บทที่ 229 ไม่สามารถฟื้นจากความตายได้
บทที่ 229 ไม่สามารถฟื้นจากความตายได้
เมื่อเฮ่ออวี้เฟิงเห็นการแสดงออกของเซี่ยชิงหยวน เขาก็รู้ว่าเธอต้องการพูดอะไร
เขาพูดว่า “ตกลง ผมเข้าใจแล้ว ผมจะไม่บอกเขาตราบใดที่คุณร่วมมือกับผมไปตรวจที่โรงพยาบาล”
พอได้ยินแบบนั้น เซี่ยชิงหยวนก็พยักหน้าทันที “ได้ ๆ ฉันจะไป ฉันจะไป”
ไม่ว่ายังไง เธอก็ไม่คิดที่จะประมาทกับเรื่องสุขภาพร่างกาย หญิงสาวยังคงหวงแหนชีวิตของตัวเองอยู่
ดูเหมือนว่าเธอคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเลื่อนกลับไปที่เตียนเฉิงช้าอีกสองสามวันได้ซะแล้ว
ทั้งสองกำลังจะออกไป แต่แล้วก็มีคนวิ่งจากระยะไกลผ่านพวกเขา ตะโกนเสียงดังว่า “ลูกพี่!” และกำลังจะรีบเข้าไปในที่พัก
ในเวลานี้หน่วยดับเพลิงกับตำรวจมาถึงแล้ว และกำลังจัดกำลังให้ทุกคนพยายามดับไฟ
เมื่อเห็นชายหนุ่มที่มาใหม่เป็นแบบนี้ พวกเจ้าหน้าที่ก็พยายามเข้าไปคว้าตัวเขาทีละคน “คุณไม่เห็นว่าไฟกำลังไหม้แรงเหรอ? เดี๋ยวก็ตายหรอก!”
ฟู่ชุนไจ่ไม่สนใจคนอื่น ดวงตาของเขาเต็มด้วยความกังวล “ปล่อยฉันไป! ฉันต้องเข้าไป!”
พูดจบเขาก็สะบัดตัวออกและวิ่งตรงไปยังที่พัก
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อม เจ้าหน้าที่จึงเรียกคนหลายคนมาจับเขาไว้ด้วยกัน
คนอื่นตะโกนว่า “มันไหม้ขนาดนี้แล้วไม่มีใครรอดแน่ คุณคิดว่าจะช่วยชีวิตคนได้อีกยังไงถ้าคุณเข้าไป!”
คนที่พูดเมื่อคิดว่ายังอาจมีคนติดอยู่ข้างในแล้วหนีออกมาไม่ทัน เขาก็รู้สึกหายใจไม่ออกเพราะความสลด
ทำไมพวกเขาจะไม่อยากช่วยคนที่อยู่ในนั้นทั้งหมด แต่ตอนนี้ทั้งที่พักถูกไฟไหม้แล้ว จะมีคนรอดชีวิตได้ยังไง?
การเข้าไปตอนนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเข้าไปตายเพิ่มเลย
ฟู่ชุนไจ่ถูกตรึงไว้กับพื้นอย่างแน่นหนา
หัวของเขาถูกกดลงกับพื้น ดวงตาของเขาเป็นสีแดง เขากัดฟันกรอด น้ำตาและน้ำมูกผสมกับขี้เถ้าบนพื้น ใบหน้าของเขาสกปรกทันที
แต่เขายังคงจ้องมองที่ไฟที่ลุกพวยพุ่งเต็มท้องฟ้า พยายามดิ้นรนอย่างหนัก
เขาไม่สนใจสิ่งที่ทุกคนพูด และจ้องมองที่ประตูที่พักราวกับว่าโจวจิ่นจือจะออกมาในอีกไม่ช้า
ในหัวใจของเขา โจวจิ่นจือเป็นบุคคลที่มีตัวตนเหมือนพระเจ้า
โจวจิ่นจือคือคนที่เก่งกาจที่สุดและไม่มีใครที่สามารถเอาชนะได้
โจวจิ่นจือเป็นคนรักความยุติธรรมและปฏิบัติต่อพี่น้องทุกคนอย่างเท่าเทียม
เป็นบุคคลที่เกือบจะทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าเรื่องจะยากแค่ไหน พวกเขาสามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดายเมื่อโจวจิ่นจือลงมือ
ฟู่ชุนไจ่ไม่เชื่อว่าโจวจิ่นจือจะตายไปแบบนี้
ในท้ายที่สุด ฟู่ชุนไจ่ส่งเสียงร้องคร่ำครวญจากก้นบึ้งของหัวใจ “ลูกพี่!”
