู่ในขั้นแดนดั่งเทพแล้ว
ร่างกายแดนยาทอง จะสามารถต้านทานฟ้าผ่าทัณฑ์ได้อย่างไรกัน?
ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือนอกจากตำหนักวังเทพจันทราที่เกิดจากการกลายร่างเป็นวัตถุแล้ว ทุกสิ่ง ทุกอย่างในตำหนักทั้งหมด ก็ล้วนถูกไฟเผาไหม้กลายเป็นผุยผงไปหมด
นายว่าการตายของเซียนป้ายเยว่เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมล่ะ?
คาดการณ์ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเซียนป้ายเยว่กับเทพจันทราคงจะไม่สนิทสนมคุ้นเคยกันนัก ไม่อย่างนั้นเทพจันทราเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่บอกความลับของตำหนักนี้ให้เขาฟัง เลยทำให้เขาอยู่ที่นี่เพื่อข้ามผ่านทัณฑ์ฟ้าผ่า
การใช้การกลายร่างเป็นวัตถุของผู้ที่มีพลังความสามารถแดนดั่งเทพมาเพื่อเป็นศูนย์กลางพลังงานของค่ายกล สามารถที่จะทำให้ค่ายกลนี้ขับเคลื่อนทำงานได้เป็นหลายพันปีเลยทีเดียว
“แต่น่าเสียดายที่ ตำหนักแห่งนี้ไม่สามารถนำพาไปได้ ทำได้เพียงอยู่ที่นี่เพื่อฝึกฝนดูดซับพลังของมัน” หลินหยุนหมดหนทาง ถ้าหากในตอนนี้เขาอยู่ในระดับขั้นแดนดั่งเทพ ก็จะสามารถที่จะควบคุมการกลายร่างเป็นวัตถุให้มีขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กได้ แต่ตอนนี้เขาแม้แต่ระดับขั้นแดนยาทองก็ยังฝึกฝนไม่บรรลุ จึงไม่สามารถที่จะควบคุมการกลายร่างเป็นวัตถุได้ ต่อให้เวลาผ่านไปสองพันกว่าปี แม้พลังของการกลายร่างเป็นวัตถุจะสูญสิ้นไปเป็นจำนวนมาก ก็ยังคงไม่ใช่ผู้บำเพ็ญระดับขั้นแดนฝึกพลังอย่างเขาจะสามารถควบคุมได้อยู่ดี
แต่ว่า หลินหยุนก็ยังคงไม่รีบร้อนที่จะดูดซับพลังของตำหนักแห่งนี้ แต่ได้กลับหันไปยังประตูทางเข้าที่อยู่ไม่ไกล แล้วตะโกนพูดขึ้นว่า: “พวกท่านทั้งหลายแห่งสำนักอู๋จี๋ ออกมากันได้แล้ว”
ซูจื่อเหลียงขมวดคิ้ว แล้วมองไปที่ประตูทางเข้าอย่างระมัดระวัง
“ไอ้หนุ่มน้อย นายยังคงมีความลับปกปิดต่อพวกเราจริง ๆ ด้วย! โชคดีที่พวกเรายังคงมีความระแวงอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นคงจะถูกนายหลอกลวงเอาแล้ว! ” ผู้อาวุโสเก้าเดินนำออกมา โดยด้านหลังยังมีผู้อาวุโสอีกสามท่านเดินตามออกมาด้วย
ผู้อาวุโสสี่ท่านแห่งสำนักอู๋จี๋ กองกำลังนี้แข็งแกร่งยิ่งใหญ่มากเลยทีเดียว
“ตำหนักแห่งนี้นับเป็นสิ่งของชิ้นสุดท้าย รวมสามชิ้น ไม่ขาดแม้แต่ชิ้นเดียว! ” หลินหยุนพูดขึ้น
