รถไฟใต้ดินขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หอบเอาสายลมไปด้วย อินเสี่ยวเสี่ยวยืนอยู่ที่สถานีรถไฟใต้ดินแต่กลับไม่ได้ขึ้นรถ สำหรับเธอแล้ว ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือต้องรู้ให้ได้ว่าตัวเองเป็นใคร
แต่ว่าเธอสูญเสียความทรงจำในอดีตไปจนไม่เหลือเลยนี่สิ รถไฟมาถึงสถานี อินเสี่ยวเสี่ยวลังเลอยู่นานไม่ยอมขึ้นรถเสียที ประตูรถปิดลง แล้ววิ่งฉิวห่างออกไป ลมกรรโชกมาวูบหนึ่งทำให้ปอยผมของอินเสี่ยวเสี่ยวเข้ามากระโดดโลดเต้นอยู่บนใบหน้าของเธอ เหมือนความคิดของเธอไม่มีผิด
อินเสี่ยวเสี่ยวอยากไปให้ไกลๆ อยากไปค้นหาตัวเอง แต่พอถึงสถานีรถไฟใต้ดิน ก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี
เธอยืนอยู่ครู่หนึ่ง ก้มศีรษะถอนใจเฮือก สุดท้ายก็กลับไปยังที่ที่เธอจากมา
ลงจากรถไฟใต้ดินแล้วอินเสี่ยวเสี่ยวก็เดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายบนถนนสายหลัก จู่ๆ ก็มีผู้หญิงที่แต่งกายสะอาดเนี๊ยบเรียบกริบคนหนึ่งดึงตัวเธอไว้ แล้วพูดกับอินเสี่ยวเสี่ยวที่อยู่ในอาการเหมือนไร้วิญญาณอย่างประหลาดใจว่า “หลินหว่าน ทำไมเธอมาอยู่นี่ล่ะ ที่ผ่านมาเธอไปอยู่ไหนมา ฉันหาตัวเธอแทบตายแน่ะ”
อินเสี่ยวเสี่ยวมองดูผู้หญิงคนนี้ด้วยสีหน้าเฉยชา ขณะที่ฉุกคิดขึ้นได้ว่า หลินหว่านเหรอ? ชื่อนี้คุ้นหูมากเลยนี่ ใช่แล้ว เซียวจิ่งสือเรียกฉันแบบนี้มาตลอด หรือว่าฉันจะเป็นหลินหว่านจริงๆ แต่คนตรงหน้านี่ใครอีกล่ะ?
หญิงสาวแปลกใจอยู่บ้างขณะพูดกับอินเสี่ยวเสี่ยว “ทำไมเธอกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ไม่รู้จักฉันแล้วหรือไง? ฉันเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธออย่างไรล่ะ เธออย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้จักฉันเด็ดขาดนะ สัญญาของพวกเรา เธอยังต้องร่วมรับผิดชอบด้วย เธอยังมีละครทีวีอีกหลายเรื่องยังถ่ายไม่จบนะ ทิ้งไปนานขนาดนี้ต้องเร่งมือหน่อยแล้ว พวกเราไปที่กองถ่ายกันเถอะ”
อินเสี่ยวเสี่ยวฟังแล้วมึนตึ้บ นี่มันอะไรกัน? ผู้จัดการส่วนตัว? ถ่ายละครทีวี? นี่ฉันเป็นดาราด้วยหรือไงกัน?
