“เรื่องนี้ยังไม่จบ ท่านโหวเองก็อย่ารู้สึกท้อใจจนเกินไป” สืออีเหนียงปลอบใจสวีลิ่งอี๋ “ถึงแม้ว่าจะถูกค้นบ้านยึดทรัพย์และถูกเนรเทศ ขอเพียงแค่คนยังมีชีวิตอยู่ สักวันหนึ่งก็จะสามารถกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง”
“ก็จริง!” สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ขอเพียงแค่คนยังอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
สืออีเหนียงสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ค่อยดีเท่าไรนัก นางจึงยิ้มพร้อมกับรวบผมเพื่อเตรียมตัวเข้านอน “ท่านโหวรีบพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ! พรุ่งนี้เกรงว่าท่านโหวยังต้องไปช่วยเรื่องของสกุลหวังอีก!”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าสีหน้าของนางค่อนข้างสดใส ก็เลยรู้สึกว่าตนนั้นเอาแต่กังวลกับเรื่องที่ยังไม่ทันจะเกิดขึ้น
ไม่ว่าเหล่าบรรดาขุนนางในราชสำนักจะพูดอะไร สุดท้ายก็ต้องรอการตัดสินจากฮ่องเต้อยู่ดี
สิ่งไหนที่ตนควรจะช่วยก็ได้ช่วยแล้ว สิ่งไหนที่ต้องดูแลก็ดูแลให้แล้ว มัวแต่จมปลักกับเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ก่อให้เกิดผลดีอะไรขึ้นมา สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือพยายามช่วยหาหนทางและโอกาสให้สกุลหวังลุกขึ้นมายืนหยัดได้อีกครั้ง
เมื่อเขาคิดได้เช่นนี้ สีหน้าแววตาก็ดูสุขุมและสงบขึ้นมาทันที
เขายิ้มขึ้นพลางโน้มตัวไปดับไฟตะเกียง จากนั้นก็ชวนสืออีเหนียงคุยถึงเรื่องในจวนขึ้นมา “พรุ่งนี้อากาศดี เจ้าถือโอกาสนี้เอาตะกร้าเตรียมสอบและม่านบังลมของอวี้เกอออกมาจัดเตรียมเสียหน่อย แล้วก็ไปกราบไหว้เทพดวงดาวเหวินฉวี่ซิงที่วัด เสี่ยงเซียมซีให้เขาสักไม้…ผ่านด่านนี้ไป เขาก็จะกลายเป็นบัณฑิตซิ่วไฉแล้ว”
ปกติแล้วเขามักจะไม่ค่อยพูดอะไร แต่ในใจก็ยังคงเป็นห่วงอยู่เสมอ!
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านโหวพูดช้าไปนิดเจ้าค่ะ ข้าจัดเตรียมของใช้ของอวี้เกอตั้งแต่วันที่หกเดือนหกเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องเสี่ยงเซียมซี ข้าอยากจะให้ท่านโหวเป็นคนพาอวี้เกอไปเอง! ไปขอด้วยตัวเองเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ ข้าเป็นมารดา พาเขาไป ก็เป็นการไปคำนับก็เท่านั้น ท่านโหวและอวี้เกอไปด้วยกัน ระหว่างทางก็จะได้พูดคุยกัน ยังพากันไปเดินเล่นรอบๆ ลานวัดได้อีกด้วย บรรยากาศเช่นนี้ ผู้คนต่างก็พากันหนีร้อนไปที่วัดกันทั้งนั้น!”
