กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี – บทที่ 231 เป็นของเธอและของทุกคน

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

บทที่ 231 เป็นของเธอและของทุกคน

บทที่ 231 เป็นของเธอและของทุกคน

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเสิ่นอี้โจวก็เปลี่ยนไป

เขากอดเธอแน่นยิ่งขึ้น และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดว่า “ผมสบายดี”

นอกจากประโยคนี้แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เธอฟังยังไงได้อีก

เซี่ยชิงหยวนอยู่ในอ้อมแขนของเขา เธอพบว่าหน้าอกของเขาไม่แน่นและกว้างอย่างที่เคยเป็น เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะการทำงานหนักในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา

เธอคว้าเสื้อผ้าของเขาและน้ำตาไหล “คุณบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร แต่ดูสภาพของคุณตอนนี้สิ มันคืออะไรกัน?”

เสิ่นอี้โจวริมฝีปากกระตุก “ชิงหยวน คุณจะเปลี่ยนใจจากผมไม่ได้นะกับอีแค่ผมไม่ได้ดูดีเหมือนเมื่อก่อนเนี่ย”

เซี่ยชิงหยวนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาล้อเล่น

เธอผละออกจากอ้อมแขนของเขา พลางมองเข้าไปในดวงตาของเขาและพูดว่า “บอกฉันที เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของคุณกันแน่?”

นับตั้งแต่ที่เธอสังเกตเห็นความแปลกประหลาดของเสิ่นอี้โจวในวันนั้น เธอก็รู้สึกผิดปกติ ในใจจริงแล้วอยากจะรีบกลับมาหาเขาและถามให้สิ้นสงสัย

แต่ด้วยเหตุสุดวิสัยที่เกิดไฟไหม้และต้องไปที่เมืองหลวงของมณฑลก่อน การเดินทางกลับจึงล่าช้าครั้งแล้วครั้งเล่า

พอเห็นเขาเป็นแบบนี้แล้ว ถ้าเธอไม่พาเขาไปโรงพยาบาลในทันที เธออาจกังวลใจจนนอนไม่หลับจริง ๆ

แววตาของเธอฉายแววชัด แสดงถึงความมุมานะที่ไม่ยอมแพ้จนกว่าจะถึงเป้าหมาย

เสิ่นอี้โจวรู้สึกเพียงว่าหัวของเขาเริ่มปวดอีกครั้ง

เขาถอนหายใจและพูดว่า “ครั้งที่แล้วหมอบอกว่าจะให้ดีก็ควรอยู่ในโรงพยาบาลเฝ้าสังเกตอาการตลอดเวลาน่ะ เพื่อจะได้มีแผนการรักษาที่เหมาะสมกว่า”

เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินเช่นนี้ หัวใจของเธอก็เริ่มเต้นผิดจังหวะ “อาการของคุณร้ายแรงขึ้นอีกเหรอ?”

เสิ่นอี้โจวเงียบไปราวสองวินาที จากนั้นมองไปที่เธอและพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่ที่ไหนกัน คุณก็รู้พวกหมอชอบกังวลไปเอง หมอพูดอย่างนั้นเพราะหวังว่าจะรักษาโรคนี้ให้หายขาดโดยเร็วที่สุดไง”

เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าตัวเธอรู้จักเสิ่นอี้โจวดี และเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้พูดความจริงกับเธอทั้งหมด

แต่ถ้าเขาคิดที่จะไม่พูดแล้ว เขาก็ไม่คิดจะไม่เปิดเผยให้เธอรู้สักคำ

เธอกึ่งประนีประนอมและกึ่งเรียกร้อง “งั้นเราไปเมืองหลวงของมณฑลทันทีและพบหมอหมิ่นกันไหม?”

เสิ่นอี้โจวจับมือเธอ “เอาล่ะ เราจะไปที่เมืองหลวงของมณฑลอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าต้องรอจนกว่าผมจะเสร็จงานยุ่ง ๆ ของผมก่อน”

เซี่ยชิงหยวน “เพราะเรื่องความแห้งแล้งในมณฑลน่ะเหรอ?”

เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ใช่ พืชผลในหลายเมืองแถบที่ราบลุ่มรวมไปถึงเมืองเตียนเฉิงก็แห้งแล้งและเกิดไฟป่าบ่อยครั้ง หากไม่มีมาตรการใด ๆ เมืองเตียนเฉิงและเมืองอื่น ๆ จะไม่ปลอดภัย ผมเป็นนักธรณีวิทยาและสภาพอากาศ ผมต้องทำเรื่องนี้”

เมื่อเสิ่นอี้โจวพูดถึงเรื่องนี้ คิ้วและดวงตาของเขามองลึกลงไป

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนก็คาดเดาผลลัพธ์ได้ทันที “เราต้องรอจนกว่าภัยแล้งจะคลี่คลายสินะ?”

เสิ่นอี้โจวขอโทษเธอทางแววตา และลูบหลังมือเธอเบา ๆ “ ชิงหยวน ผมเป็นเจ้าหน้าที่ ผมเองก็ต้องดูแลผู้คนเช่นกัน”

เมื่อเห็นสีหน้าที่หนักแน่นของเสิ่นอี้โจว เซี่ยชิงหยวนก็เข้าใจทันทีว่าเสิ่นอี้โจวยังเป็นคนเดิมที่ไม่ยอมแพ้กับความฝันของเขา

เขาจริงจังกับงานและทำเพื่อผู้คนที่เขารักเสมอ

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกเหมือนมีก้อนที่คอของเธอ

เขาเป็นของเธอและก็เป็นของทุกคนด้วย

เธอต้องการเขา แต่ผู้คนทั้งหลายต้องการเขามากยิ่งกว่า

เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลั้นน้ำตา พยักหน้าและพูดว่า “ก็ได้…”

เสิ่นอี้โจวเอาแขนโอบไหล่ของเธอ และอีกมือหนึ่งถือถุงกระสอบ “ไปกันเถอะ กลับบ้านของเรากัน”

เซี่ยชิงหยวนทิ้งตัวพิงหัวที่ตัวของเขา มองดูพระอาทิตย์ตกดินที่ยืดเงาของทั้งสองออกไปทางด้านหลัง

เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงคืนนั้นในหยุนเฉิงเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อพวกเขาเดินเคียงข้างกันเช่นนี้ ยังไงก็ตาม ภายในเพียงครึ่งเดือนจิตใจก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ผู้คนที่มารับรถและผู้ที่กลับบ้านจากระยะไกลรายล้อมหนาตา พวกเขาถูกห้อมล้อมด้วยบรรยากาศแห่งความสุข เธอเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นอี้โจวที่อยู่ข้างๆ เธอ เขาผอมกว่าเมื่อก่อนมาก และสันกรามของเขาก็โดดเด่น ทำให้เขาดูสง่างามมากขึ้น

ดวงตาฟีนิกซ์ของเขาจ้องตรงไปข้างหน้า สงบและไม่แยแส

เธออดไม่ได้ที่จะกำมือที่เขาจับเธอแน่น สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือของเขา

ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง เธอก็จะอยู่ร่วมกับเขา

รถของเสี่ยวหลิวจอดอยู่ข้างนอก และเซี่ยชิงหยวนแทบจะจำอีกฝ่ายไม่ได้เมื่อเธอเห็นเขา

เสี่ยวหลิวนั้นไม่เพียงแต่น้ำหนักลดลง แต่ผิวยังคล้ำดำมากอีกด้วย

เสี่ยวหลิวสังเกตเห็นความประหลาดใจในดวงตาของเซี่ยชิงหยวนและเกาหัวของเขาอย่างเขินอาย “เอ่อ…ช่วงนี้กำลังคนไม่พอน่ะครับคุณนาย ดังนั้นผมเลยไปช่วยขนเสบียงไปยังหมู่บ้านและเมืองแถบที่ราบต่าง ๆ”