ผู้จัดการลากตัวอินเสี่ยวเสี่ยวมาที่กองถ่าย ไม่สนใจคำถามมากมายของเธอ ส่วนอินเสี่ยวเสี่ยวก็รู้สึกว่าบางทีผู้จัดการส่วนตัวคนนี้น่าจะบอกเธอได้ถึงเกิดเรื่องที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
พอมาถึงกองถ่ายละครโทรทัศน์ แสงไฟและอุปกรณ์ถ่ายทำเอฟเฟกต์ขนาดใหญ่ แล้วยังมีผู้กำกับที่คอยสั่งการทั้งหมดอีก พอเห็นว่าผู้จัดการนั้นพาตัวอินเสี่ยวเสี่ยวเข้ามา หลายคนเข้ามาทักทาย ต่างพากันเรียกเธอว่าคุณหลิน
ส่วนผู้กำกับก็พูดต่อว่าต่อขานอยู่บ้าง “หลินหว่าน คุณกลับมาถ่ายต่อจนได้นะ คุณทำผมเสียหายมากรู้ไหม เอาล่ะ กลับมาก็ดีแล้ว แต่งหน้าแต่งตัวแล้วเตรียมตัวเริ่มงานได้เลย”
ผู้จัดการทักทายกับผู้กำกับด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย แล้วดึงอินเสี่ยวเสี่ยวไปห้องแต่งตัว
พอแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จออกมา ผู้ช่วยคนหนึ่งก็ยื่นบทละครเล่มหนึ่งให้อินเสี่ยวเสี่ยว อินเสี่ยวเสี่ยวอ่านดูบทละครในเรื่อง แล้วพริบตานั้นเธอก็นึกไปถึงรายละเอียดและเทคนิคการแสดงชนิดต่างๆ
พอการถ่ายทำเริ่มขึ้น อินเสี่ยวเสี่ยวกลับไม่หลงลืมบทเลยสักคำ และเธอยังแสดงได้อย่างราบรื่นไม่มีติดขัดอีกด้วย…
ทุกคนไม่ได้รู้สึกประหลาดใจต่อการแสดงของอินเสี่ยวเสี่ยวมากนัก กลับเป็นอินเสี่ยวเสี่ยวเองที่รู้สึกว่าตัวเองช่างเก่งกาจเหลือเกิน แสดงละครครั้งแรกก็แสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติขนาดนี้ ช่างมีพรสวรรค์ซะเหลือเกิน หรือว่าฉันจะเป็นอย่างที่พวกเขาว่า ฉันคือผู้หญิงที่ชื่อหลินหว่านนั่น
ความมืดยามรัตติกาลมาถึง ผู้กำกับสั่งการว่า “เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้” ทีมงานกองถ่าย ทุกคนพากันลงมือเก็บข้าวของอุปกรณ์ คนที่รับผิดชอบดูแลเครื่องแต่งกาย แสงไฟ และช่างภาพ พากันเก็บอุปกรณ์ของตัวเอง หลังจากยุ่งมาทั้งวัน ทุกคนเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว เพื่อจะได้กลับไปพักผ่อนกับยามค่ำคืนที่เงียบสงบอย่างเต็มอิ่ม
เด็กสาวคนหนึ่งเป็นช่างแต่งหน้า เธอแต่งหน้าให้ตัวเองอย่างสวยงามแล้วเก็บกระเป๋าเครื่องมือของตัวเองเตรียมตัวไปนัดเดทกับแฟนหนุ่ม แม้ว่าในกองถ่ายเธอจะไม่ใช่นางเอก แต่พอเลิกงานแล้ว เธอก็คือตัวละครเอกในชีวิตจริงของตัวเอง ทุกคนก็ควรจะได้มีชีวิตที่ดีเป็นของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม มีเพียงอินเสี่ยวเสี่ยวที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่ยุ่งวุ่นวายนี้ หลังจากล้างเครื่องสำอางออกแล้ว เธอกลับไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน ชีวิตของเธอควรจะไปทิศทางใด