สวีลิ่งอี๋เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เขาตั้งใจร่ำเรียนมาโดยตลอด เดินทางไปเล่ออานครั้งล่าสุดนี้ อาจารย์จ้าวก็ให้เขาอยู่เรียนชดเชยที่นั่นหนึ่งปีเต็ม คำพูดที่จะพูดก็ล่วงเลยผ่านมาหมดแล้ว…” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความลังเลใจ ราวกับว่าไม่มีอะไรจะพูดกับสวีซื่ออวี้อย่างไรอย่างนั้น
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น!” ไม่รู้ว่าท้องใครมีพยาธิกันแน่ หากไม่แสดงออกมา แล้วใครจะไปรู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ บางครั้ง มันก็เป็นเพียงสิ่งที่แสดงออกมาก็เท่านั้น สืออีเหนียงไม่อยากให้เหล่าบรรดาเด็กๆ ใช้ชีวิตในจวนแห่งนี้ด้วยความเคียดแค้น “แค่ออกไปเป็นเพื่อนเขาจุดธูปแล้วกลับมาก็พอเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ตอบอะไร
ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน จู่ๆ เขาก็เอ่ยถึงเรื่องที่จะพาสวีซื่ออวี้จะไปกราบไหว้เทพดวงดาวเหวินฉวี่ซิงขึ้นมา
ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึง
หลังจากที่สวีซื่ออวี้กลับไปถึงห้องตำรา ก็ได้หยิบหนังสือตำรามาอ่าน แต่กลับไม่มีสมาธิเลยแม้แต่น้อย
พระอาทิตย์ยามอัสดง มีฝนตกระลอกใหญ่ บรรยากาศสดชื่นเย็นสบาย ใบของดอกแมงมุมแดงถูกชะล้างจนสะอาดหมดจด เขียวขจีเงางามกระจ่างตา
สวีซื่ออวี้ตัดสินใจวางหนังสือในมือลง จากนั้นก็เดินเล่นไปตามระเบียงทางเดิน
เดินมาจนถึงเรือนต้านปั๋วไจอย่างไม่รู้ตัว
ที่นั่นมีสาวใช้น้อยจำนวนหนึ่งกำลังเด็ดดอกปิ่นหยกพร้อมกับหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ พอเห็นสวีซื่ออวี้ ก็มีสาวใช้ใบหน้างดงามราวกับหยกเดินเข้าไปหาเขา “คุณชายน้อยสอง ท่านมาหาคุณชายน้อยสี่หรือเจ้าคะ”
เมื่อสวีซื่ออวี้มองดีๆ ก็เห็นว่าเป็นเก๋อจิน สาวใช้ที่ไท่ฮูหยินยกให้สวีซื่อจุน
หากตอบกลับไปว่าไม่ใช่ ก็พลอยแต่จะทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าตนนั้นไร้เหตุผล
เขาจึงถามออกไปด้วยความคลุมเครือว่า “น้องสี่อยู่หรือไม่”
“คุณชายน้อยห้ากำลังฝึกปั้นกาน้ำชากับอาจารย์จ้าว” เก๋อจินตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “คุณชายน้อยสี่ค่อนข้างเป็นห่วง กลัวว่าคุณชายน้อยห้าจะใช้ดินที่ส่งมาจากเมืองอี๋ซิ่งของอาจารย์จ้าวอย่างสิ้นเปลือง ก็เลยตามไปที่เรือนชั้นในด้วยเจ้าค่ะ”
จู่ๆ สวีซื่ออวี้ก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา
หลายปีมานี้สวีซื่อเจี้ยคอยติดตามอาจารย์จ้าวมาโดยตลอด วันนี้ทำขลุ่ยไม้ไผ่ พรุ่งนี้ปั้นกาน้ำชา ไม่เหมือนเขาที่ต้องทุ่มเทความตั้งใจให้กับการเรียนทั้งหมด น้อยมากที่จะมีเวลาว่างเป็นของตัวเอง
