เซียวจิ่งสือนั่งอยู่บนโซฟาในห้องทำงาน มองดูน้ำแกงไก่ตรงหน้า คิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าทำไมอันเสี่ยวเซียวถึงมาเป็นเพื่อนสนิทกับหลินหว่านได้นะ
เธอมอบน้ำแกงไก่ตุ๋น บำรุงสุขภาพให้ฉันต่อหน้าหลินหว่าน ฉันสนิทกับเธอมากนักหรือไง
ตอนนี้หลินหว่านสูญเสียความทรงจำ จำเรื่องเมื่อก่อนของฉันไม่ได้ แต่อันเสี่ยวเซียวนี่กลับกล้าใช้จุดนี้มาแทรกกลางแผนฟื้นความสัมพันธ์ของฉันกับหลินหว่าน
คงไม่คิดจะทำงานที่นี่แล้วสินะ เซียวจิ่งสือคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจ
เซียวจิ่งสือยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ จึงโทรหาหลินหว่านเรียกตัวเธอมาที่ห้องทำงานของเขา
อินเสี่ยวเสี่ยวมาถึงห้องทำงาน เห็นเซียวจิ่งสือมีสีหน้าไม่ชอบใจนัก จึงถามว่า “ประธานเซียวคะ คุณเรียกฉันมามีธุระอะไรเหรอคะ”
เซียวจิ่งสือมองหลินหว่านอย่างโกรธๆ พูดเป็นเชิงต่อว่า “หลินหว่าน คุณเข้าใจความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณหรือเปล่ากันแน่ ทำไมเมื่อวานผมเรียกคุณไปทานข้าว คุณยังต้องหาคนไปด้วยล่ะ เดิมทีผมอยากจะใช้เวลาอยู่กันตามลำพังสองคนบ้าง คุณจะได้นึกถึงเรื่องเมื่อก่อนได้เร็วขึ้น ปรากฏว่าคุณกับพาเอาก้างขวางคอไปทั้งคนแบบนี้”
เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านยืนนิ่งไม่พูดจาก็พูดต่อไปว่า “อันเสี่ยวเซียวนี่ ผมดูก็รู้แล้วว่าเธอไม่ใช่คนดีอะไรนัก คงคิดจะใช้คุณเพื่อบรรลุเป้าหมายอะไรสักอย่างล่ะซิ ผมตัดสินใจว่าจะไล่เธอออกไป”
อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นว่าเซียวจิ่งสือกำลังโมโหขนาดนี้ ก็ลดเสียงเบาลง ตอบกลับเสียงอ่อนว่า “ฉันแค่เห็นว่าเธอเป็นเพื่อนก็เท่านั้นค่ะ จึงพาเธอไปทานข้าวด้วย ตอนนี้ฉันยังนึกเรื่องเมื่อก่อนไม่ออก ดังนั้นตอนนี้พวกเรายังไม่ใช่คู่รักกันนี่คะ”
เซียวจิ่งสือฟังคำพูดนี้แล้วยิ่งไม่ชอบใจหนักขึ้น พูดอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีว่า “หลินหว่าน เมื่อไหร่คุณจะจำผมได้สักที เมื่อก่อนเราสองคนรักกันมากนะ เอาเถอะ ผมหวังว่าต่อไปคุณจะไม่เอาบุคคลที่สามเข้ามาในการนัดเดทของเราอีก”
“คุณกลับไปทำงานเถอะ” อินเสี่ยวเสี่ยวฟังคำเขาแล้วก็ก้มหน้าคิดอะไรบางอย่าง ขณะกลับไปทำงานของตัวเองต่อไป
อันเสี่ยวเซียวกำลังงานยุ่ง ตอนที่ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเรียกเธอมาที่ห้องทำงาน แล้วพูดกับเธอว่า “อันเสี่ยวเซียว บริษัทได้พิจารณาแล้วว่าคุณไม่เหมาะที่จะอยู่กับเราต่อไป คุณถูกไล่ออกแล้ว”
อันเสี่ยวเซียวเบิ่งตาโตอย่างตกใจและหวาดกลัว พูดอย่างไม่เชื่อว่า “ทำไมถึงไล่ฉันออกคะ? ฉันทำผิดอะไรกัน?”