เซี่ยชิงหยวนยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนจากเขา มองไปที่ฉากตรงหน้าด้วยความสลดใจ
เฮ่ออวี้เฟิงก้มศีรษะราวกับว่าเขาเองก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงต่อไฟเช่นกัน “ไปกันเถอะ ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”
…
เซี่ยชิงหยวนอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลาสองวัน
ตอนที่เธอวิ่งหนี เธอปิดปากและจมูกด้วยผ้าเปียก ยกเว้นหลังจากที่เธอชนโจวจิ่นจือแล้วล้มลงที่ทางเดิน ปากและจมูกของเธอไม่ได้สูดอากาศเข้าไปโดยตรงมากนัก
โชคดีที่สถานการณ์ไม่รุนแรงเกินไป ยกเว้นในลำคอ ปอดไม่ได้สูดควันเข้าไปมากเกินไป
แพทย์ให้น้ำเกลือเธอเป็นเวลาสองวัน สังเกตอาการ และส่งเธอกลับ
โรงพยาบาลที่เธออยู่ก็รับผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุไฟไหม้ในเวลาต่อมา
ในหมู่พวกเขายังมีสมาชิกในครอบครัวของเหยื่อที่ร้องไห้ที่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน และขอร้องให้แพทย์รักษาคนที่พวกเขารักไว้
เซี่ยชิงหยวนฟังแล้วรู้สึกอึดอัดในใจอย่างบอกไม่ถูก
ต่อมาฟู่ชุนไจ่ก็ถูกนำมาที่นี่ด้วย
ตัวเขาดำไปทั้งตัว มีรอยฟกช้ำทั้งที่มือ ใบหน้า และไหล่
ขณะที่พันผ้าพันแผล พยาบาลปลอบเขา “คนเราไม่สามารถฟื้นขึ้นมาจากความตายได้ ฉันเสียใจด้วยนะคะ”
พยาบาลมองว่าเขาเป็นวีรบุรุษที่รีบเข้าไปในกองไฟเพื่อจะช่วยผู้คน ดังนั้นเธอจึงพูดคุยกับเขามากมาย
แต่ฟู่ชุนไจ่เอาแต่ก้มหน้าลง สายตาจับจ้องไปยังทิศทางหนึ่งและไม่พูดอะไร
เซี่ยชิงหยวนนอนห่างจากเขาสองเตียง เหตุการณ์ไฟไหม้ทำให้โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดหนาแน่นไปด้วยผู้คน และเริ่มอยู่ในสภาวะตึงเครียด
ผู้ป่วยที่บาดเจ็บไม่ร้ายแรงนักมีจำนวนมาก ซึ่งนอนอยู่ในห้องโถงของแผนกฉุกเฉินเช่นเดียวกับเธอ
บังเอิญเหล่าไต้มาหาเธอด้วย
เมื่อเห็นท่าทางงุนงงของเธอและเห็นพยาบาลข้าง ๆ กำลังคุยกับฟู่ชุนไจ่ เขาจึงรีบปิดกั้นสายตาของเซี่ยชิงหยวนด้วยร่างกายของเขา
เขากระซิบ “ทุกคนบอกว่าพี่โจวก็อยู่ที่ที่พักเมื่อคืนนี้ด้วย และไม่ได้ออกมาน่ะ”
เขาไม่ได้ยินเกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะเท่าไหร่ และมันน่าจะเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของแก๊ง
เมื่อไฟมอดดับลงในที่สุด ด้านในมีเพียงชั้นวางของว่างเปล่าที่เหลืออยู่ทั่วทั้งที่พักเท่านั้น
ผนังที่ไหม้ดำและเต็มไปด้วยกำแพงที่พังทลาย และทุกสิ่งภายในก็กลายเป็นเถ้าถ่าน
แม้ว่าจะมีผู้คนอยู่ข้างใน แต่พวกเขาก็หาไม่เจอแม้แต่เถ้ากระดูก
“นี่! นั่งลงเร็ว ๆ เลย คุณยังต้องฉีดยาที่แผลอีกนะ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ ทันใดนั้นเสียงพยาบาลก็ดังขึ้น ปรากฏว่าเป็นฟู่ชุนไจ่ที่ผลักนางพยาบาลออกไปและลุกจากเตียงเพื่อออกไป
