หลินหว่านไม่ยอมเสียโอกาสในครั้งนี้ แต่พอเห็นว่าเซียวจิ่งสือยืนยันเช่นนี้ จึงไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรดี
เซียวจิ่งสือเห็นว่าหลินหว่านลังเลก็ไม่สบายใจเอามากๆ เขาพูดทั้งหมดนี้ก็เพื่อไม่ต้องการให้อารมณ์ของหลินหว่านต้องกระทบกระเทือนมากเกินไป เขาพูดเพราะเป็นห่วงสภาพจิตใจของหลินหว่านต่างหาก
“หลินหว่าน ผมรู้ว่าผมไม่ใช่ผู้จัดการของคุณไม่มีสิทธิ์เข้าไปแทรกแซงการตัดสินใจของคุณ แต่ผมรู้ว่าคุณมีความสามารถ แล้วผมเข้าใจอวิ๋นซีดี ว่าถ้าหากคุณปฏิเสธ เธอจะไม่ติดต่อหนังเรื่องนี้มาให้หรอก เธอจะคำนึงถึงสุขภาพของคุณก่อนเสมอ ดังนั้นคุณรับปากผมได้ไหมว่า จะไม่รับแสดงหนังเรื่องนี้” เซียวจิ่งสือพูดเสียงร้อนรน
เซียวจิ่งสือจ้องหลินหว่านจนแทบทะลุได้เลย เขาอยากรู้ว่าหลินหว่านคิดอย่างไรกันแน่ ถ้าหากหลินหว่านคิดจะแสดงหนังเรื่องนี้ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องขัดขวางให้ได้ สำหรับเซียวจิ่งสือแล้ว เขาอยากให้หลินหว่านสุขสงบและปลอดภัย ไม่ต้องมีเรื่องยุ่งยากมากมายอย่างนั้น
หลินหว่านพูดอ้ำอึ้ง “สภาพจิตใจของฉันตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว คุณไม่ต้องห่วงว่าฉันจะกลับไปมีปัญหาทางจิตแบบนั้นอีกเพราะหนังเรื่องนี้ แล้วฉันก็เห็นว่าบทหนังคราวนี้สุดยอดมาก ฉันไม่อยากทิ้งโอกาสนี้ไปค่ะ แล้วยังได้ร่วมงานกับผู้กำกับใหญ่ซะด้วย เซียวจิ่งสือคะ ฉันรู้ว่าคุณเป็นห่วงฉันและทำเพื่อฉัน แต่ฉันชอบหนังเรื่องนี้มากจริงๆ ค่ะ คุณให้ฉันแสดงเถอะนะคะ ฉันจะดูแลตัวเองอย่างดีแน่นอนค่ะ”
หลินหว่านพูดอย่างกริ่งเกรง เธอรู้ว่าเซียวจิ่งสือเป็นห่วงเธอ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเธอจึงไม่อาจต่อว่าเซียวจิ่งสือ
เซียวจิ่งสือคิดไม่ถึงว่า แม้เขาจะขอร้องเธอแต่หลินหว่านยังคิดจะแสดงหนังเรื่องนี้อยู่อีก เซียวจิ่งสือโกรธจนไฟลุกเขาไม่อยากให้หลินหว่านไปเสี่ยงอีก เกิดว่าหนังเรื่องนี้ทำให้หลินหว่านตึงเครียดขึ้นมาจนสภาพจิตเพี้ยนไปอีก นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากพบเจออีกเลย
เซียวจิ่งสือลุกพรวดขึ้นจากโซฟา เขาจ้องหลินหว่านเขม็งแล้วพูดเสียงดังว่า “หลินหว่าน คุณรู้หรือเปล่าว่าคราวที่แล้วเพราะหนังเรื่องนั้นคุณซึมเศร้าอยู่ทั้งวัน ผมเป็นห่วงขนาดไหนรู้ไหม ตอนนั้นผมอยากให้คุณอาการดีขึ้นอยู่ทุกวัน กลับมาเป็นคุณที่สดชื่นแจ่มใสเหมือนก่อน ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรคราวนี้ผมจะไม่ยอมให้คุณไปแสดงหนังเรื่องนี้เด็ดขาด ผมคิดเอาไว้แล้ว และจะไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด คุณจะพูดยังไงก็เปล่าประโยชน์ ผมไม่ยอมให้คุณไปเสี่ยงอีก ผมหวังว่าคุณจะไม่เห็นแก่งานจนไม่สนว่าจะทำร้ายร่างกายและจิตใจอย่างไรบ้าง ผมขอบอกไว้อย่างชัดเจนตรงนี้ ผมไม่ยอมให้คุณไปแสดงหนังเรื่องนั้นหรอก”
