รอจนยามได้กำไรจากอันซิงจนพอใจแล้ว จึงลากตัวอันซิงขึ้นจากสระน้ำ
อันซิงอยู่ในสระนานเกินไป เสื้อผ้าของเธอเปียกโชกไปหมด แนบเนื้อกับร่างของเธอ เสื้อผ้าที่เปียกชื้นเผยส่วนโค้งส่วนเว้าบนเรือนร่างของอันซิงให้ชัดขึ้น ด้วยเมื่อครู่เธอถูกยามหาเศษหาเลย คอเสื้ออันซิงแหวกกว้างออก เสื้อผ้าก็ยับย่นจนหมดสภาพ ทำให้เธอยิ่งดูทุลักทุเลมากขึ้นกว่าเดิม
อันซิงพอขึ้นจากสระได้ อย่างแรกคือคว้าเสื้อผ้าตัวเองไว้แน่น จากนั้นตบหน้ายามที่ช่วยเธอขึ้นมาฉาดใหญ่
“กะอีแค่ยามคนหนึ่ง กล้ามาลวนลามคุณหนูอย่างฉัน!” อันซิงตวาดด้วยความโมโหใส่ยามที่ยังมองเธอด้วยสายตาลามเลีย “แกชื่ออะไร? เชื่อไหมฉันจะให้เจ้าของร้านที่นี่ไล่แกออกได้ทันทีเลย!”
“คุณหนูอัน คุณก็อย่าล้อเล่นไปหน่อยเลย” ยามมองอันซิงแล้ว ในหัวยังนึกถึงผิวขาวผ่องของอันซิงเมื่อครู่ตอนอยู่ในสระน้ำ หน้าอกอวบอิ่ม และรูปร่างงามของเธอ สายตาฉายแววหื่นกระหายอย่างปิดไม่มิด “ผมเพิ่งจะช่วยคุณขึ้นจากสระน้ำเมื่อครู่ ทำไมคุณต้องใส่ร้ายผมด้วย”
ต่อให้เขาอยากแค่ไหน พอรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นคุณหนูใหญ่ของบ้านตระกูลอัน ถึงอย่างไรเขาก็ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว อย่าว่าแต่จะบอกชื่อตัวเองให้เธอรู้เลย
“อ้าว! คุณหนูใหญ่อันเป็นอะไรไปเหรอ” ตอนนั้นเอง เสียงของเซียวจิ่งสือดังมาจากที่ไม่ไกลนัก
เซียวจิ่งสือขับรถช้าๆ ผ่านมาจากอีกด้านหนึ่ง พอดีทันเห็นฉากที่อันซิงตบหน้ายามไปฉาดหนึ่ง
เซียวจิ่งสือหยุดรถอย่างรู้สึกสนใจ เดินเข้ามาหาเธอพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ แล้วถามอันซิงว่า “คุณหนูใหญ่อัน ยามคนนี้จะยังไงซะก็ถือว่าเป็นคนช่วยชีวิตคุณเอาไว้นะ แล้วนี่คุณทำอะไร”
อันซิงหันไปเห็นเซียวจิ่งสือ ความโกรธก็พุ่งปรี๊ด เธอยังไม่ลืมว่าเมื่อครู่เซียวจิ่งสือเป็นคนผลักเธอตกน้ำ
ดังนั้น ‘ตัวต้นเหตุ’ อย่างเซียวจิ่งสือย่อมจะตกเป็นเป้าระบายความโกรธของอันซิงเช่นกัน
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ ฉันจะสั่งสอนยามสักคน หรือว่าต้องขออนุญาตคุณชายเซียวด้วย” อันซิงพูดอย่างฉุนเฉียว
แน่นอนว่าอันซิงย่อมจะไม่พูดเรื่องที่เธอถูกยามคนหนึ่งลวนลามเอา ไม่อย่างนั้นคุณหนูใหญ่อันคงต้องเสียหน้าครั้งใหญ่แน่!