เนื่องจากภัยแล้ง เมืองและหมู่บ้านบางแห่งที่อยู่แถวที่ราบกำลังขาดแคลนอาหาร ดังนั้นเมืองด้านบนสามารถส่งเสบียงไปให้ได้เท่านั้น

ต่อมาเมื่อพื้นที่แห้งแล้งมากขึ้นกำลังคนก็เริ่มไม่เพียงพอ

เซี่ยชิงหยวนครุ่นคิด “อืม”

เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “พี่สองของคุณก็เข้าร่วมกับขบวนส่งเสบียงด้วย”

เมื่อได้ยินเช่นนี้เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “อืม”

เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนไม่ร่าเริง เสี่ยวหลิวคิดว่าเจ้านายทั้งสองคนกำลังทะเลาะกัน ดังนั้นเขาจึงหยุดพูดด้วย

เมื่อกลับถึงบ้าน หลินตงซิ่วได้เตรียมอาหารไว้แล้ว

ผ้าพันคอสีแดงรอบคอของเสิ่นอี้หลินยังไม่ได้ถูกมัด เมื่อเขาเห็นเซี่ยชิงหยวน เขารีบวิ่งมาด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้!”

ทันใดนั้นเซี่ยชิงหยวนก็ตระหนักว่าการที่เธอเดินทางกลับมาช้า มันทำให้เธอพลาดการเริ่มไปโรงเรียนของเสิ่นอี้หลินโดยไม่คาดคิด

เสิ่นอี้หลินชี้ไปที่ผ้าพันคอสีแดงบนหน้าอกของเขาและยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “พี่สะใภ้ ดูสิผมคือผู้บุกเบิกรุ่นเยาว์!”

เซี่ยชิงหยวนลูบหัวของเด็กชายด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ อี้หลินของเราคือผู้บุกเบิกรุ่นเยาว์ ยอดเยี่ยมมาก!”

หลังจากได้รับคำชมจากเซี่ยชิงหยวน เสิ่นอี้หลินก็ยิ้มจนดวงตาของเขาหยีมาก

หลินตงซิ่วเข้ามาพร้อมชามและตะเกียบ พลางพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ของลูกเพิ่งกลับมา ให้เธอพักผ่อนให้เพียงพอเถอะ หยุดรบกวนเธอได้แล้ว”

จากนั้นหลินตงซิ่วพูดกับเซี่ยชิงหยวนอีกครั้ง “ตั้งแต่ลูกไปเมืองกว่างโจว อี้โจวก็แทบไม่กลับมากินข้าวที่บ้านเลย หลายครั้งแม่ไม่รู้ว่าเขากลับมานอนบ้านเมื่อไหร่ด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อลูกกลับมาแล้ว ลูกต้องพูดเตือนเขาหน่อยนะ”

เซี่ยชิงหยวนรู้เรื่องเกี่ยวกับงานของเสิ่นอี้โจว แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินสิ่งที่ หลินตงซิ่วพูด เธอก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

เมื่อเห็นเธอเป็นเช่นนี้ เสิ่นอี้โจวก็ประสานมือเข้าด้วยกันเพื่อร้องขอความเมตตาและจับมือ “ภรรยาของผม ผมผิดไปแล้ว”

เซี่ยชิงหยวนจะพูดอะไรได้อีก?

เธอไม่สามารถผูกเขาไว้กับเข็มขัดของตัวเองได้ เธอจะไม่ปล่อยเขาออกนอกบ้านได้เชียวเหรอ?

