อี้อวิ๋นฉังพูดเสียงเย็นชาว่า “เขาสะกดจิตได้ไม่ใช่เหรอ คุณให้เขาสะกดจิตเธอสิ ทำให้เธอลืมเรื่องที่เห็นและได้ยินเมื่อครู่นี้ทั้งหมด”
มาร์ตินเข้าใจได้ทันที ชมเปาะว่า “คุณหนูอี้ ช่างเป็นความคิดที่ดีจริงๆ ” จากนั้นออกไปเรียกตัวเบนนี่ที่จัดเก็บอุปกรณ์อยู่ด้านนอกเข้ามา
เบนนี่ฟังคำพูดของมาร์ตินแล้ว ก็เป็นกังวลอยู่บ้าง เขาพูดกับอี้อวิ๋นฉังว่า “คุณหนูอี้ คุณต้องการให้ทำแบบนี้จริงๆ เหรอ ผมขอพูดตรงๆ เลยนะ การสะกดจิตแม้ว่าจะสามารถทำให้คนเราลืมความทรงจำช่วงหนึ่งไปได้ แต่ผลที่ได้อาจทำให้คุณไม่พอใจนักก็ได้”
“คำพูดของคุณหมายความว่าอย่างไร” อี้อวิ๋นฉังถามอย่างไม่เข้าใจ
“คุณหนูอี้ การสะกดจิตเป็นการกระทำต่อจิตใต้สำนึกของคนอื่น นั่นก็คือ คนที่ถูกสะกดจิตเมื่อได้สติฟื้นขึ้นมาแล้ว อาจจำได้ว่าตัวเองถูกสะกดจิตก็เป็นได้ครับ” เบนนี่อธิบาย
“แน่นอนว่า บางคนอาจตกอยู่ในภาวะสะกดจิตตลอดจนไม่สามารถฟื้นฟูความทรงจำกลับมาได้อีก และสภาพการฟื้นความทรงจำส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นในอีกหลายปีให้หลัง มีส่วนน้อยมากๆ ที่ความทรงจำจะกลับมาทันทีหลังการสะกดจิต” เบนนี่พูดเสริมตามติดขึ้นมา
อี้อวิ๋นฉังได้ฟังคำอธิบายแล้ว พูดว่า “เรื่องนี้คุณไม่ต้องกังวลไป คุณแค่สะกดจิตให้เธอลืมความทรงจำในวันนี้ก็พอ”
“ไม่นะ! พวกแกอย่าหวังว่าจะสะกดจิตฉันได้!” อินเสี่ยวเสี่ยวฟังคำพูดของพวกเขาแล้ว พูดแย้งขึ้น
แต่ถึงจะต่อต้านขัดขืนก็ไม่มีประโยชน์ ก่อนดึงความทรงจำ มาร์ตินได้ฉีดยาชาอย่างแรงให้เธอเข็มหนึ่ง เพื่อป้องกันว่าระหว่างการดึงความทรงจำเธอจะตื่นขึ้นมาทำลายแผนการได้ ฤทธิ์ของยาชานี้ยังไม่หมดไป ตอนนี้อินเสี่ยวเสี่ยวตลอดร่างไร้เรี่ยวแรง นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมเมื่อครู่เธอไม่ได้รีบหนีนั่นเอง
ในสภาพที่อินเสี่ยวเสี่ยวไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้านเลยสักนิดนี้ เธอจึงถูกเบนนี่สะกดจิตโดยง่าย ลบล้างความทรงจำออกไป
หลังจากอินเสี่ยวเสี่ยวถูกสะกดจิตแล้ว มาร์ตินก็จัดให้เธอไปอยู่ในห้องด้านข้างของห้องใต้ดินห้องหนึ่ง ที่นี่เป็นห้องทดลองของเขา เป็นสถานที่ที่เขารักมากที่สุด เขาไม่ยอมให้คนทั่วไปอยู่ในห้องนี้ไปตลอดแน่
อี้อวิ๋นฉังย่อมจะไม่ยอมให้เธอปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนโดยง่ายอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหลินหว่านก่อนสูญเสียความทรงจำ หรือเป็นอินเสี่ยวเสี่ยวหลังสูญเสียความทรงจำก็ตาม เพราะว่าต่อไปเธอก็คือหลินหว่านอย่างแท้จริงแล้ว
แต่ว่า เก็บตัวอินเสี่ยวเสี่ยวไว้ก่อนชั่วคราวบางทีอาจมีประโยชน์อื่นอีก อี้อวิ๋นฉังสั่งให้คนรถไปเฝ้าดูอินเสี่ยวเสี่ยวไว้ให้ดีแล้วก็เตรียมจะกลับออกไป