ผู้อาวุโสเก้าเงยหน้าและหัวเราะเสียงดังอย่างเหยียดหยาม: “ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้หนุ่มน้อย นายยังคงคิดว่าพวกเราจะยอมปล่อยให้นายนำสิ่งของสองชิ้นนั้นกลับไปเหรอ? นายช่างไร้เดียงสาเสียจริง! ”
“สำนักอู๋จี๋ของพวกเราเสียสละทั้งแรงกายและวัตถุเป็นจำนวนมาก เพื่อเฝ้าปกป้องตำหนักแห่งนี้ มาเป็นเวลานาน ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นสร้างผลประโยชน์ให้กับนาย หากข่าวสารแพร่กระจายออกไปแล้วสำนักอู๋จี๋ของพวกเราจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนกันล่ะ? ”
“นำสิ่งของวางคืนลงไว้เดี๋ยวนี้ และจากความดีความชอบของนายที่ได้ช่วยทำลายค่ายกลลงนั้น จะปล่อยไว้ชีวิตนายไป! ” ผู้อาวุโสเก้าสีหน้าท่าทางเย็นชา แฝงไปด้วยพลังสังหารอย่างรุนแรง
ซูจื่อเหลียงพูดขึ้นด้วยความโกรธว่า: “พวกนายไม่ควรที่จะมีชื่อว่าสำนักอู๋จี๋ ควรจะมีชื่อว่าสำนักอู๋ฉื่อเสียมากกว่า! ”
“รนหาที่ตายนัก! ” ผู้อาวุโสสามที่อยู่ด้านหลังผู้อาวุโสเก้า โกรธจัด เงาร่างเคลื่อนไหวแวบหนึ่ง แล้วก็พุ่งตรงชกเข้าไปที่ซูจื่อเหลียง
“คิดว่ากลัวนายหรือยังไง! ” ซูจื่อเหลียงตะโกนใส่อย่างเย็นชา แล้วก็ปล่อยหมัดตอบโต้เข้าใส่
“ดูเหมือนว่านายจะไม่ยอมมอบของคืนกลับออกมา! ” ผู้อาวุโสเก้ายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วตะโกนขึ้นว่า: “บุกลุยเข้าใส่พร้อมกัน! ”
ขณะนั้น ผุ้อาวุโสสามท่านของสำนักอู๋จี๋ ก็บุกเข้าจู่โจมหลินหยุนพร้อมกัน
ทั้งสามท่านนี้ต่างก็เป็นปรมาจารย์แดนพรสวรรค์ทั้งหมด แต่ว่าวิชาบู๊ของโลกบู๊โบราณจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าโลกบู๊เป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้พลังความสามารถของทั้งสามคน เทียบเท่าได้กับปรมาจารย์พรสวรรค์ขั้นต้นในโลกบู๊
พลังของทั้งสามคนรวมกัน ไม่อาจที่จะมองข้ามได้ ซึ่งเหนือกว่าฉิวเชียนซาในตอนนั้นแล้ว
หลินหยุนเองก็ไม่กล้าที่จะเมินเฉย เริ่มต้นต่อสู้ก็ใช้สิบแปดท่าต้าเต๋าในทันที
การปะทะต่อสู้กันครั้งแรก พลังความสามารถของทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับพอ ๆ กัน ยังไม่มีใครได้เปรียบใคร
ผู้อาวุโสเก้าตะโกนเสียงดัง: “พวกเราประเมินค่าไอ้หนุ่มนี้ต่ำเกินไป ใช้พลังท่าไม้ตายโจมตีเลย! ”
“ฝ่ามือทลายทัพ! ”
ผู้อาวุโสอีกสองท่านก็ตะโกนเสียงดังเช่นกัน
“ฝ่ามือลมหวล! ”
“ฝ่ามืออาทิตย์ตกดิน! ”
หลินหยุนก็ไม่ได้หยุดการลงมือ โดยใช้ท่าที่สองของสิบแปดท่าต้าเต๋า
“ท่าแยกน้ำ! ”
ฟุบ!