เธอมองเขาอย่างว่างเปล่าและพูดเบา ๆ “ล้างมือและกินข้าวกันค่ะ”

จานวางอยู่บนโต๊ะและทุกคนก็กินด้วยกัน

หลินตงซิ่วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “มันมีชีวิตชีวาที่สุดจริง ๆ เมื่อทุกคนรับประทานอาหารร่วมกันอย่างนี้”

เสิ่นอี้หลินกัดน่องไก่ชิ้นโตและคีบไก่ชิ้นหนึ่งลงในชามของหลินตงซิ่ว “แม่ก็กินข้าวเยอะ ๆ เถอะ”

เด็กชายไม่กล้าบอกให้เสิ่นอี้โจวรู้ในสิ่งที่เขาบอกเซี่ยชิงหยวน

เมื่อทั้งสองเข้าประตูมา เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับบรรยากาศ แต่ผู้เป็นแม่ของเขากำลังพูดกับตัวเองโดยไม่ได้สังเกต

เขารู้สึกว่าแม่ไม่ฉลาดเหมือนตัวเอง

แต่เมื่อเริ่มกินได้สักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

เสิ่นอี้โจววางชามและตะเกียบลง “พวกเขาน่าจะโทรมาตามหาผมน่ะ”

หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ลุกขึ้นและไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อรับโทรศัพท์

เซี่ยชิงหยวนนั่งที่โต๊ะอาหารโดยไม่ขยับ แต่สายตาของเธอเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของเสิ่นอี้โจว

เธอเห็นเขาถือหูโทรศัพท์ในมือข้างหนึ่ง และอีกข้างเท้าสะเอว เขาขมวดคิ้วโดยเอาแต่ฟังไม่พูดอะไรสักคำ

แน่นอนว่าเขาวางโทรศัพท์แล้วเดินกลับมาที่โต๊ะอาหาร

ชายหนุ่มมีสีหน้าขอโทษ “ผมขอโทษนะ ผมมีเรื่องต้องไปทำชั่วคราว ทุกคนกินต่อได้เลย”

หลังจากพูดจบ เขาก็หันกลับไปหยิบกระเป๋าเอกสารบนชั้นวาง และกำลังจะออกไป

“เดี๋ยวก่อน” เซี่ยชิงหยวนไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้ในที่สุด และพูดออกมา

บทที่ 224 ไม่ได้เจอกันนาน

บทที่ 224 ไม่ได้เจอกันนาน

เซี่ยชิงหยวนยืนขึ้นอย่างสบาย ๆ และเมื่อมองไปยังผู้หญิงที่กำลังเดินเข้ามา สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป

มีรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากของหญิงสาว และเธอมองอีกฝ่ายอย่างเฉยเมย

ในชีวิตที่แล้วผู้หยิงคนนี้ขัดแย้งกับเธอตลอดทั้งวัน พยายามที่จะกดขี่และใส่ร้ายเธอมากมาย ท้ายที่สุดเมื่อเธอลงสมัครตำแหน่งผู้จัดการ ผู้หญิงคนนี้ก็ลอกแบบการออกแบบของเธอและยังใส่ร้ายเธอว่าเป็นคนขโมยแบบเสียด้วยซ้ำ

สุดท้ายเธอต้องออกจากโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าหมานต๋าด้วยความอับอาย

เซี่ยชิงหยวนพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาในใจของเธอ ‘ไม่ได้เจอกันนาน เลยนะเฝิงฟาง!’

ทันทีที่เฝิงฟางเห็นเซี่ยชิงหยวน เธอก็ตกตะลึง

ในตอนแรกเธอรู้สึกทึ่งกับรูปร่างหน้าตาของเซี่ยชิงหยวน จากนั้นจึงสังเกตเห็นความเฉยเมยบนใบหน้าของอีกฝ่าย มันทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ได้

เหล่าไต้ก็ยืนขึ้นเช่นกัน

เขาก้าวมายืนอยู่ต่อหน้าเซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “น้องสาวเฝิงฟาง ฉันแค่พาเพื่อนของฉันมาซื้อของน่ะ”

เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักเฝิงฟาง

การแนะนำของเหล่าไต้ทำให้ความคิดของเฝิงฟางที่ถูกรบกวนโดยเซี่ยชิงหยวนในตอนแรกค่อย ๆ กลับมา