แต่ในตอนนั้นเอง ภายในห้องใต้ดินเกิดเสียงมือถือดังขึ้น อี้อวิ๋นฉังเงี่ยหูฟังแล้วพบว่าเสียงมือถือดังมาจากทางอินเสี่ยวเสี่ยว เธอจึงมาที่ข้างกายอินเสี่ยวเสี่ยวหยิบมือถือของเธอขึ้นมา
พอเห็นหน้าจอเป็นชื่อของเซียวจิ่งสือ อี้อวิ๋นฉังคิดดูแล้วรับสาย ดัดเสียงเป็นอินเสี่ยวเสี่ยวพูดว่า “ท่านประธานเซียว…คุณมีอะไรเหรอคะ”
“เสี่ยวเสี่ยว ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?” เซียวจิ่งสือไม่รู้เลยว่าคนที่รับโทรศัพท์ไม่ใช่อินเสี่ยวเสี่ยว กว่าเขาจะหาเวลาว่างมาโทรศัพท์หาเธอได้ นึกถึงว่าตอนเช้าทำอย่างไรอินเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่ยอมรับสายเขา ตอนนี้พอเห็นว่ามีคนรับสายเขาก็รีบถามอินเสี่ยวเสี่ยว
“ฉ…ฉันอยู่ข้างนอกค่ะ” อี้อวิ๋นฉังพูด
พอนึกถึงเรื่องเมื่อตอนเช้า เซียวจิ่งสือก็รีบพูดปลอบเธอว่า “เสี่ยวเสี่ยว คำพูดบนอินเทอร์เน็ตเธอไม่ต้องสนใจมากนักหรอก ฉันให้คนไปจัดการแล้ว อีกไม่นานคุณก็จะไม่ต้องเห็นข่าวพวกนั้นอีก”
“ฉ…ฉันไม่ได้สนใจค่ะ ขอบคุณนะคะ จิ่งสือ” อี้อวิ๋นฉังทำท่าว่าปลาบปลื้มใจ ที่จริงในใจริษยาจนแทบจะเป็นบ้าแล้ว ทำไมเซียวจิ่งสือจึงดีต่ออินเสี่ยวเสี่ยวนักนะ? แม้แต่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ยังช่วยปัดเป่าให้อินเสี่ยวเสี่ยว แต่กลับไม่ยอมสนใจเธอเลย
“ไม่เป็นไรหรอก เสี่ยวเสี่ยว” เซียวจิ่งสือนึกถึงเป้าหมายที่ตัวเองโทรหาแล้วพูดอีกว่า “เสี่ยวเสี่ยว ตอนนี้คุณอยู่ไหน ผมจะให้คนรถไปรับคุณ ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว เราทานอาหารค่ำด้วยกันเถอะ”
อี้อวิ๋นฉังนึกถึงสถานที่ที่ตัวเองอยู่ตอนนี้แล้ว ปฏิเสธว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ จิ่ง…ประธานเซียว คุณส่งที่อยู่ให้ฉัน ฉันจะไปหาเองก็แล้วกันค่ะ”
เซียวจิ่งสือรู้สึกว่าวันนี้อินเสี่ยวเสี่ยวออกจะไม่ปกติ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าผิดปกติตรงไหน เขาพูดว่า “อย่างงั้นก็ได้ แต่ตอนนี้ผมยังอยู่ที่บริษัท ยังมีงานต้องทำอีกหน่อย คุณมาหาผมที่บริษัทก่อนเถอะ ระวังตัวด้วยล่ะ”
“ค่ะ ท่านประธานเซียว” อี้อวิ๋นฉังพูดจบก็วางสาย
หลังจากวางสายไปแล้ว อี้อวิ๋นฉังก็รู้สึกกระหยิ่มใจมาก ก่อนหน้านี้เธอถูกเซียวจิ่งสือตั้งข้อสงสัย เพราะเธอไม่ค่อยเข้าใจหลินหว่าน ตอนนี้ เธอมีความทรงจำของหลินหว่านตอนที่อยู่กับเซียวจิ่งสือ เธอจะเลียนแบบหลินหว่านย่อมเป็นเรื่องง่ายดายมาก เธอสามารถหลอกเซียวจิ่งสือในโทรศัพท์ได้ เธอเชื่อว่าแค่ระวังตัวสักหน่อย ในยามปกติย่อมจะหลอกเซียวจิ่งสือได้แน่!
อี้อวิ๋นฉังไปจากศูนย์วิจัยแล้ว ก็เปลี่ยนมาใส่ชุดในแบบที่อินเสี่ยวเสี่ยวสวมในยามปกติ มาที่บริษัทของเซียวจิ่งสือ
“เสี่ยวเสี่ยว คุณมาแล้ว” เซียวจิ่งสือพอเห็น ‘อินเสี่ยวเสี่ยว’ ก็ทักขึ้นอย่างดีใจ
“อื้อ” อี้อวิ๋นฉังเลียนแบบวิธีพูดของอินเสี่ยวเสี่ยวตอนที่พูดคุยกับเซียวจิ่งสือ
“เสี่ยวเสี่ยว คุณนั่งรออยู่นี่สักครู่นะ ให้ผมอ่านเอกสารในมือนี่เสร็จก่อน นะครับ” เซียวจิ่งสือไม่ชอบให้งานค้างไปอีกวัน จึงพูดกับ ‘อินเสี่ยวเสี่ยว’ อย่างอดทน
อี้อวิ๋นฉังฟังแล้ว เห็นตรงหน้าเซียวจิ่งสือยังมีเอกสารกองอยู่อีกตั้งมาก เธอขมวดคิ้วแล้วถามว่า “จิ่ง…ท่านประธานเซียวคะ งานคุณยังไม่เสร็จเหรอคะ”
“อื้อ เธอวางใจได้ อีกเดี๋ยวก็เสร็จ รอไม่นานนักหรอก” เซียวจิ่งสือพูดปลอบเธอ
พูดจบ เซียวจิ่งสือก็นึกถึงเรื่องเมื่อตอนเช้า ถามว่า “ใช่แล้ว เสี่ยวเสี่ยว ตอนเช้าวันนี้คุณไปไหนมา ทำไมไม่รับโทรศัพท์ผม”
อี้อวิ๋นฉังตอบว่า “ตอนเช้า ฉ…ฉัน ไปแวะกองถ่ายมาค่ะ มือถือปิดเสียงเลยไม่ได้ยินค่ะ”
อี้อวิ๋นฉังลืมนึกไปว่า ละครเรื่องก่อนหน้าของอินเสี่ยวเสี่ยวปิดกล้องไปแล้ว และยังไม่ได้รับละครเรื่องใหม่ จะไปที่กองถ่ายได้อย่างไรกัน
“งั้นเหรอ” เซียวจิ่งสือถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จากนั้นพูดกับอี้อวิ๋นฉังว่า “จริงสิ เสี่ยวเสี่ยว คุณอย่าไปร่วมงานกับผู้กำกับปลายแถวพวกนั้นอีกเลยนะ ผมให้เลขาช่วยหาหนังดีๆ เรื่องหนึ่งให้คุณเล่น คุณก็ตั้งใจแสดงหนังเรื่องนี้ให้ดีก็พอแล้ว นะครับ?”
“ขอบคุณค่ะ จิ่งสือ!” อี้อวิ๋นฉังฟังแล้วใจหนึ่งหึงหวง อีกทางหนึ่งก็พูดอย่าง ‘ปลาบปลื้มยินดี’
“ไม่เป็นไรหรอก” พอเห็นท่าทีเช่นนี้ของ ‘อินเสี่ยวเสี่ยว’ เซียวจิ่งสือก็รู้สึกผิดปกติมาก ปกติตอนหลินหว่านรับแสดงหนัง ไม่เคยรับปากง่ายๆ แบบนี้มาก่อน ทุกเรื่องที่เธอรับแสดง จะต้องทำความเข้าใจกับหนังเรื่องนั้นอย่างละเอียดซะก่อน จากนั้นค่อยพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับแสดงหนังเรื่องนั้น แต่ตอนนี้เธอกลับไม่ถามข้อมูลรายละเอียดของหนังเลยสักนิด…
ถึงแม้ว่าตอนนี้หลินหว่านจะสูญเสียความทรงจำไปแล้ว แต่เซียวจิ่งสือยังนึกสงสัยอยู่ดี นี่เป็นจิตใต้สำนึกอย่างหนึ่งของเขา ดังนั้นเอง พอเสร็จงานแล้ว เซียวจิ่งสือก็ฉวยโอกาสช่วงก่อนจะไปทานข้าวกับ ‘อินเสี่ยวเสี่ยว’ แวะหาเลขา แล้วให้เขาส่งคนไปสืบเรื่องของหลินหว่านตัวปลอมที่ก่อนหน้านี้อยู่กับเขา