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลพูดว่า “คุณทำผิดอะไร ตัวคุณย่อมรู้ดีแก่ใจที่สุด สรุปคือ ตามระเบียบของบริษัท ผมเห็นว่าคุณไม่เหมาะสมที่จะทำงานอยู่ในบริษัทต่อไป หวังว่าคุณจะเก็บข้าวของโดยเร็ว”
อันเสี่ยวเซียวเห็นท่าทางแบบนี้แล้ว เกิดอารมณ์ขึ้นมาบ้าง เธอขวางทางผู้จัดการฝ่ายบุคคลไว้ พูดว่า “ผู้จัดการคะ คุณบอกฉันสิว่าฉันทำผิดอะไร ฉันจะแก้ไขปรับปรุงตัวค่ะ ฉันไม่อยากไปจากบริษัท คุณให้โอกาสฉันสักครั้งนะคะ”
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลส่ายหน้าอย่างอับจน พูดว่า “นี่เป็นการพิจารณาตัดสินจากทางบริษัท ผมตัดสินเองไม่ได้หรอก หวังว่าต่อไปเธอจะมีงานที่ดีนะ”
พออันเสี่ยวเซียวรู้ว่าไม่มีทางแก้ไขแล้วก็ยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างหมดแรง อีกนานกว่าจะลากสังขารกลับมาที่ออฟฟิศที่ทำงาน
อันเสี่ยวเซียวพอกลับถึงออฟฟิศ นึกไปนึกมาก็ยังคิดไม่ตก ตอนเช้าส่งน้ำแกงไก่ตุ๋นให้ประธานเซียว หรือว่าทำให้เขาโกรธ?
ผลตอบรับนี้มาอย่างกะทันหันจนอันเสี่ยวเซียวยอมรับไม่ลง เธอเริ่มคิดวางแผนในใจ เธอรู้ว่าประธานเซียวชอบอินเสี่ยวเสี่ยว ดูท่าว่าเขาคงจะฟังคำพูดของอินเสี่ยวเสี่ยวบ้าง ให้อินเสี่ยวเสี่ยวไปขอร้องประธานเซียวซะหน่อย บางทีเธออาจไม่ต้องถูกไล่ออกก็ได้
อันเสี่ยวเซียวมาหาอินเสี่ยวเสี่ยว พูดทั้งน้ำตานองหน้าว่า “เสี่ยวเสี่ยว พวกเราสองคนเป็นเพื่อนกันขนาดนี้ ตอนนี้ทางบริษัทจะไล่ฉันออก มีแค่เธอเท่านั้นที่ช่วยฉันได้ เธอช่วยไปขอร้องท่านประธานเซียวให้ฉันหน่อยได้ไหม ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของเธอเลยนะ”
อินเสี่ยวเสี่ยวเบิ่งตาโตอย่างประหลาดใจ พูดว่า “หา! กะทันหันขนาดนี้เชียว แต่ฉันก็ไม่มีสิทธิ์จะตัดสินอะไรเลยนี่นา เรื่องนี้เป็นการตัดสินของทางบริษัททั้งหมด”
อินเสี่ยวเสี่ยวนึกในใจว่า ฉันเห็นเธอเป็นเพื่อนสนิท แต่เธอกลับคิดจะใช้ฉันเป็นสะพานเรียกคะแนนนิยมกับเซียวจิ่งสือ เธอเป็นเพื่อนประสาอะไรกัน? ต่อให้ฉันช่วยเธอได้ ฉันก็ไม่อยากช่วยเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดแบบเธอหรอก
อันเสี่ยวเซียวยังไม่หมดหวัง เธอดึงมืออินเสี่ยวเสี่ยวไว้ พูดว่า “อินเสี่ยวเสี่ยว ขอร้องล่ะ เธอช่วยฉันหน่อยนะ”
อินเสี่ยวเสี่ยวได้แต่ส่ายศีรษะอย่างอับจน พูดว่า “ขอโทษนะ ฉันช่วยเธอไม่ได้จริงๆ ”
อันเสี่ยวเซียวกลับออฟฟิศของตัวเอง ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่พอใจ นึกในใจว่า ‘ฉันก็แค่ให้น้ำแกงไก่ชามเดียวเอง ถึงกับไล่ฉันออกเลยหรือไง ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้นะ? แล้วยังอินเสี่ยวเสี่ยวอีก ต่อหน้าก็บอกว่าเป็นเพื่อนกับฉัน แต่เรื่องเล็กแค่นี้ยังไม่ช่วยกันเลย อย่างนั้นเธอก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายแล้วกัน’