เธอตะคอกกลับไป “คุณต้องระวังมากกว่านี้นะ ในโรงงานของเราห้ามนำแมวและสุนัขเข้ามา”

อันที่จริงตอนที่เธอตะโกนตอนแรก เธอจำเหล่าไต้ได้ แต่รู้สึกไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นผู้หญิงที่นั่งยอง ๆ ข้างเขา

ผู้หญิงคนนี้สวมชุดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโรงงานของฤดูกาลนี้ ท่อนล่างสีเหลืองอ่อน เอวคอด มุมกระโปรงถูกตกแต่งด้วยขอบลูกไม้ จับจีบที่คอเสื้อและแขนพองทั้งสองข้าง ทั้งตัวดูอ่อนโยนและชวนหวาน

แม้ว่าเธอจะไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย แต่เพียงแค่เงาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวใจของผู้คนสั่นไหว

กระโปรงตัวนี้เธอเองก็มีอยู่หนึ่งตัวและชอบมันมาก ๆ

แต่ผิวของเธอเข้มกว่า เอวของเธอหนากว่า เลยไม่สามารถสวมใส่แล้วมีเสน่ห์ขนาดนี้ได้เลย ซึ่งพอใส่แล้วเธอดูเหมือนสาวบ้านนอกมากกว่าเสียอีก

หลังจากใส่เพียงครั้งเดียว เธอก็ถอดมันและเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า

เธอเป็นคนที่ชอบเอาชนะ ดังนั้นจึงมีความคิดเกิดขึ้นในใจของเธอทันที จึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนด้วยน้ำเสียงดุดันอย่างตั้งใจ

โดยไม่คาดคิดเลยว่า ผู้หญิงคนนี้ดูไม่ตื่นตระหนกเลย แต่กลับมองดูตัวเธออย่างสงบเงียบ ดวงตาของอีกฝ่ายเหมือนบ่อน้ำโบราณที่ไร้เกลียวคลื่น

ไม่เพียงแต่การกดดันจะล้มเหลว แต่เธอยังถูกตอบโต้ด้วย ดังนั้นความรู้สึกขุ่นเคืองจึงเพิ่มมากขึ้นทวีคูณ

เธอจึงใช้ประโยชน์จากการเป็นญาติห่าง ๆ ของผู้จัดการโรงงาน เพราะเธอเคยชินกับการกดขี่ผู้คนในโรงงาน และตอนนี้เซี่ยชิงหยวนดูจะไม่กลัวเธอเลย มันไม่ง่ายเหมือนตอนกลั่นแกล้งคนอื่นได้ด้วยวาจาเลย

เมื่อพูดจบ คิ้วที่สั้นและหนาสองข้างของเหล่าไต้ก็ขมวด

เขารู้ว่าเฝิงฟางเป็นคนนิสัยไม่ดี ดังนั้นทุกครั้งที่เขาเห็นเธอ เขามักจะตามน้ำเธอไป

แต่เกิดอะไรขึ้น?

ทำให้เซี่ยชิงหยวนลำบากต่อหน้าเขาเนี่ยนะ?

นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยชิงหยวนมาที่นี่ด้วยซ้ำ แล้วทำไมถึงเข้ามาหาอย่างเป็นศัตรูอย่างนี้?

เมื่อสังเกตเห็นวิธีที่เฝิงฟางมองที่เซี่ยชิงหยวนโดยไม่สามารถซ่อนความริษยาได้ เหล่าไต้ก็เข้าใจในทันที

ดูเหมือนว่าผู้หญิงที่สวยเกินไปไม่เพียงแต่ดึงดูดความโลภของผู้ชายเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้หญิงคนอื่นอิจฉาได้ง่ายอีกด้วยบราวนี่ออนไลน์

แต่เฝิงฟางคนนี้ก็ใจแคบเกินไป

เขาไม่สนใจที่จะทำให้เฝิงฟางขุ่นเคืองอีกแล้ว เขาเท้าสะเอวแล้วพูดว่า “น้องสาวเฝิงฟาง นี่เธอไปกินดินปืนที่ไหนมา? ทำไมเธอต้องฉุนเฉียวขนาดนี้ด้วย? คนที่ฉันพามาเป็นแขกและเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ยังไม่ได้ยั่วโมโหเธอเลยด้วยซ้ำ ทำไมเธอพูดจาแย่แถมยังเสียงดังขนาดนี้?”