นางพยาบาลอดทนไม่ไหวแล้วจึงได้แต่ตะโกนอยู่ข้างหลัง
ฟู่ชุนไจ่ยังคงมีผ้าพันแผลที่ผูกไม่เสร็จอยู่บนร่างกายของเขา และพวกมันก็ห้อยต่องแต่งอยู่แบบนั้น
เขารีบวิ่งออกจากเตียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก มาที่ด้านข้างของเซี่ยชิงหยวนอย่างรวดเร็ว
ร่างของเขากระแทกเข้ากับชั้นวางบนเตียงของเซี่ยชิงหยวนทำให้เกิดเสียงดัง
สายตาของเซี่ยชิงหยวนสบเข้ากับฟู่ชุนไจ่ชั่วครู่ และเมื่อเธอคิดว่าเขาจะทำอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเขาก็มองไปทางอื่นแล้วจากไป
เหล่าไต้มองไปที่หลังของฟู่ชุนไจ่ขณะที่อีกฝ่ายจากไป และตบหน้าอกของเขา ดูเหมือนเขาเองก็จะตกใจกลัวเช่นกัน
เหล่าไต้ส่ายหัวและถอนหายใจ “ชุนไจ่คนนี้ ฉันได้ยินมาว่าเขาอยู่กับพี่โจวมาหลายปี เขา…
เมื่อสังเกตเห็นท่าทางอ่อนล้าและอึดอัดของเซี่ยชิงหยวน เขาก็ปิดปาก “ไม่พูดกันถึงเรื่องนี้ดีกว่า อย่าพูดเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าอย่างรู้สึกหนักใจ
เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉากเมื่อคืนที่เธอพบโจวจิ่นจือที่ทางเดิน
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอมักจะรู้สึกว่าโจวจิ่นจือจะไม่ตายง่าย ๆ
เธอคิดด้วยซ้ำว่าเขาน่าจะหนีไปในภายหลังได้…
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัวไม่อยากคิดเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป
ต่อมาเฮ่ออวี้เฟิงก็มาเช่นกัน
เขายื่นตั๋วรถไฟให้เซี่ยชิงหยวน “นี่คือตั๋วรถไฟสำหรับพรุ่งนี้ตอนเที่ยงน่ะ”
เซี่ยชิงหยวนรับตั๋วมา “ขอบคุณนะ…ปลายทางคือเมืองหลวงของมณฑลยูนนานใช่ไหม?”
ตั๋วที่เฮ่ออวี้เฟิงให้ สถานีปลายทางกลายเป็นเมืองหลวงของมณฑลยูนนาน
เฮ่ออวี้เฟิงพยักหน้า “เมื่อวานผมโทรหาเสิ่นอี้โจวแล้ว และเขาบอกว่าต้องการซื้อตั๋วไปเมืองหลวงของมณฑลยูนนานให้คุณ คุณมีธุระต้องทำที่นั่น เขาบอกว่าเขานัดคุณแล้ว และคุณสามารถไปที่นั่นได้เลยเมื่อถึงเวลา”
ในตอนนี้เองที่เซี่ยชิงหยวนตระหนักว่ามันถึงเวลาที่เธอต้องไปพบหมอเพื่อติดตามผลทุกสิบวันแล้ว
เธอรับตั๋วและพูดว่า “ตกลง ฉันเข้าใจแล้ว ที่ผ่านมาฉันขอโทษที่ทำให้คุณลำบากนะ”
เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจมากนัก แต่แล้วความรู้สึกไม่สบายใจนั้นก็กลับมาอีกครั้ง
ความสงสัยค่อย ๆ เกิดขึ้นในใจของเธอ แต่เธอไม่ได้แสดงมันออกมา
เธอแค่หวังว่าเมื่อกลับไป มันจะมีคำตอบสำหรับข้อสงสัยทั้งหมด
…
วันรุ่งขึ้น เซี่ยชิงหยวนก็ออกจากโรงพยาบาล
นอกจากความรู้สึกไม่สบายในลำคอแล้ว ก็ไม่มีความรู้สึกไม่สบายอื่น ๆ ในร่างกายอีก
เมื่อเธอไปถึงเมืองหลวงของมณฑลยูนนาน เธอไปพบคุณหมอฮวงเพื่อติดตามผล
หมอฮวงมองหน้าเธอแล้วพูดว่า “เพิ่งผ่านไปสิบวันเอง ทำไมคุณดูซีดเซียวจัง?”
เซี่ยชิงหยวนเพิ่งหนีจากความตายและได้รับการฉีดยาที่โรงพยาบาลหยางเฉิงก่อนจากมา แน่นอนว่าโดยปกติแล้ว สภาพร่างกายของเธอจึงไม่ดีเท่าครั้งก่อน
เธอพยักหน้า “เมื่อเร็ว ๆ นี้ฉันเหนื่อยนิดหน่อยน่ะค่ะ”
หมอฮวงจับชีพจรเธอ และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “ร่างกายของคุณควรจะแข็งแรงขึ้น บางทีช่วงนี้คุณอาจจะเหนื่อยและกังวลมากเกินไปก็เลยอ่อนแอลงไปอีกสินะ”
เธอก้มหน้าลงและเขียนใบสั่งยา “ส่วนใหญ่เป็นยาเหมือนคราวที่แล้ว แต่ฉันได้เพิ่มยาใหม่ให้คุณกลับไปกินต่อด้วยนะคะ”
หมอฮวงหยุดชั่วคราวแล้วพูดว่า “โรคต่าง ๆ ของผู้หญิงเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ต้องจำไว้ อย่าวิตกกังวลมากเกินไป อย่าโกรธจัด แต่ถ้าไม่สามารถห้ามได้ก็ต้องแก้ไขปัญหาให้ทันท่วงทีนะคะ ไม่อย่างนั้นสิ่งเหล่านี้จะสะสมอยู่ในร่างกายและกลายเป็นโรค แล้วจะกระทบกับมดลูกและทรวงอกนะคะ”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำที่จริงใจของหมอ
เธอตอบว่า “ฉันจะจำไว้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะคุณหมอฮวง”
ต่อมาหมอฮวงได้ฝังเข็มและรมยาให้เธอ ในตอนท้ายหมอฮวงก็ถามคำถามขึ้น
“คุณอยู่ที่นี่ในเมืองหลวงของมณฑล คุณรู้จักใครไหมคะ?”
เซี่ยชิงหยวนไม่รู้ว่าทำไมหมอฮวงจึงถามแบบนี้
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ไม่นะคะ ครั้งล่าสุดที่มา ฉันมาที่นี่เป็นครั้งแรกและฉันก็มากับสามีค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของหมอฮวงก็ฉายแววว่างเปล่าและไม่ได้พูดอะไรอีก
ทว่าเซี่ยชิงหยวนสังเกตเห็นบางสิ่งที่แปลกไป และรู้สึกมีความสงสัยในใจของเธอ
เธอหยุดอยู่กับที่ “คุณหมอฮวงคะ มีใครมาหาคุณและถามอะไรคุณเหรอคะ?”
บทที่ 222 หล่อที่สุด
บทที่ 222 หล่อที่สุด
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินเสียง เธอก็หยุดอยู่กับที่ทันที
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งเดือน เธอไม่คิดว่าจะเจอกับพวกนักเลงเหล่านั้นในวันแรกที่กลับมาที่นี่
เธอเห็นฟู่ชุนไจ่หนีบรองเท้าแตะ แกว่งแขนไปมาอย่างรุนแรงพลางกำลังจะเดินเข้าหาเธอ
ข้าง ๆ เขาคือโจวจิ่นจือ
โจวจิ่นจือยืนล้วงกระเป๋ากางเกง เลิกคิ้วเมื่อได้ยินฟู่ชุนไจ่เรียกเธอก่อนที่สายตาจะจับจ้องที่ใบหน้าของเธอและหรี่ตาลง
โจวจิ่นจือเหลือบมองไปที่เฮ่ออวี้เฟิงที่ยืนอยู่ข้างหน้าเธออีกครั้ง ดวงตาของโจวจิ่นจือก็มืดลง
วินาทีต่อมา โจวจิ่นจือเหยียดแขนยาวออกคว้าฟู่ชุนไจ่และดึงมาไว้ข้างหลังเขา
อารมณ์ที่ฮึกเหิมส่วนใหญ่ของฟู่ชุนไจ่หายไปในทันที เขาซวนเซและหยุดมองไปที่โจวจิ่นจือด้วยใบหน้าที่งงงวย “ลูกพี่?”