ใบหน้าของอันเสี่ยวเซียวเผยรอยยิ้มที่น่ากลัวออกมา แววตาฉายแววประสงค์ร้าย
ภายในออฟฟิศ คนกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมโต๊ะที่นั่งของอันเสี่ยวเซียวไว้ อันเสี่ยวเซียวกระซิบว่า “พวกเธอรู้ไหมที่แท้อินเสี่ยวเสี่ยวก็เป็นแค่นังแพศยาคนหนึ่ง ตอนแรกฉันยังหลงเข้าใจว่าเธอบริสุทธิ์สะอาดขนาดไหน คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะใช้วิธีการชั้นต่ำมาอ่อยท่านประธานเซียวด้วย”
มีคนพูดเสริมว่า “ใช่เลย ฉันรู้อยู่แล้วว่าอินเสี่ยวเสี่ยวเป็นคนอย่างไร เธอมันแค่ดูบริสุทธิ์สดใสแต่ภายนอก ความจริงข้างในเป็นผู้หญิงร่านเหวี่ยงแหจับผู้ชายไปทั่ว”
คนส่วนหนึ่งที่ไม่รู้ความจริงเบิกตากว้าง ด้วยท่าทางว่าที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
อันเสี่ยวเซียวพูดต่อไปว่า “เมื่อวานฉันเห็นเธอยั่วยวนท่านประธานเซียวของเราต่อหน้าต่อตาเลย ใช้ทุกวิธีตกเบ็ดท่านประธานเซียวของพวกเราล่ะ”
มีคนพูดเสริมอีกว่า “เฮ้อ ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันก็เห็นด้วยล่ะ หล่อนเป็นผู้หญิงแบบนี้นี่เอง”
อันเสี่ยวเซียวกรอกตาแล้วพูดอีกว่า “พวกเธอรู้ไหม ที่จริงเธอไม่ได้อ่อยแค่ท่านประธานเซียวล่ะ เธอยังเหยียบเรือสองแคมด้วย ทางหนึ่งทอดสะพานให้ท่านประธานของพวกเรา อีกทางก็ขลุกอยู่กับฮั่วเทียนอวี่”
ชั่วขณะนั้นภายในออฟฟิศก็มีแต่เสียงกระซิบกระซาบวิจารณ์กันกระหึ่ม…
ฮั่วเทียนอวี่เพิ่งเดินผ่านออฟฟิศของอันเสี่ยวเซียว ได้ยินเสียงผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันก็มองมาอย่างสนใจ เห็นผู้คนล้อมวงกันอยู่ ฮั่วเทียนอวี่จึงเข้าไปฟังด้วย ที่แท้ก็กำลังเมาท์อินเสี่ยวเสี่ยว
ฮั่วเทียนอวี่โกรธเป็นไฟ พุ่งเข้าออฟฟิศมาพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “พวกคุณนี่มันว่างจัดนะ เวลางานไม่ทำงาน มานั่งเมาท์กันอยู่นี่ อินเสี่ยวเสี่ยวเป็นผู้หญิงน่ารักและใจดีขนาดนี้ พวกคุณยังให้ร้ายเธอถึงขนาดนี้ พวกคุณไม่ละอายแก่ใจบ้างหรือไง พวกคุณกำลังสร้างข่าวลือรู้ตัวบ้างไหม”
พวกขาเมาท์ในออฟฟิศได้ฟังก็ไม่ชอบใจ โต้ขึ้นมาทันควัน “ฮั่วเทียนอวี่ คุณเข้าใจว่าคุณเป็นใครกันหา ตัวเองถูกปิดหูปิดตายังไม่รู้ตัวอีก คุณมันก็หน้าโง่ ไม่รู้ว่าอินเสี่ยวเสี่ยวคบเผื่อเลือก ตอนนี้เธออยู่กับประธานเซียวของพวกเรามีกินมีใช้สบายไปทั้งชาติ ถึงเวลานั้นเธอก็จะถีบหัวส่งคุณน่ะสิ”
ฮั่วเทียนอวี่ถลึงตาจนแทบลุกเป็นไฟ เส้นเลือดคอเบ่งพอง แต่พอมาคิดดู จะทะเลาะกับคนพวกนี้ไปทำไมกันนะ?
ผู้ชายอย่างฮั่วเทียนอวี่จะมานั่งทะเลาะกับพวกผู้หญิงนี่ทำไมกัน ทะเลาะกันไปก็รังแต่จะทำให้เขาอารมณ์เสียเปล่าๆ ฮั่วเทียนอวี่โกรธจัด สะบัดหน้าเดินหนีไปโดยไม่สนใจพวกผู้หญิงเหล่านี้อีก