น้ำเสียงของเขาดูล้อเลียน แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ไม่มีรอยยิ้มในดวงตาของเขาเลย

เห็นได้ชัดว่าเหล่าไต้โกรธมาก

แต่เฝิงฟางไม่กลัวเหล่าไต้อยู่แล้ว

เธอพึมพำเบา ๆ “ฉันไม่ผิดสักหน่อย คนเรารู้จักหน้าตาแต่ไม่มีทางรู้จักจิตใจหรอก”

ความหมายของคำนั้นชัดเจนมาก

“เหอะ ๆ” เซี่ยชิงหยวนหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นเบามาก แต่ให้ความรู้สึกเยาะเย้ยที่รุนแรง

เซี่ยชิงหยวนปิดปลายจมูกของตัวเองเบา ๆ และมองไปทางอื่น แต่เฝิงฟางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะเยาะตัวเอง

ความโกรธที่กักเก็บไว้ของเฝิงฟางถูกจุดขึ้นทันที เธอขมวดคิ้วและมองไปที่เซี่ยชิงหยวน “เธอหัวเราะอะไรไม่ทราบ!”

เซี่ยชิงหยวนมองดูเธออย่างเงียบ ๆ ด้วยท่าทางเกียจคร้าน “หัวเราะอะไร? แน่นอนเพราะฉันเห็นเรื่องตลก ฉันก็เลยหัวเราะน่ะสิ”

เฝิงฟางคือคนสารเลว เมื่อชาติที่แล้วเพียงเห็นหน้าเธอครั้งแรกเฝิงฟางก็ไม่พอใจเธอโดยไม่มีเหตุผล ต่อมาก็กลั่นแกล้งเธอสารพัดวิธี ซึ่งเธอทำได้แต่ต้องยอมเพราะสถานะ

แต่วันนี้มันต่างกับเมื่อชีวิตที่แล้ว ทำไมเธอยังต้องทนเหมือนเดิมด้วย?

เมื่อก่อนเธอถูกกดขี่และควบคุมไปทุกที่ แต่ตอนนี้เธอไม่กลัวแล้ว

ทัศนคติของเซี่ยชิงหยวนทำให้เฝิงฟางโกรธมาก

ไม่ว่าใครเมื่อมาเหยียบโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าหมานต๋า ใครบ้างไม่ยกยอตัวเธอ แม้แต่ถานม่านก็ยังต้องพูดคำดี ๆ กับเธอเลย

ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเธอมีความสามารถอะไรถึงกล้าทำให้เธอขุ่นเคืองอย่างเปิดเผยแบบนี้?

เธอก้าวไปหาเซี่ยชิงหยวนทันที “เธอหมายความว่าไง?”

น้ำเสียงของเฝิงฟางหยิ่งยโส ดวงตาของเธอจับจ้องที่เซี่ยชิงหยวนเขม็ง และเธอยืนยันที่จะต้องการให้อีกฝ่ายอธิบายอย่างชัดเจน

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนก็พ่นลมหายใจอย่างเย็นชาพร้อมกับยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากของเธอ

“น้องสาว ถ้าฉันพูดแค่นี้เธอยังไม่เข้าใจก็ควรกลับไปเรียนใหม่นะ ฉันพูดภาษามนุษย์แท้ ๆ แต่ยังกลับมีคำถามมากมาย และฉันก็ไม่จำเป็นต้องให้คำตอบเธอเสมอ จริงไหม?”