ช่างแต่งหน้าเห็นอินเสี่ยวเสี่ยววนเวียนอยู่ในกองถ่ายอย่างไม่รีบร้อนก็เดินเข้ามาถามไถ่ว่า “คุณหลินคะ เลิกงานแล้ว วันนี้ทำไมคุณยังอยู่ที่นี่อีกคะ”
ช่างแต่งหน้ารู้สึกว่าหลินหว่านดีกับเธอเหมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน เมื่อก่อนตอนทำงานคุณหลินก็ไม่เคยถือตัวว่าเป็นดาราดัง เธอเป็นมิตรและใจดีต่อคนอื่น นอกจากช่างแต่งหน้าแล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าหลินหว่านนิสัยดีมากจริงๆ
อินเสี่ยวเสี่ยวมองดูช่างแต่งหน้าที่อยู่ตรงหน้าเธอ ท่าทีดูเหมือนคุ้นเคยกับเธอมากอย่างนั้นล่ะ ไม่ใช่สิ คุ้นเคยสนิทสนมกับหลินหว่านนั่นมากต่างหาก
อินเสี่ยวเสี่ยวไม่อยากทำตัวเป็นจุดสนใจ จึงเค้นรอยยิ้มออกมาแล้วตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันกำลังรอคนน่ะค่ะ คุณกลับก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวฉันก็จะกลับแล้ว”
ช่างแต่งหน้ายิ้มหน้าบานกับอินเสี่ยวเสี่ยว พูดว่า “งั้นเหรอคะ คุณหลินฉันไปก่อนนะคะ คุณก็เหนื่อยแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ” พูดจบ ก็ก้าวเท้าเร็วๆ หายลับไปยังทิศทางที่แสงไฟเลือนราง
อินเสี่ยวเสี่ยวมองตามเงาหลังที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของช่างแต่งหน้าสาว ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มออกมา คิดในใจว่า “ช่างเป็นเด็กสาวที่น่ารักซะจริง” อีกไม่นานคนในกองถ่ายก็จะไปกันหมดแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวเริ่มเคว้งคว้างขึ้นมาบ้าง
ผู้จัดการส่วนตัวผูกผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเองไปพลางเดินออกมาทางด้านนอก หลังของเธอสะพายเป้ใบเล็ก กวัดแกว่งอยู่ไปมา ผู้จัดการเดินอย่างรีบร้อนหวังจะรีบกลับถึงบ้านพักผ่อนโดยเร็ว แล้วหางตาก็ปะทะเข้ากับเงาร่างโดดเดี่ยวร่างหนึ่งที่ด้านหน้ากองถ่าย
ผู้จัดการเพ่งมองไป นั่นหลินหว่านไม่ใช่หรือไง? ทำไมยังอยู่ที่นี่อีก?
ผู้จัดการรีบเดินเข้ามาถามว่า “หลินหว่าน ทำไมยังอยู่นี่อีกล่ะ? รอคนเหรอ? ทุกคนกลับบ้านกันหมดแล้ว”
อินเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้จะตอบอย่างไร ได้แต่ส่ายศีรษะ
ผู้จัดการเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวท่าทางไม่ค่อยปกติ ก็ขมวดคิ้วฉับ “หลินหว่าน เธอเป็นอะไรกันแน่ ตั้งแต่ฉันพบเธอก็ดูเหมือนจะงงๆ ป้ำๆ เป๋อๆ ดูไม่มีชีวิตชีวาเอาซะเลย เจอเรื่องอะไรมางั้นเหรอ เล่าให้ฉันฟังสิ”
อินเสี่ยวเสี่ยวทำหน้าเอ๋อ แต่ยังไม่รู้ว่าจะพูดยังไงอยู่ดี อึ้งอยู่นานกว่าจะพูดอึกอักออกมาว่า “ฉ…ฉัน…”
ผู้จัดการส่ายหน้าค้อนตาคว่ำ พูดว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเราหาที่นั่งค่อยๆ คุยกันนะ ไป ฉันจะพาเธอไปทานของอร่อยกัน”
ผู้จัดการขับรถเลี้ยวไปหลายโค้งก็ถึงแหล่งรวมอาหารใหญ่สุดในย่านกลางเมือง ผู้จัดการพาอินเสี่ยวเสี่ยวไปหาร้านที่คนค่อนข้างเบาบางเหมาะจะใช้เป็นสถานที่พูดคุยกัน
พอสั่งสปาเก็ตตี้กับเครื่องดื่มเย็นแล้ว ผู้จัดการก็เลือกที่นั่งติดริมหน้าต่าง พอถึงตอนนี้อินเสี่ยวเสี่ยวจึงพบว่า ทิวทัศน์ยามค่ำคืนนอกหน้าต่างนั้นช่างงามนัก มองเห็นเมืองทั้งเมืองอยู่ด้านล่าง แสงไฟหน้ารถเรียงรายบนถนน คล้ายสายสร้อยโคมไฟเส้นยาวเหยียดแสนสวย
ผู้จัดการเห็นท่าทางตื่นเต้นแปลกใจของอินเสี่ยวเสี่ยวแล้วพูดว่า “อะไรกัน เมื่อก่อนพวกเรามาที่นี่ด้วยกันบ่อยไปนะ”
อินเสี่ยวเสี่ยวมองผู้จัดการอย่างสงสัย พูดย้ำว่า “มาบ่อยๆ ไม่น่าถึงได้รู้สึกคุ้นเคย”
เงียบไปพักหนึ่ง อินเสี่ยวเสี่ยวก็พูดต่อว่า “ฉันจำเรื่องเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว พูดกันตามจริงแล้ว เธออย่ารู้สึกไม่ดีล่ะ”
ผู้จัดการขมวดคิ้ว ผงกศีรษะพูดว่า “จำเรื่องเมื่อก่อนไม่ได้? เธอว่ามาสิ”
อินเสี่ยวเสี่ยวมองพี่สาวตรงหน้าที่พาเธอไปถ่ายละครทีวี แล้วยังเลี้ยงของอร่อยเธออีก เธอพูดอย่างอึดอัดขัดเขินว่า “ก็…ก็คือ คุณเป็นใครฉันก็จำไม่ได้แล้วน่ะ”
ผู้จัดการพอฟังแล้ว นิ่งงันไปเป็นนาน ถึงว่าเล่าวันนี้ทั้งวันดูเธอไม่ปกติเอาซะเลย ที่แท้ก็สูญเสียความทรงจำไปนี่เอง
ผู้จัดการพูดอย่างเห็นใจว่า “ฉันเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอ เราสนิทกันมากเลย งั้นเธอยังจำอะไรได้บ้าง?”
อินเสี่ยวเสี่ยวตอบว่า “ฉันจำได้ว่าฉันมาจากหมู่บ้านริมทะเลแห่งหนึ่ง จากนั้นก็มาที่นี่”
ผู้จัดการฟังถึงตรงนี้ก็สมองพองโต งั้นทำอย่างไรดี
อินเสี่ยวเสี่ยวพอฟังผู้จัดการบอกว่าก่อนนี้สนิทกับเธอมาก ก็อดถามไม่ได้ว่า “งั้นเธอรู้ไหมว่าฉันกับเซียวจิ่งสือมีความสัมพันธ์อะไรกัน?”
ผู้จัดการเขวี้ยงค้อนวงใหญ่ให้อีกวง พูดว่า “พวกเธอเป็นคู่รักกันนะสิ พอมีเวลาว่างก็ตัวติดกันเชียว แม้แต่เขาเธอก็จำไม่ได้งั้นเหรอ”
อินเสี่ยวเสี่ยวยิ้มอย่างจนใจ ถามต่อไปว่า “งั้นเธอรู้ไหมว่าฉันกับเซียวจิ่งสืออยู่ด้วยกันอย่างไร แล้วฉันกับบริษัทของเขาเกี่ยวข้องกันยังไง?”
ผู้จัดการส่ายหน้าพูดว่า “หลินหว่าน เรื่องเธอกับเซียวจิ่งสือมันเป็นเรื่องส่วนตัว ฉันจะไปรู้ได้อย่างไรกันเล่? นอกจากงานถ่ายละครพวกนี้ เรื่องส่วนตัวของเธอตั้งมากมายฉันก็ไม่รู้ด้วยหรอก”
อินเสี่ยวเสี่ยวมองดูทิวทัศน์ยามค่ำคืนนอกหน้าต่าง ความรู้สึกเคว้งคว้างกลับมาอีกครั้ง