หลังจากลูกพี่ของเขารู้ว่าสาวสวยคนนี้ออกไปจากเมืองกว่างโจวแล้ว สีหน้าของลูกพี่ของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนจริง ๆ…
ในเมื่อสาวสวยคนนี้มีอิทธิพลพอจะเปลี่ยนสีหน้าของลูกพี่เขาได้ มันก็แสดงให้เห็นว่าเซี่ยชิงหยวนนั้นแตกต่างออกไปจากผู้หญิงคนอื่น ๆ
โจวจิ่นจือเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา “นายกำลังจะทำอะไร?”
เมื่อเห็นสายตาเย็นชาของโจวจิ่นจือ ฟู่ชุนไจ่ก็จำสิ่งที่เขาเคยถูกเตือนได้
ดังนั้นเขาจึงหัวเราะแห้งและพูดว่า “ลูกพี่ ไม่เป็นไรสักหน่อยที่จะเป็นเพื่อนกับสาวสวย”
บางทีเพื่อนธรรมดาอาจกลายเป็นคู่รักกันในอนาคตก็ได้นี่?
โจวจิ่นจือเลิกคิ้ว “รู้สึกคันเนื้อคันตัวอยากถูกนวดใช่ไหม?”
เมื่อเห็นว่าโจวจิ่นจือตัดสินใจแล้วที่จะไม่ปล่อยเขาไป นั่นอาจเป็นเพราะเขากลัวว่าจะทำให้สาวงามขุ่นเคือง
สายตาของฟู่ชุนไจ่มองไปที่เสื้อกั๊กที่โจวจิ่นจือสวมอยู่ โอ้ กลายเป็นลูกพี่คิดว่าเสื้อผ้าที่เขาใส่ในวันนี้ดูไม่ดีสินะ
อืม พรุ่งนี้รอลูกพี่เปลี่ยนชุดหล่อกว่านี้ก่อนแล้วค่อยมาหาสาวสวยน่าจะดีกว่า
ดังนั้นเขาจึงยิ้มและส่ายหัว “ไม่นะลูกพี่ ผมไม่ได้คันสักหน่อย”
โจวจินจื้อพูดเบา ๆ “ไป!”
หลังจากพูดจบ โจวจิ่นจือก็หันกลับและเดินเข้าไปในตรอกใกล้ ๆ
ฟู่ชุนไจ่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตาม
วินาทีที่ฟู่ชุนไจ่และโจวจิ่นจือปรากฏตัว เฮ่ออวี้เฟิงยืนอยู่ตรงหน้าเซี่ยชิงหยวนมองดูพวกเขาอย่างระแวดระวัง
เฮ่ออวี้เฟิงไม่ได้ผ่อนคลายจนกว่าพวกนักเลงจะจากไปจริง ๆ
เขามองไปที่เซี่ยชิงหยวน “คุณรู้จักพวกเขาเหรอ?”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเซี่ยชิงหยวนกับพวกนักเลง ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่การพบกันเป็นครั้งแรก
เซี่ยชิงหยวนไม่ทันตั้งตัวจากการปรากฏตัว และการจากไปของฟู่ชุนไจ่ กับโจวจิ่นจืออย่างกะทันหัน
เธอส่ายหัว “ไม่ถือว่าเป็นคนรู้จักหรอก เมื่อฉันมาที่นี่ครั้งก่อน ฉันบังเอิญเจอพวกเขาที่กำลังต่อสู้กับแก๊งอื่น และสุดท้ายก็ลงเอยถูกเข้าใจผิดและเข้าไปในสถานีตำรวจด้วยกัน”
เซี่ยชิงหยวนไม่รู้ว่าด้วยประโยคเดียว เธออธิบายการต่อสู้ระหว่างแก๊งทั้งสองว่าเหมือนเป็น ‘การต่อสู้’ ธรรมดา ๆ ซึ่งในความเป็นจริงช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
เฮ่ออวี้เฟิงมองไปที่ทางเข้าของตรอกและพูดด้วยเสียงทุ้ม “เมื่อเห็นพวกเขาในอนาคต เป็นการดีที่สุดที่จะหันหลังกลับและหลีกเลี่ยงไปเลย ชายแซ่โจวคนนั้นไม่ใช่คนที่คุณสามารถยั่วยุได้”