ในครั้งนี้เซี่ยชิงหยวนพูดห้วน ๆ เท่านั้น พลางเยาะเย้ยอีกฝ่ายที่ไม่เข้าใจภาษามนุษย์

หน้าอกของเฝิงฟางพองขึ้นทันที เห็นได้ชัดว่าโกรธจัดอย่างมาก

เมื่อเห็นเฝิงฟางกำลังโกรธ เหล่าไต้ก็ยืนบังปิดกั้นสายตาของเธอที่มองเซี่ยชิงหยวน “น้องสาวเฝิงฟาง เราแค่มาซื้อของเท่านั้น เดี๋ยวเราก็จะออกไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอะอะแบบนี้ ถูกไหม?”

เมื่อเห็นว่าเหล่าไต้กำลังช่วยเซี่ยชิงหยวน เฝิงฟางก็โกรธจนเจ็บหน้าอก

เธอหันกลับไปและกำลังจะดึงถุงกระสอบของพวกเขา “ใครบอกว่าพวกเราต้องการทำธุรกิจด้วยฮะ! ฉันไม่ขาย ดังนั้นออกไปซะ!”

ขณะที่เธอพูด เธอก็จับเสื้อผ้าที่อยู่ข้างในถุงกระสอบลงบนพื้น

เมื่อเห็นเช่นนี้ เหล่าไต้ก็ต้องการที่จะหยุดเธอ

แต่คนที่เคลื่อนไหวเร็วกว่าเขาคือเซี่ยชิงหยวน

เซี่ยชิงหยวนก้าวไปข้างหน้าและคว้าข้อมือของเฝิงฟางไว้

เฝิงฟางร้องด้วยความเจ็บปวดทันที “อ๊า! ปล่อยฉันนะ!”

ตอนนี้ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนอีกแล้ว

เซี่ยชิงหยวนจ้องที่อีกฝ่ายอย่างว่างเปล่า “ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเธอสามารถเป็นตัวแทนของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าหมานต๋าได้ด้วย เธอเป็นเพียงหัวหน้างานเล็ก ๆ เท่านั้น เธอตัดสินใจแทนโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าหมานต๋าได้เลยงั้นเหรอ?”

เซี่ยชิงหยวนพูดพร้อมกับเหวี่ยงอีกฝ่ายออกไป

ดวงตาของเฝิงฟางแดงก่ำ เธอจ้องมองอย่างดุเดือดที่เซี่ยชิงหยวน

เซี่ยชิงหยวนดูถูกตัวเธอชัด ๆ!

ด้วยความโกรธจนไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เฝิงฟางตะโกนเสียงดัง “ฉันตัดสินใจได้! เจ้านายของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าหมานต๋าคือลูกพี่ลูกน้องของฉัน และโรงงานทั้งหมดก็เป็นของครอบครัวฉัน ฉันสามารถทำได้ทุกอย่างที่ฉันพูด!”

“เสี่ยวฟาง!” ทันใดนั้นเสียงตะโกนก็ดังมาจากที่ไกล ๆ

———————

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

Status: Ongoing
หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ประสบอุบัติตุจนเสียชีวิต และเธอก็ได้ย้อนไปตอนที่เธออายุ 21 ปี …ลับมาครั้งนี้เธอจะไม่ยอมหย่ากับเสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธออีกเด็ดขาด! หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ช่วยเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้จนประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ปีแล้วปีเล่าผ่านไป เสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธอก็มักจะมายี่ยมหลุมศพของเธอประจำ เธอในร่างวิญญาณออกปากไล่เขาทุกครั้งต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ยิน เขาจำไม่ได้เลยหรืออย่างไร ว่าเธอทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่แล้วเธอก็ได้ย้อนกลับมาใน ในวันที่เธออายุ 21 ปี แลยังไม่ได้หย่าขาดกับเสิ่นอี้โจว ในเมื่อเธอได้โอกาสอีกครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด ครั้งนี้เธอจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับเสิ่นอื้โจวได้จงได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท