แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างกระจกใสสะอาดเข้ามาที่โต๊ะทำงานของอินเสี่ยวเสี่ยว ส่องกระทบใบหน้าขาวสะอาดของอินเสี่ยวเสี่ยวจนเป็นประกายสดใสนวลเนียน ขนตางอนยาวของอินเสี่ยวเสี่ยวหรุบต่ำสั่นไหวเบาๆ พลอยดึงดูดใจให้สั่นไหวไปด้วย
อินเสี่ยวเสี่ยวนึกถึงใบหน้าหล่อกริบของเซียวจิ่งสือแล้วหัวใจห่อเ**่ยวอยู่บ้าง หลังจากผู้หญิงที่หน้าเหมือนเธอคนนั้นกลับมาแล้ว ก็พิสูจน์ได้ว่าหนุ่มหล่อที่ทำให้สาวๆ หลงใหลได้ปลื้มกันมากมายคนนี้ที่แท้ก็เป็นผู้ชายกากเดนคนหนึ่งเท่านั้น
พอนึกว่าตัวเองเคยหวั่นไหวไปกับผู้ชายประเภทนั้นแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวก็ส่ายหน้า ถอนหายใจ บางทีอาจเป็นแค่เรื่องล้อเล่นของสวรรค์เบื้องบนล่ะมั้ง
ลมเย็นพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาวูบหนึ่ง อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกหนาวยะเยือก เธอตวัดสายตาขึ้นมองไปทางนอกหน้าต่าง แสงแดดอุ่นๆ สาดกระจายไปทั่วทุกตรอกซอกซอย
อินเสี่ยวเสี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึก พลันรู้สึกว่าทุกสิ่งดูสวยงามปานนั้น ผู้ชายกากเดนอย่างเซียวจิ่งสือไม่คู่ควรที่จะให้เธอรัก ตอนนี้รู้ตัวซะก่อนก็ถือว่าดีแล้ว
อินเสี่ยวเสี่ยวมุมปากยกขึ้น นึกในใจว่า ‘เชอะ ตัวสำรองเรอะ คนอย่างอินเสี่ยวเสี่ยวถึงจะตกต่ำแค่ไหนก็ไม่ยอมเป็นตัวสำรองของใครหรอก’
สู้เขานะ เป็นลูกผู้หญิงต้องสู้ อินเสี่ยวเสี่ยวแอบบอกกับตัวเองในใจ
เสียงเคาะประตูถี่ยิบดังมา ดึงสติของอินเสี่ยวเสี่ยวกลับคืนมา หญิงสาวจากแผนกถ่ายภาพคนหนึ่งท่าทางร้อนรน กระหืดกระหอบมาแจ้งเธอให้รีบไปเข้ากล้อง จะเริ่มถ่ายละครแล้ว
อินเสี่ยวเสี่ยวสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองแล้วรีบตรงไปยังกองถ่าย…
ระหว่างทางอินเสี่ยวเสี่ยวเห็นในออฟฟิศมีสาวๆ หลายคนล้อมวงกันซุบซิบ ชั่วขณะหนึ่งเธอรู้สึกโล่งใจขึ้นมา แอบนึกในใจว่า ‘วิจารณ์กันเข้าไปเถอะ ไม่กระทบกระเทือนฉันหรอก ตอนนี้ฉันจะตั้งใจไปทำงาน พวกเธอก็ใช้ชีวิตเผือกๆ ของพวกเธอต่อไปเถอะ’
ภายในห้องแต่งหน้า ช่างแต่งหน้าตวัดแปรงในมืออย่างชำนาญอยู่บนใบหน้างามสมส่วนของอินเสี่ยวเสี่ยว เพียงไม่นานอินเสี่ยวเสี่ยวก็ได้รับการแต่งหน้าจนยิ่งทรงเสน่ห์เย้ายวนใจ ช่างแต่งหน้ามองดูผลงานตรงหน้าแล้วยิ้มอย่างพอใจ
อินเสี่ยวเสี่ยวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็เริ่มงานถ่ายละครในวันนี้ พอได้ยินผู้กำกับขานว่าเดินกล้อง ทุกคนในกองถ่ายพากันตื่นตัว ช่างถ่ายภาพจ้องมองภาพที่อยู่ในกล้องเขม็ง เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ภาพที่มีคุณภาพดีที่สุด
กล้องที่เคลื่อนตามการแสดงของอินเสี่ยวเสี่ยวไปช้าๆ ช่างคุมแสงตรวจดูมุมแสงในฉาก เพื่อปรับแสงได้ทันการณ์