ผู้อาวุโสทั้งสามท่านถูกโจมตีจนต้องถอยหลังกลับ หลินหยุนก็ต้องถอยหลังกลับสามก้าวด้วยเช่นกัน
“ค้อนดาวร่วง! ”
จากนั้น หลินหยุนก็เข้าจู่โจมอีกครั้ง
ผู้อาวุโสเก้าตะโกนพูดว่า: “พลังความสามารถของไอ้หนุ่มน้อยนี้แข็งแกร่งไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ทุกคนห้ามออมแรงออมพลังเอาไว้เด็ดขาด ใช้พลังความสามารถออกมาให้หมดอย่างเต็มที่เลย! ”
พลังความสามารถของทั้งสามท่านไม่ธรรมดาจริง ๆ แต่ขณะที่หลินหยุนกำลังใช้กระบวนท่าที่ห้านั้น ในที่สุดทั้งสามคนก็พ่ายแพ้แล้ว
“ไอ้หนุ่มนี้เป็นปีศาจร้ายมาจากที่ไหนกันแน่ ทำไมถึงได้แข็งแกร่งมากขนาดนี้! ” ผู้อาวุโสเก้าแสดง สีหน้าท่าทางที่ตื่นตระหนก
“ใช่เลย พวกเราสามคนร่วมมือกัน หากสอดส่องค้นหาทั่วทั้งโลกบู๊ปลอม ก็คงจะไม่มีผู้ใดที่จะมาเป็นคู่ต่อกรของพวกเราได้! ไอ้หนุ่มน้อยนี้ตกลงว่าผุดออกมาจากที่ไหนกันแน่! ” ผู้อาวุโสห้าอุทานขึ้นด้วยความตกตะลึง
“ไม่ต้องไปสนใจอะไรมากก่อนในตอนนี้ ไอ้หนุ่มนั่นบุกโจมตีเข้ามาอีกแล้ว! ”
ครั้งนี้ทั้งสามคนต่างก็ไม่พูดไม่จา ในใจมีความคิดอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือ เผ่น!
จะสามารถวิ่งหนีได้ไกลแค่ไหนก็วิ่งไปให้ไกลที่สุด เพราะพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อกรของหลินหยุนอย่างแน่นอน
หลินหยุนก็ไม่ได้วิ่งไล่ตาม ทั้งสามคนนี้มีพลังความสามารถที่แข็งแกร่งมากพอตัว จากระดับการบำเพ็ญฝึกฝนของเขาในตอนนี้ หากคิดที่จะฆ่าสามคนนี้ คงจะต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากเลยทีเดียว
อีกทั้งเขากับทั้งสามคนนี้ ก็ไม่ได้มีความแค้นที่ใหญ่โตอะไรกันนัก
เห็นว่าผู้อาวุโสเก้าและคนอื่น ๆ ต่างก็วิ่งหนีกันไปหมดแล้ว ผู้อาวุโสสามที่กำลังต่อสู้อยู่กับ ซูจื่อเหลียงก็ไม่มีจิตใจที่จะต่อสู้ต่อไปแล้ว จึงใช้กระบวนท่าหลอกลวง แล้วก็ถือโอกาสวิ่งหนีเช่นกัน
ซูจื่อเหลียงคิดที่จะวิ่งไล่ตาม กลับถูกหลินหยุนเรียกให้หยุด: “ไม่ต้องไล่ตามไปหรอก รีบลงมือปฏิบัติเรื่องที่สำคัญดีกว่า! ”
“รับทราบ! ” ซูจื่อเหลียงไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้าที่จะขัดขืนต่อคำสั่งของหลินหยุน
“นายไปพร้อมกันกับข้า เพื่อดูดซับพลังของการกลายร่างเป็นวัตถุนี้! ” หลินหยุนเดินไปยังด้านหน้าประตูของตำหนัก แล้วก็จัดวางค่ายกลเพื่อปกป้องคุ้มกันภัย จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิ
ซูจื่อเหลียงนั่งอยู่ด้านหลังของหลินหยุน ฝึกฝนขับเคลื่อนพลังอย่างสงบ เพื่อเริ่มดูดซับพลังจากตำหนักแห่งนี้