เซียวจิ่งสือไม่ทราบว่าอันซิงถูกยามลวนลามในสระน้ำ เขาพูดว่า “คุณหนูอัน คุณจะสั่งสอนยามนี่ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับผม แต่ว่า ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าบ้านตระกูลอันไม่เคยสอนให้คุณหนูอันรู้จักคำว่าทดแทนบุญคุณ”
“ยามคนนี้ยังไงก็ถือได้ว่าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตคุณหนูอันไว้ คุณทำกับคนที่ช่วยชีวิตคุณแบบนี้น่ะเหรอ” เซียวจิ่งสือเห็นท่าทีโกรธจัดขึ้นเรื่อยๆ ของอันซิง ก็พูดเย้ยหยันด้วยเสียงราบเรียบ
ผู้ช่วยชีวิตอะไรกัน พวกหื่นที่ฉวยโอกาสหากำไรกับเธอชัดๆ!
“บุญคุณช่วยชีวิตอะไรกัน ก็แค่…แค่ยามต่ำๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง ฉันจะสั่งสอนซะอย่างจะทำไม” อันซิง
ยิ่งฟังก็ยิ่งโกรธ ทั้งโกรธทั้งอับอายจึงตวาดใส่เซียวจิ่งสือ “คุณนั่นล่ะ เซียวจิ่งสือ ฉันไม่เคยรู้เลยว่าคุณชายเซียวมีเวลาว่างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร มายุ่งเรื่องคนอื่นเขา ถึงกับยอมพูดแทนให้ยามคนหนึ่ง หายากซะจริงเลยนะ!”
“คุณคงไม่เคยเจอละสิ ผมน่ะ ปกติทำอะไรเปิดเผยไม่มีลับลมคมใน ไม่เหมือนคนบางคนเสแสร้งแกล้งดัด แอบทำเรื่องลับๆ ล่อๆ ” เซียวจิ่งสือเน้นประโยคสุดท้าย ชี้ไปที่เรื่องอันซิงลอบทำร้ายหลินหว่านเมื่อครู่
พูดจบ เซียวจิ่งสือก็หมุนตัวจากไป พอกลับขึ้นรถ ก็พูดกับอันซิงที่โกรธจนหน้าเขียวว่า “เอาล่ะ หว่านหว่านยังอยู่ที่โรงพยาบาลรอให้ผมไปเยี่ยมเธออยู่เลย คุณหนูอัน ผมไม่ขอรบกวนเวลาคุณสั่งสอนยามต่อไปแล้วล่ะ”
หลังจากมองดูเซียวจิ่งสือขับรถจากไปด้วยความโมโหแล้ว อันซิงก็พบว่า ยามคนที่ลวนลามเธอเมื่อครู่หายตัวไปแล้ว ตอนที่เธอโต้เถียงกับเซียวจิ่งสือ ไม่รู้ว่าแอบแวบไปตั้งแต่เมื่อไหร่
อันซิงโมโหเดือดพล่านแต่ไม่มีทางระบายออก มือถือก็ใช้ไม่ได้แล้วเนื่องจากเมื่อครู่ตกน้ำไป สุดท้าย อันซิงได้แต่กลับมาที่ร้านอาหารในสภาพทุลักทุเล ขอความช่วยเหลือจากพนักงานในร้าน
แต่ว่าถึงอย่างไรก็เป็นคุณหนูใหญ่บ้านตระกูลอัน พอกลับถึงบ้านตระกูลอัน สั่งการลงไปไม่นาน ยามคนที่หาเศษหาเลยเธอในสระน้ำก็ตกงาน และยังไม่มีบริษัทไหนกล้าจ้างเขาอีก
“คุณหมอครับ น้องสาวผมเธอเป็นอย่างไรบ้าง บาดแผลสาหัสไหม จะเป็นแผลเป็นหรือเปล่า?” ภายในโรงพยาบาล เฉียวมั่วเฉินกำลังถามคุณหมอที่ตรวจอาการหลินหว่านอย่างร้อนใจ
คุณหมอตรวจเสร็จ ทางหนึ่งก็ทายาแก้แผลน้ำร้อนลวกสารพัดชนิดลงบนแขนและลำตัวของหลินหว่าน ทางหนึ่งก็พูดว่า “อาการบาดเจ็บของผู้ป่วยไม่ถึงกับสาหัสมาก แต่ยังมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นแผลเป็น สำหรับคนเป็นหมอแล้วผมแนะนำให้พวกคุณนอนโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการอีกสักระยะหนึ่ง และยังลดโอกาสเกิดอาการอักเสบในภายหลังด้วย”