ด้วยการประสานงานของผู้คนเหล่านี้ ละครดราม่าเรียกน้ำตาเรื่องหนึ่งได้ถ่ายทำจนสำเร็จอย่างงดงาม เสียงผู้กำกับร้องว่า “คัท” ดังขึ้น ทุกคนเหมือนกับยกหินออกจากอก ภารกิจการถ่ายทำในช่วงเช้าเสร็จสิ้นลง
ทุกคนพากันเอ่ยทักทายให้กำลังใจกัน มีเพียงอินเสี่ยวเสี่ยวเท่านั้นที่ไม่มีใครเข้ามาถามไถ่ อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกได้ว่าพวกเขามีท่าทีต่อเธอเปลี่ยนไป เธอนึกในใจว่า ‘อาจเป็นเพราะว่าหลินหว่านตัวจริงกลับมาแล้ว จึงเห็นว่าเราก็แค่หน้าเหมือนหลินหว่านเท่านั้นเอง’
อินเสี่ยวเสี่ยวเดินช้าๆ ไปทางห้องแต่งหน้า ช่างแต่งหน้าที่กำลังเก็บเครื่องมือลงกระเป๋า เตรียมจะกลับบ้านไปพักผ่อนเร็วหน่อย พอเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวเข้ามา ก็รู้สึกหงุดหงิดรำคาญขึ้นมา สีหน้ากลายเป็นบูดบึ้ง
ช่างแต่งหน้าแอบบ่นในใจว่า ‘ช่างน่ารำคาญซะจริง กำลังจะเลิกงานอยู่แล้วถึงค่อยโผล่มา วุ่นวายชะมัด’
ช่างแต่งหน้ารื้อเอาอุปกรณ์แต่งหน้าจากกระเป๋าออกมากระแทกลงบนโต๊ะแต่งหน้า พลางมองอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างโมโห
อินเสี่ยวเสี่ยวได้ยินเสียงปังก็สะดุ้งตกใจ พอมองไปก็เห็นช่างแต่งหน้าที่ปั้นหน้าเป็นนางยักษ์เขี้ยวตัน อินเสี่ยวเสี่ยวทำหน้าเหวอ ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดกันแน่
ช่างแต่งหน้าพูดด้วยอาการกระแทกกระทั้น “รีบนั่งเร็วสิ ฉันจะได้ล้างหน้าซะที ยังมีเรื่องต้องรีบไปทำอีกนะ”
พอได้ฟังน้ำเสียงแข็งกระด้างราวกับค้างเงินเธอหลายร้อยแล้วไม่คืนอย่างนั้นแหล่ะ อินเสี่ยวเสี่ยวที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วยก็ได้แต่รับคำอย่างหวาดๆ อยู่บ้าง เธอนั่งลงให้เธอช่วยล้างเครื่องสำอางออก
ช่างแต่งหน้ารีบจะกลับบ้าน จึงโมโหไปหน่อย มือไม้จึงไม่เบาแรงสักเท่าไรนัก หลายครั้งที่ทำเอาอินเสี่ยวเสี่ยวขมวดคิ้วนิ่วหน้า
ช่างแต่งหน้าแกล้งทำเป็นไม่เห็น ยังลงมือลงไม้อย่างไม่ยั้งมือต่อไป ทำลวกๆ ไม่กี่ทีก็เสร็จ จากนั้นรีบออกจากห้องไป
อินเสี่ยวเสี่ยวมองดูสภาพของเธอในกระจก น้ำยาล้างเครื่องสำอางยังล้างไม่สะอาดเลย รอยกระดำกระด่างของคราบมาสคาร่าก็เช็ดไม่เกลี้ยง ใบหน้าสวยๆ ตอนนี้ดูไปแล้วเหมือนเพิ่งออกมาจากเหมืองถ่านหินยังไงยังงั้นเลย
อินเสี่ยวเสี่ยวนึกขำอยู่บ้าง ช่างแต่งหน้านี้รีบร้อนคิดแต่จะกลับบ้าน ทำงานออกมาฝีมือแย่กว่าปกติมากโขทีเดียว เธอมองดูเงาสะท้อนในกระจกของตัวเองแล้วก็ดูตลกดี
อินเสี่ยวเสี่ยวรู้ว่าทุกคนกำลังพูดถึงเธอลับหลัง ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้แน่ชัดแล้วถึงสถานะตัวสำรองของเธอ สายตาดูแคลนจึงพุ่งมาจากสี่ทิศแปดทางตรงมาที่เธอ
อินเสี่ยวเสี่ยวนึกเย้ยหยันตัวเอง ยิ้มแล้วยืนขึ้น ท้องที่ร้องจ้อกๆ เตือนว่าเลยเวลาที่เธอต้องไปทานข้าวแล้ว
อินเสี่ยวเสี่ยวเดินมาถึงหน้าประตูโรงถ่าย หยุดเท้ามองสำรวจรอบหนึ่ง กำลังนึกในใจว่าจะไปทางไหนดี จะไปร้านไหนดีนะ?
ขณะลังเลใจนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงยามรักษาความปลอดภัยวัยกลางคนดังมาจากป้อมยามด้านหลังพูดอย่างสงสัยว่า “เอ๋ เมื่อกี้เดินออกไปใส่ชุดสีฟ้า ตอนนี้ทำไมใส่ชุดสีขาวเดินออกมาล่ะ? แถมยังหิ้วกระเป๋าไม่เหมือนกันอีกด้วย”
ยามที่ด้านข้างหัวเราะอย่างดูถูก แล้วพูดเสียงเย็นว่า “ไม่ใช่คนเดียวกันซะหน่อย แกนี่สายตาแย่เกินไปหน่อยมั้ง”
ลุงยามวัยกลางคนตาค้าง อ้าปากกว้างร้องว่า “อ้อ” ทำท่าว่าเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วถามต่อว่า “งั้นใครเป็นตัวจริง ใครเป็นตัวปลอมกันล่ะ?”
ยามที่อยู่ด้านข้างเหยียดยิ้มมุมปาก แสดงท่าประณามหยามเหยียด แล้วชี้มือไปที่เงาหลังอินเสี่ยวเสี่ยว พูดว่า “นี่ไงตัวปลอม”
อินเสี่ยวเสี่ยวรับรู้ได้ว่ามีเสียงพ่นพิษไล่ตามมาจากด้านหลัง ความรู้สึกเศร้าเสียใจชนิดหนึ่งโถมทับเข้ามาในจิตใจ สองมือกำหมัดแน่น ตลอดร่างสั่นระริกขึ้นมาอย่างบังคับไม่ได้
อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกเป็นทุกข์และน้อยเนื้อต่ำใจอย่างมาก อัดอั้นตันใจจนทำอะไรไม่ถูก น้ำหูน้ำตาพานจะไหลออกมาให้ได้ ขณะที่กำลังจะร้องไห้ออกมานั้น อินเสี่ยวเสี่ยวรีบเงยหน้าขึ้น ทำมุมสี่สิบห้าองศามองไปยังท้องฟ้ากว้าง
มองดูก้อนเมฆสีขาวล่องลอยไปในอากาศ อินเสี่ยวเสี่ยวอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย เธอหยิบบทละครในมือออกมาแล้วเดินมุ่งไปทางร้านอาหาร
อินเสี่ยวเสี่ยวตักข้าวเข้าปากคำโตคำแล้วคำเล่า ตลอดเวลาสายตาไม่ละไปจากบทละครในมือเลย สมองก็พยายามจดจำบทสนทนาที่สั้นบ้างยาวบ้างเหล่านี้
คนงานของกองถ่ายหลายคนที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไปต่างพากันมองมาทางเธอด้วยสายตาประหลาดและสับสน แล้วยังก้มลงซุบซิบกันเป็นครั้งคราว ตอนพูดกันก็ใช้มือปิดปากไว้ เหมือนจะกลัวว่าเสียงจะลอยตามลมมาให้คนคนนั้นได้ยินก็ไม่ปาน
อินเสี่ยวเสี่ยวรับรู้ทุกอย่างเก็บไว้ในใจ สายตายังจับอยู่ที่บทละคร แต่ในใจกลับคิดว่าต้องทำงานของตัวเองให้ดี พวกปากหอยปากปูก็ปล่อยมันไปเถอะ