พอได้ยินแบบนี้ อารมณ์ของเซี่ยชิงหยวนก็ค่อนข้างได้รับผลกระทบ
เธอรู้ว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่พวกคนที่เธอสามารถยั่วยุได้ แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะจำตัวเธอได้ซะแล้ว
ยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่เธอที่ยั่วยุพวกเขาสักหน่อย
เธอพูดว่า “คุณก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้แล้ว ดังนั้นคุณคิดว่าเราควรทำยังไงต่อดีล่ะ?”
เฮ่ออวี้เฟิงครุ่นคิด “คุณอยู่ในเมืองกว่างโจวแค่สองสามวัน ดังนั้นเบื้องต้นผมจะตามคุณไปทุกที่ก่อน แต่ถ้าไม่ได้ผล ผมจะไปคุยกับคนพวกนั้นให้เอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาแสนสวยของเซี่ยชิงหยวนก็เบิกกว้าง “ฉันยังไม่ได้เป็นอะไร เพราะงั้นอย่าไปคุยกับพวกเขาเพราะเรื่องของฉันเลย ฉันจะอยู่ที่นี่แค่สองสามวันเอง แค่พยายามหลีกเลี่ยงพวกเขาก็พอ”
ท้ายที่สุด ภาพตอนอยู่ในสถานีตำรวจ เลือดและบาดแผลบนร่างกายของโจวจิ่นจือยังคงชัดเจนในหัวของเธอ เขาเป็นคนที่เลียเลือดจากคมมีด
เธอไม่ต้องการให้ใครต้องตกอยู่ในอันตรายเพราะเธอ
เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนประเมินเขาต่ำไปอย่างเห็นได้ชัด
เฮ่ออวี้เฟิงก็คิดอยู่ครู่หนึ่งและกลืนสิ่งที่เขากำลังจะพูด
ลืมมันไปเถอะ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้บอบบางเกินไป และเธอจะหวาดกลัวเมื่อถึงเวลา ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเกลี้ยกล่อมเธอ
เมื่อคิดได้แล้วนั้นเขาก็พยักหน้า “ก็ได้”
ฟู่ชุนไจ่ตามโจวจิ่นจือเข้าไปในตรอก และพูดไปเรื่อย ๆ อยู่ข้างหลังเขา
“ลูกพี่ เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวนั้นที่ไอ้เจ้าสี่นำมาให้ ถ้าลูกพี่ใส่ลูกพี่ต้องดูหล่อมากแน่นอน พอไปโชว์มันต่อหน้าสาวสวยคนนั้น ผมแน่ใจว่าเธอจะต้องแทบสูญเสียจิตวิญญาณของเธอแน่นอน!”
ในรายการทีวีไม่ได้พูดหรือว่าพวกผู้หญิงชอบผู้ชายในเสื้อเชิ้ตสีขาว?
ลูกพี่ของเขาหล่อมาก ดังนั้นถ้าใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวคงจะยิ่งเท่ระเบิดแน่นอน
ฝีเท้าของโจวจิ่นจือหยุดกะทันหัน “ทำไมฉันต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินไปให้เธอเห็นด้วย?”
ฟู่ชุนไจ่พูดโดยไม่คิด “เพราะลูกพี่หล่อมาก”
โจวจิ่นจือกลอกตาไปที่ลูกน้องตัวเอง
ฟู่ชุนไจ่เกาหัวของเขาด้วยสีหน้างุนงง “ลูกพี่ไม่คิดว่าเสื้อเชิ้ตสีขาวจะหล่อพอเหรอ? แต่ใส่สีดำก็ไม่ได้ใช่ไหม? ใส่สีดำแล้วดูดุไปหน่อยนะ!”
โจวจิ่นจือ “…”
เขาขมวดคิ้วและชี้ไปด้านหน้า “ตอนนี้รีบ ๆ ไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้เลย ขืนยังพูดจาเพ้อเจ้อตรงนี้ต่อแกโดนแน่!”
…
หลังอาหารเย็น เฮ่ออวี้เฟิงพาเซี่ยชิงหยวนไปตลาดกลางคืนเพื่อหา แผงขายของเหล่าไต้
แผงขายของเหล่าไต้อยู่ใกล้ทางเข้าตลาด ดังนั้นจึงสามารถหาเจอได้แทบจะทันที
เหล่าไต้โบกมือให้เซี่ยชิงหยวน “น้องสาว ฉันอยู่นี่!”
เซี่ยชิงหยวนกับเฮ่ออวี้เฟิงเดินเข้าหา และเห็นว่าแผงขายของเหล่าไต้ไม่แออัดเหมือนแผงขายของอื่น ๆ
เสื้อผ้ามีราคาแพงกว่าอย่างเห็นได้ชัด แค่เห็นแวบแรกก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนหวาดกลัว
ผู้ที่มาที่ตลาดค้าส่งมักต้องการของราคาถูกที่คุณภาพพอไปวัดไปวาได้ก็พอ
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “เหล่าไต้ คุณวางแผนที่จะไปให้สุดทางจริงๆ”
เหล่าไต้โบกมือของเขาอย่างเฉยเมย “ฉันเชื่อว่าจะต้องมีคนที่ตาถึงเหมือนกับฉันอยู่อีกแน่นอน”
เขายิ้มและขยิบตาให้เธอ “ดูสิ ไม่ใช่ว่าเธอก็เป็นคนแรกหรอกเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มแต่ไม่พูดอะไร “มาดูเสื้อผ้ากันเถอะ”
เหล่าไต้ชี้ไปที่ตัวที่อยู่บนพื้น “พวกนี้มาจากชุดเดียวกันกับที่ฉันส่งให้ครั้งก่อน ยังมีสีและรูปแบบอื่น ๆ อีกที่ฉันไม่ได้ส่งให้ในตอนนั้น”
เขาชี้ไปทางด้านหลังอีกครั้ง “นี่เป็นของใหม่ เป็นของมีคุณภาพที่สวยมากเลย”
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังเสื้อผ้าที่อยู่ข้างหลังเหล่าไต้ สไตล์และสีของชุดเหล่านี้มีความเรียบง่าย สง่างาม และเป็นทางการมากกว่า
ดวงตาของเธอเป็นประกายโดยไม่รู้ตัว “นี่ดีมากเลย”
เธอพลิกดูพวกมันบนพื้นอย่างสบาย ๆ นอกจากสีชมพูและสีที่เป็นทางการแล้วยังมีสีสดใส อาจกล่าวได้ว่ามีเอกลักษณที่โดดเด่นมาก
เธออดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เหล่าไต้ คุณเลือกเสื้อผ้าทั้งหมดที่คุณซื้อในครั้งนี้ตามความชอบของฉันเลยเหรอเนี่ย?”
จริง ๆ แล้ว ทุกสไตล์สอดคล้องกับความต้องการของเธอมาก
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหล่าไต้ก็อดหัวเราะไม่ได้ “เป็นเพราะรสนิยมของเธอมันเหมือนกับของฉันต่างหาก”
ถ้าเซี่ยชิงหยวนไม่ชอบเสื้อผ้าแบบที่เขาชอบ เธอจะซื้อของของเขาไปมากมายได้ยังไง?
เซี่ยชิงหยวนกางถุงกระสอบของเธอแล้วหยิบเสื้อผ้าใส่เข้าไปพลางพูดว่า “ข้อตกลงจะเป็นอย่างที่เราพูดครั้งที่แล้ว ไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
เหล่าไต้ก็ย่อตัวลงเพื่อช่วยเธอหยิบเสื้อผ้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหา เรามันคนกันเองอยู่แล้ว”
ทั้งสองเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่มีความรู้สึกว่าน่าเสียดายที่เจอกันช้าไป
เขามีสัญชาตญาณที่ว่าถ้ารู้จักเซี่ยชิงหยวนไปเรื่อย ๆ เขาอาจจะเปลี่ยนโชคชะตาของเขาได้
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หัวใจของเขาก็อบอุ่นขึ้น
ตามนิสัยปกติของเซี่ยชิงหยวน เธอจะเลือกเสื้อผ้าแต่ละแบบและขนาดต่าง ๆ ไม่เกินสิบชิ้น
เมืองเตียนเฉิงใหญ่มาก อย่างเช่นเธอซื้อสองตัวที่นี่และขายสองตัวที่นั่น โอกาสที่คนใส่เสื้อเหมือนกันจะน้อยมาก
นอกจากนี้ขนาดยังแตกต่างกัน โดยทั่วไปจะแสดงถึงกลุ่มลูกค้าที่มีรูปร่างและอายุต่างกัน การใส่ในคนคนหนึ่งจะสะท้อนถึงรสนิยมที่แตกต่างกันด้วย
เหล่าไต้รู้นิสัยของเซี่ยชิงหยวน โดยที่เธอไม่พูดอะไร เขาก็เอาเสื้อผ้าใส่ถุงกระสอบสองใบให้เธออย่างรวดเร็ว
เซี่ยชิงหยวนเห็นว่ายังมีเสื้อผ้ามากมายอยู่ข้างหลังเหล่าไต้ จึงพูดว่า “พรุ่งนี้เช้าฉันจะมาหาคุณใหม่นะ”
เหล่าไต้เช็ดกางเกงของเขาด้วยมือทั้งสองข้าง “ครั้งนี้เธอต้องการเท่าไหร่ล่ะ? นอกจากนี้ยังมีรุ่นใหม่ ๆ ที่บ้านฉันยังไม่ได้นำออกมาขายครั้งที่แล้วอีกนะ เธอไม่ได้เป็นคนบอกเหรอว่าให้ฉันหันมาสนใจกักตุนสินค้าที่โละแล้วของฤดูร้อน? ยังมีสินค้าแบบนั้นเหลืออยู่ในโรงงานของลูกพี่ลูกน้องของฉันด้วย พรุ่งนี้ให้ฉันพาเธอไปดูดีไหม?”
เซี่ยชิงหยวนไม่คาดคิดเลยว่าเหล่าไต้จะพาเธอไปที่โรงงานโดยตรงเพื่อรับสินค้า
เหล่าไต้เห็นความประหลาดใจและความสงสัยของเซี่ยชิงหยวน จึงพูดด้วยรอยยิ้ม “คิดซะว่าคราวนี้ฉันพาเธอไปหาเพื่อนเพิ่มแล้วกัน ยังไงฉันเองก็ต้องไปรับสินค้าที่นั่นเหมือนกัน ในอนาคต ฉันจะไม่คิดค่าส่วนต่างสำหรับสินค้าที่กำลังโละขายแล้วกัน แค่เมื่อเธอร่ำรวยขึ้นมาก็อย่าลืมฉันก็พอนะน้องสาว”
เหล่าไต้พูดตรงไปตรงมา เซี่ยชิงหยวนก็มีความสุขเช่นกัน
เธอยิ้มและพูดว่า “ต่อให้คุณไม่พูดแบบนี้ ฉันก็ไม่ลืมคุณแน่”
เฮ่ออวี้เฟิงยืนอยู่ข้าง ๆ มองไปที่คนสองคนที่หัวเราะด้วยกัน ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น และสีหน้าของเขาดูแย่
เขาสงสัยว่าเสิ่นอี้โจวกลายเป็นคนอนาถมากกว่าเหล่าไต้ตรงหน้าเขาหรือไง ทำไมภรรยาของเสิ่นอี้โจวถึงพูดคุยกับผู้ชายอื่นอย่างนี้
ภรรยาของเสิ่นอี้โจวกำลังพูดคุยและหัวเราะกับผู้ชายคนอื่น เขาควรจะบอกเสิ่นอี้โจวดีหรือไม่?
———————