เซียวจิ่งสือพูดจบก็พ่นลมจากปาก กลับไปนั่งลงบนโซฟา ขมวดคิ้ว ยังมีท่าทีโกรธมาก เรื่องที่เซียวจิ่งสือโกรธที่สุดก็คือ ทำไมหลินหว่านไม่สนใจสุขภาพของตัวเอง มันทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองมาก
หลินหว่านเห็นเซียวจิ่งสือนั่งหน้าบูดอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางโกรธจนควันออกหู เธอรู้ว่าไม่มีทางเปลี่ยนความตั้งใจของเซียวจิ่งสือได้ หลินหว่านรู้สึกลำบากใจมาก เธออยากแสดงหนังเรื่องนี้ เธอชื่นชอบบทหนังเรื่องนี้มาก และโอกาสครั้งนี้ก็ได้มาไม่ง่ายนักซึ่งเธอไม่อยากสูญเสียมันไป
หลินหว่านลังเลอยู่นานไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร สุดท้ายเธอตัดสินใจว่าจะปิดบังเซียวจิ่งสือไปก่อน เธอเชื่อว่าต่อให้เซียวจิ่งสือรู้เรื่องนี้ก็ต้องให้อภัยเธออยู่ดี แต่สถานการณ์เฉพาะหน้าตอนนี้หลินหว่านไม่รับปากคำขอของเซียวจิ่งสือไม่ได้เสียด้วยสิ ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะรับปากไปก่อนแล้วค่อยมาว่ากันทีหลัง
หลินหว่านขยับมาตรงหน้าเซียวจิ่งสือ ยิ้มพลางพูดว่า “เซียวจิ่งสือ คุณอย่าโมโหไปเลยนะ ฉันไม่แสดงก็ได้ ฉันรู้ว่าคุณเป็นห่วงและทำเพื่อฉัน ฉันซาบซึ้งใจมาก ครั้งนี้ฉันจะเชื่อฟังคุณก็แล้วกัน เอาล่ะ คุณก็อย่าโกรธไปเลยนะ”
เซียวจิ่งสือเงยหน้าขึ้นมองหลินหว่าน พอได้ยินหลินหว่านบอกว่าไม่แสดงหนังเรื่องนี้เขาก็รู้สึกยินดีขึ้นมา
เซียวจิ่งสือเผยรอยยิ้มภาคภูมิใจกับหลินหว่าน พูดว่า “คุณรู้ว่าผมทำเพื่อคุณก็ดีแล้ว แต่ต่อนี้ไปเรื่องงานของคุณ ผมหวังว่าคุณจะคำนึงถึงสุขภาพของคุณมาก่อนเป็นอันดับแรก อย่าทำให้ร่างกายหรือจิตใจเกิดความเครียดเพราะงานอีก ในเมื่อตอนนี้คุณยอมรับฟังคำพูดของผม งั้นเมื่อครู่ผมจะยกโทษให้คุณก็แล้วกัน”
“อื้อ ฉันจะให้ความสำคัญกับสุขภาพเป็นอันดับแรก คุณวางใจได้ แล้วฉันก็ยังมีคุณอยู่ไม่ใช่เหรอคะ ต่อให้ฉันไม่สบายไปก็จะเป็นไรไป คุณจะอยู่ข้างกายฉันตลอดไม่ใช่เหรอ” หลินหว่านพูดเย้า
หลินหว่านมีสายใยความรู้สึกเกาะเกี่ยวกับเซียวจิ่งสือเกิดขึ้นในใจ เพียงแต่ตอนนี้เธอยังไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง
“คุณพูดอะไรนะ คุณต้องไม่เป็นอะไร แน่นอนว่าผมต้องอยู่ข้างกายคุณอยู่แล้ว ผมวาดหวังไว้มากขนาดไหนที่จะได้อยู่กับคุณตลอด แต่งานของคุณยุ่งอยู่ตลอดทั้งวันเลย ผมเองก็ไม่มีเวลาไปอยู่เป็นเพื่อนคุณด้วยสิ” เซียวจิ่งสือพูดด้วยรอยยิ้มบาง
ถึงแม้เซียวจิ่งสือจะพูดประโยคนี้ด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจนั้นไม่ชอบใจเอามากๆ เขากับหลินหว่านมักจะเจอกันน้อยมากเพราะเรื่องงาน ซึ่งมันทำให้เซียวจิ่งสือไม่ชอบใจเป็นที่สุดแต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย เขาได้แต่โผล่หน้าไปเซอร์ไพร์สเธอเป็นครั้งคราวเท่านั้น
หลินหว่านทานข้าวกับเซียวจิ่งสือเสร็จแล้วไปทำงาน แม้ว่าพวกเขายังอยากอยู่ด้วยกันอีกสักหน่อย แต่งานก็มักจะยุ่งมากอยู่เสมอ
ไม่นานนักหลินหว่านก็มาถึงบริษัท เธอไปหาอวิ๋นซี แล้วทั้งสองก็เริ่มปรึกษากันเรื่องของหนังเรื่องนั้น
“อวิ๋นซี เธอติดต่อทางกองถ่ายสิว่าไปทดสอบหน้ากล้องได้เมื่อไหร่ ครั้งนี้ฉันมั่นใจมากเลยนะ ฉันเชื่อว่าจะคว้าบทนำนี้มาได้แน่ แล้วฉันก็ชอบบทหนังเรื่องนี้มากด้วย มันดึงดูดให้ฉันอยากแสดงบทบาทในหนังให้ดีที่สุด แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือห้ามบอกเซียวจิ่งสือว่าฉันรับแสดงหนังเรื่องนี้ เธอต้องระวังอย่าเผลอหลุดปากพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขาล่ะ ปิดเขาไปก่อนซักระยะหนึ่งก็แล้วกัน รอทุกอย่างลงตัวแล้ว เขาก็ขัดขวางอีกไม่ได้แล้วล่ะ”
อวิ๋นซีรู้สึกประหลาดใจมาก เซียวจิ่งสือกับหลินหว่านใกล้ชิดกันมาก ช่วยเหลือกัน พูดกันได้ทุกเรื่อง ครั้งนี้ทำไมหลินหว่านต้องปิดบังเขาด้วยนะ
อวิ๋นซีขมวดคิ้วพูดว่า “ทำไมจึงบอกเซียวจิ่งสือไม่ได้ล่ะ มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า”
“เขาไม่เห็นด้วยที่จะให้ฉันแสดงหนังเรื่องนี้ กลัวว่าจะส่งผลกับสภาพจิตของฉัน เธอรีบไปติดต่อก่อนเถอะ หนังเรื่องนี้ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะรับแสดงฉันก็จะไปแสดง แล้วฉันก็ต้องแสดงได้ดีด้วย” หลินหว่านพูดอย่างแน่วแน่
อวิ๋นซีหยิบมือถือเดินออกไป ติดต่อทางกองถ่ายว่าจะให้หลินหว่านไปทดสอบหน้ากล้องได้เมื่อไหร่
“ฮัลโหล ฉันคืออวิ๋นซีเป็นผู้จัดการของหลินหว่านนะคะ อยากทราบว่าหนังเรื่องที่ติดต่อมาทางเราจะเริ่มทดสอบหน้ากล้องได้เมื่อไหร่คะ ถ้าหากเป็นไปได้ พวกเราอยากให้เร็วหน่อยค่ะ” อวิ๋นซีเอ่ยถาม
อวิ๋นซีเองก็เป็นห่วงหลินหว่านอยู่บ้างว่าการแสดงหนังจะส่งผลต่อสภาพจิตของเธอ ที่อินกับบทมากไปเหมือนกับคราวที่แล้ว ดังนั้นแม้ว่าผู้กำกับจะไม่เลือกให้หลินหว่านแสดง เธอก็ไม่เสียดายอะไรเลย