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
รีบเดินออกจากเรือนต้านปั๋วไจ ตรงไปที่เรือนของสืออีเหนียงทันที
สืออีเหนียงไม่ได้อยู่ที่เรือน นางพาจิ่นเกอไปเยี่ยมกานไท่ฮูหยินที่จวนจงฉินปั๋ว
ชิวอวี่ก็พาสวีซื่ออวี้ไปยังเรือนปีกห้องแรกทางฝั่งทิศตะวันตกของเรือนแถวส่วนหลัง “ฮูหยินจัดห้องนี้ให้กับคุณชายน้อยห้า คุณชายน้อยห้ามักจะมาเป่าขลุ่ยและทำประทีปลอยน้ำอยู่ที่นี่เป็นประจำเจ้าค่ะ”
ประตูของเรือนปีกถูกเปิดทิ้งไว้ สวีซื่อเจี้ยกำลังตั้งหน้าตั้งตาผสมดินเหนียว แต่กลับไม่เห็นเงาของสวีซื่อจุนเลยแม้แต่น้อย
“น้องสี่ไม่ได้มาที่นี่หรือ” สวีซื่ออวี้หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างๆ เขาจิบชาพลางเชยชมว่าวจุฬาที่แขวนอยู่ตามผนังห้องและประทีปลอยน้ำที่วางอยู่บนตู้ลิ้นชัก
ถึงแม้ว่าเขาจะมีนิสัยที่อ่อนโยน แต่สวีซื่อเจี้ยกลับรู้สึกว่าพี่ชายของเขาคนนี้มักจะเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา ไม่เหมือนพี่สี่ที่มักจะโอนอ่อนตามเขาอยู่เสมอ เวลาที่เขาอยู่กับพี่สี่ อยากจะพูดอะไรก็กล้าพูด อยากทำอะไรก็ได้ทำ รู้สึกอิสระกว่ามาก…
“เมื่อครู่นี้พี่สี่พึ่งจะทำประทีปลอยน้ำเสร็จ ตอนนี้กำลังนำไปลองลอยน้ำที่ทะเลสาบปี้อีขอรับ!”
สวีซื่ออวี้ค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ
หลังจากที่เขากลับมา ก็ได้ยินเหล่าบรรดาสาวใช้และบ่าวรับใช้ชายต่างก็เล่าเป็นเสียงเดียวกันว่าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้สวีซื่อจุนมักจะติดตามสวีลิ่งอี๋ออกไปพบปะผู้คนอยู่เสมอ ได้รู้จักกับเหล่าคุณชายที่ประสบผลสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่หลายคน อีกทั้งยังเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้กับท่านอาจารย์…นึกไม่ถึงว่าเขายังชอบประทีปลอยน้ำมากขนาดนี้
*****
สวีซื่อจุนกำลังพาหวังซู่บ่าวรับใช้ชายไปยังทะเลสาบปี้อีพลางพูดขึ้นพึมพำว่า “หากข้าไปเร็วกว่านี้ก็คงจะดี ไม่แน่บางทีน้องห้าอาจจะยังไม่เริ่มผสมดินเหนียว เขาอาจจะได้ไปลอยประทีปใหม่พร้อมข้าก็ได้!”
หวังซู่จึงยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “หากไม่ใช่เพราะอาจารย์จ้าวสั่งให้คุณชายห้าส่งงานปั้นกาน้ำชาตั้งแต่เช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ คุณชายน้อยห้าก็คงจะไม่ลำบากใจขนาดนี้…” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ จู่ๆ ก็มีเสียงร้องที่ก้องกังวานของนกกระเรียนดังมาจากสวนป่าที่อยู่ข้างๆ
ทั้งสองตกใจเป็นอย่างมาก สวีซื่อจุนก็รีบพูดขึ้นว่า “พวกเรารีบไปดูกัน!”
นกกระเรียนทั้งสองตัวที่ถูกเลี้ยงอยู่ในจวนล้วนแล้วแต่เป็นของจิ่นเกอ คนทั่วไปไม่กล้าที่จะไปแหย่เล่นอย่างแน่นอน
หวังซู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาอยากจะเกลี้ยกล่อมให้สวีซื่อจุนไม่ต้องเข้าไปยุ่งจะดีกว่า ให้เขาลองเข้าไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที แต่เวลานี้สวีซื่อจุนได้มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของนกกระเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาจึงทำได้เพียงรีบวิ่งตามหลังไป
เวลานั้นเอง พวกเขาทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงที่ใสแจ๋วของเด็กผู้หญิงกำลังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองว่า “เจ้ายังจะหนีอีก…”
สวีซื่อจุนชะงักไปชั่วขณะ
เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงของซินเจี่ยเอ๋อร์
เขาจึงเร่งฝีเท้าเข้าไปในดงต้นไม้ทันที
“น้องหญิงสอง เจ้ากำลังทำอะไรอยู่หรือ”
ซินเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังถือไม้กระบองวิ่งไล่ตีนกกระเรียนอยู่นั้นก็ได้หันกลับมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นสวีซื่อจุน นางก็เม้นปากแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความดื้อรั้น
สีหน้าของสวีซื่อจุนเคร่งขรึมขึ้นมาทันที หันไปตำหนิสาวใช้ที่ติดตามซินเจี่ยเอ๋อร์เสียงดังลั่น “ยังไม่รีบไปเอาไม้ตะบองจากคุณหนูสองมาอีก ให้พวกเจ้าติดตามคุณหนูสองมาก็เพื่อให้พวกเจ้าคอยดูแลปรนนิบัติรับใช้คุณหนูสอง เจ้าดูคุณหนูสองของพวกเจ้า ตอนนี้สภาพเป็นอย่างไรแล้ว”
สาวใช้น้อยทั้งสองก็หันมาสบตากัน จากนั้นก็หันไปมองคอเสื้อซินเจี่ยเอ๋อร์ที่ยุ่งเหยิงไปหมด ทั้งคู่ก็รีบพากันขานรับอย่างพร้อมเพรียงว่า “เจ้าค่ะ!” สาวใช้คนหนึ่งรีบเข้าไปยึดไม้ตะบองในมือของซินเจี่ยเอ๋อร์ ส่วนสาวใช้อีกคนก็รีบเข้าไปโน้มน้าวซินเจี่ยเอ๋อร์ว่า “คุณหนู เรารีบกลับกันเถิดเจ้าค่ะ! หากฮูหยินรู้ว่าพวกเราพากันออกมาข้างนอก ก็จะถูกสั่งกักบริเวณอีกรอบนะเจ้าคะ…”
ซินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที ยกไม้ขึ้นมาจะตีสาวใช้ “ข้าจะฟ้องท่านพ่อ! ข้าจะฟ้องท่านพ่อ!”
สาวใช้ไม่กล้าที่จะหลบ แต่ก็กลัวว่าไม้จะโดนหน้า ก็เลยหันหลังแทน
คิ้วงามของสวีซื่อจุนก็ขมวดขึ้นมาทันที
เขารีบเข้าไปดึงไม้ที่อยู่ในมือของซินเจี่ยเอ๋อร์ จากนั่นก็หันไปสั่งกับสาวใช้ว่า “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน! ทางนี้ข้าจะจัดการเอง!”
สาวใช้ที่ถูกตีก็ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง สาวใช้อีกคนก็รีบเข้าไปดึงเสื้อของนางพร้อมกับพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ตรงนี้มีท่านซื่อจื่ออยู่แล้ว! ทางฝั่งฮูหยินห้าเราต้องรีบไปรายงานก่อนจึงจะถูก”
สาวใช้ที่ถูกตีจึงไม่ลังเลต่อ รีบย่อตัวทำความเคารพ จากนั้นก็ถอยออกไปพร้อมกับสาวใช้อีกคน
ซินเจี่ยเอ๋อร์โมโหจนเหลืออด หากเข้าไปแย่งไม้ที่อยู่ในมือของสวีซื่อจุนก็คงจะไม่มีแรงพอ ครั้งจะไม่แย่ง ก็รู้สึกว่าทนยอมไม่ได้
นางเลยปล่อยไม้พร้อมกับร้องไห้เสียงดังลั่น
สวีซื่อจุนก็หันไปสั่งกับหวังซู่ว่า “เจ้าเองก็ถอยออกไปด้วย!”
หวังซู่ไม่กล้าออกไปไกลมาก เขาไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ แทน
สวีซื่อจุนเข้าไปกอดซินเจี่ยเอ๋อร์ไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า “พอแล้ว พอแล้ว หยุดร้องไห้ได้แล้ว หากดวงตาน้อยๆ ร้องไห้จนแดงก่ำ ใครเห็นเข้าจะหัวเราะเยาะเอาได้!” เขาพูดพลางลูบหลังของซินเจี่ยเอ๋อร์เบาๆ
“พวกท่านล้วนแต่รังแกข้า!” ซินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ได้ซาบซึ้งแต่อย่างใด นางพยายามดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของสวีซื่อจุนไม่หยุด “จิ่นเกอเป็นคนตีข้าก่อนแท้ๆ ท่านแม่กลับสั่งกักบริเวณข้า ทั้งๆ ที่ท่านเป็นคนผิดแท้ๆ แต่กลับมาแย่งไม้ของข้า…”
“ล้วนแล้วแต่เป็นความผิดของพี่สี่คนเดียว” สวีซื่อจุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เข้าข้างความคิดของซินเจี่ยเอ๋อร์
ซินเจี่ยเอ๋อร์จึงค่อยๆ หยุดร้องไห้ลง
สวีซื่อจุนก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยนางเช็ดหน้าเช็ดตา
ซินเจี่ยเอ๋อร์กลับแย่งผ้าเช็ดหน้าของสวีซื่อจุนไปเช็ดคราบน้ำตาด้วยตนเอง
สวีซื่อจุนเห็นว่าอารมณ์จิตใจของนางสงบลงมากแล้ว ก็เลยจูงมือของนางพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เราไปลอยประทีปกัน!”
ซินเจี่ยเอ๋อร์ไม่อยากสนใจเขา
สวีซื่อจุนจึงยกประทีปในมือขึ้นมา “เจ้าดูสิ น่าสนใจหรือไม่”
ซินเจี่ยเอ๋อร์ไม่อยากดู แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย จึงเหลือบไปดูอยู่ครู่หนึ่ง เวลานั้นเอง ดวงตาของนางก็เบิกกว้างขึ้นมาทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง
สวีซื่อจุนก็แสดงสีหน้าภูมิใจขึ้นมาทันที
“น่าสนใจใช่หรือไม่! ข้าพึ่งทำเสร็จเมื่อสักครู่ ดูแล้วเหมือนตอไม้เก่าแก่ แต่กลับเป็นประทีปลอยน้ำ” เขาพูดพลางจูงมือของซินเจี่ยเอ๋อร์เดินออกจากสวนป่าไป “ข้าวาดอยู่ครึ่งค่อนวันเห็นจะได้ พึ่งลงสีน้ำตาลเสร็จ แต่กลับไม่ค่อยสมดุลกัน ข้าติดขอนไม้เข้าไปหนึ่งท่อน ตามหลักแล้วมันน่าจะไม่จมน้ำ…เราลองนำไปลอยน้ำดู ว่ามันจะลอยได้หรือไม่!”
ซินเจี่ยเอ๋อร์เดินออกไปด้านนอกพร้อมกับสวีซื่อจุนพลางพูดขึ้นว่า “มันออกจะน่าเกลียด ไม่เห็นสวยเลย!”
“เช่นนั้นน้องหญิงสองชอบอะไร” สวีซื่อจุนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ข้าจะได้ทำให้น้องหญิงสองโดยเฉพาะ!”
ซินเจี่ยเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ข้าชอบดอกโบตั๋น พี่สี่ทำให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
“อันนี้ยากหน่อย” สวีซื่อจุนตอบกลับ “ประเดี๋ยวเราไปหาน้องห้า เขามีห้องทำงานโดยเฉพาะ ที่นั่นมีทั้งตอกไม้ไผ่และมีดเล็ก ข้าจะช่วยเจ้าทำทันทีเลย!”
ซินเจี่ยเอ๋อร์ก็หยุดเดินพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่เอา ข้าไม่ไปที่เรือนของจิ่นเกอ!” นางเบะปากจนริมฝีปากคว่ำลง
สวีซื่อจุนจึงหยุดฝีเท้าลง “เช่นนั้นก็ต้องรออีกสองสามวัน…รอข้าเตรียมอุปกรณ์ที่จะทำโคมไฟให้ครบก่อน แล้วค่อยเริ่มลงมือทำให้เจ้า!” สวีซื่อจุนไม่ได้บังคับนางแต่อย่างใด
ซินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็ยิ้มกว้างขึ้นมาทันที แก้มเล็กๆ นูนขึ้น ดูน่ารักน่าชังเป็นอย่างมาก
“เราไปกันเถิด!” สวีซื่อจุนเองก็ยิ้มตาม เขาจูงมือของซินเจี่ยเอ๋อร์พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เราไปลอยประทีปกัน!”
*****
ทะเลสาบปี้อียามพระอาทิตย์อัสดง เต็มไปด้วยแสงสีทองที่สาดส่องไปทั่ว
ประทีปรูปทรงตอไม้เก่าแก่ค่อยๆ ลอยไปยังกลางทะเลสาบปี้อีอย่างช้าๆ
“สำเร็จแล้ว! สำเร็จแล้วเจ้าค่ะ!” ซินเจี่ยเอ๋อร์ยืนตบมืออยู่ริมฝั่งของทะเลสาบ ใบหน้าของสวีซื่อจุนก็ปรากฏสีหน้าภาคภูมิใจขึ้นมา “ข้านึกไว้แล้ว ว่ามันจะต้องลอยน้ำได้อย่างแน่นอน!”
ซินเจี่ยเอ๋อร์ดึงแขนเสื้อของสวีซื่อจุนเบาๆ “พี่สี่เจ้าคะ เช่นนั้นท่านจะต้องรีบทำประทีปดอกโบตั๋นให้ข้าเร็วๆ!”
“ได้สิ!” สวีซื่อจุนยิ้มพร้อมกับจูงมือของซินเจี่ยเอ๋อร์ไปนั่งเก้าอี้หินที่อยู่ข้างๆ “เช่นนั้นต่อไปเจ้าห้ามไปตีสัตว์เลี้ยงของจิ่นเกออีกแล้วนะ!”
ซินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที “ใครใช้ให้จิ่นเกอทำข้าโมโหก่อนเล่า!”
“แต่นกกระเรียนไม่ได้ทำเจ้าโมโหเสียหน่อย!” สวีซื่อจุนพูดขึ้น “ปกติแล้ว ตอนที่เจ้าเดินเล่นอยู่ในลานสวน นกกระเรียนทั้งสองเดินเข้าหาเจ้าเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้เจ้าตีพวกมันแล้ว วันข้างหน้าพวกมันก็จะไม่สนใจเจ้าอีก เจ้าชอบให้ทุกคนเมินเจ้าหรือไม่”
ซินเจี่ยเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “จริงหรือ…”
“หากเจ้าไม่เชื่อ ก็ลองไปหานกกระเรียนพร้อมข้าดู”
สีหน้าของซินเจี่ยเอ๋อร์เต็มไปด้วยความสงสัย นางครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นก็ตอบกลับไปว่า “ได้เจ้าค่ะ ข้าจะไปหานกกระเรียนกับท่าน!” น้ำเสียงไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