“ขอบคุณครับคุณหมอ” เฉียวมั่วเฉินฟังแล้วถอนใจอย่างโล่งอก จากนั้นหันมาพูดกับหลินหว่านว่า “หว่านหว่าน พี่จะไปทำเรื่องนอนโรงพยาบาลให้เธอก่อนนะ เธออยู่นี่ต้องเชื่อฟังคุณหมอ เดี๋ยวพี่จะรีบกลับมา”
“คุณพี่ ฉันไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลก็ได้…คุณพี่…” หลินหว่านฟังแล้วห้ามเฉียวมั่วเฉินไว้ แต่เฉียวมั่วเฉินไม่ฟังเธอ เดินจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก
สุดท้าย หลินหว่านถูกเฉียวมั่วเฉินบังคับให้นอนพักที่โรงพยาบาล ในห้องผู้ป่วยห้องหนึ่ง
หลินหว่านเว้าวอนมาตลอดทางว่าเฉียวมั่วเฉินทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ “คุณพี่คะ ฉันไม่เป็นไรจริงๆ คุณหมอก็บอกแล้วว่าอาการไม่หนักหนาสาหัส ฉันนอนพักที่บ้านสักหลายวันก็ได้แล้ว เราอย่านอนโรงพยาบาลเลยนะ”
“ไม่ได้ หว่านหว่าน เชื่อฟังคำสั่งคุณหมอนะ นอนพักอยู่ที่นี่ล่ะ รอให้แผลของเธอหายดีแล้วพวกเราค่อยออกจากโรงพยาบาลนะ โอเคมั้ย?” เฉียวมั่วเฉินแย้งกลับอย่างไม่เห็นด้วย แต่ยังพูดปลอบหลินหว่านด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ตั้งแต่เล็กจนโต เฉียวมั่วเฉินเป็นเช่นนี้เสมอ เขาอ่อนโยนกับหลินหว่านแต่ก็รวบรัดตัดสินใจให้เธอเสมอ เขามักจะใช้วิธีการที่แข็งกร้าว และละเอียดอ่อนไปด้วยกันในการดูแลน้องสาวของเขา นั่นทำให้หลินหว่านรู้สึกซาบซึ้งใจและก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้
“พี่คะ ฉันไม่อยากอยู่โรงพยาบาลจริงๆ นะ…” หลินหว่านออดอ้อนเฉียวมั่วเฉินอย่างอับจน
เฉียวมั่วเฉินไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย “เอาล่ะ หว่านหว่าน เธอพักผ่อนก่อนนะ พี่จะไปซื้ออาหารมื้อเย็นมาให้ เมื่อครู่เธอยังไม่อิ่มแน่เลย”
เฉียวมั่วเฉินยังจำได้ว่าตอนอยู่ที่โต๊ะอาหารหลินหว่านยังไม่ได้ทานอะไรมากนัก พอเขาจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็นึกได้ว่าต้องซื้ออาหารมื้อค่ำให้เธอ
“ขอบคุณค่ะพี่…”
หลินหว่านเห็นว่าเฉียวมั่วเฉินคอยวุ่นวายดูแลเธอ ก็รู้สึกประทับใจมาก ได้แต่ยอมนอนโรงพยาบาลแต่โดยดี
เฉียวมั่วเฉินเพิ่งออกมาจากห้องพักของหลินหว่าน ก็เจอเข้ากับเซียวจิ่งสือที่หน้าประตู
“พี่ครับ” เซียวจิ่งสือพอเห็นเฉียวมั่วเฉิน ก็รีบเข้ามาถามเขาด้วยท่าทางเป็นห่วง “หว่านหว่านเป็นอย่างไรบ้างครับ สาหัสไหม ตอนนี้อาการดีขึ้นหรือยัง”
พอเห็นสีหน้าห่วงใยของเซียวจิ่งสือว่าไม่ได้แกล้งทำ ความรู้สึกไม่พอใจของเฉียวมั่วเฉินก็ลดน้อยลงไปหลายส่วน เขาตอบว่า “หว่านหว่านอยู่ในห้อง คุณเข้าไปดูเธอเองเถอะ ผมไปซื้ออาหารมื้อค่ำให้เธอก่อน”
“ขอบคุณครับพี่” เซียวจิ่งสือมองดูประตูห้องผู้ป่วย แล้วกล่าวขอบคุณเฉียวมั่วเฉิน