กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี – บทที่ 240 ความเป็นแม่

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

บทที่ 240 ความเป็นแม่

บทที่ 240 ความเป็นแม่

หลังจากได้ยินเสียงตะโกนของเซี่ยจื่ออี้ ฉู่ซิงอวี่ก็ตกใจและเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวเพื่อมองไปยังที่มาของเสียง

แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าการกระทำของเขาเมื่อกี้ไม่ได้ถือว่าหยาบคาย ดังนั้นเขาจึงเอาหัวใจของเขากลับคืนสู่ท้องของเขา*[1]

เขายืนขึ้นและกล่าวทักอย่างอึดอัด “จื่ออี้ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่?”

แม้จะได้ยินและเห็นภาพดังกล่าว แต่เซี่ยจื่ออี้ก็ยังเก็บสีหน้าก่อนหน้าของเธอไว้

มีรอยยิ้มจาง ๆ บนริมฝีปากของเธอ “ฉันได้ยินข่าวจากพ่อของฉันน่ะ ดังนั้นฉันเลยรีบมาทันที”

จากนั้นเธอมองไปทางเซี่ยชิงหยวน “คุณนายเสิ่นสบายดีไหมคะ?”

ในขณะนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ได้ยินเสียงเช่นกัน เธอกลั้นน้ำตาลุกขึ้นยืน

เธอก้มหน้าและเช็ดน้ำตาแล้วตอบอย่างใจเย็น “ค่ะ”

เซี่ยจื่ออี้พูดต่อ “พ่อของฉันติดประชุมที่สำคัญมากอยู่ และเขายังไม่สามารถออกมาได้อีกสักพัก เขาเลยให้ฉันล่วงหน้ามาที่นี่ก่อนน่ะ”

เธอหยุดชั่วคราวแล้วมองไปที่ฉู่ซิงอวี่ “ซิงอวี่ เลขาธิการเสิ่นเป็นอะไรมากไหม?”

เมื่อได้ยินแบบนี้ คิ้วและดวงตาของฉู่ซิงอวี่ก็หนักอึ้งอีกครั้ง

เขามองไปที่เซี่ยชิงหยวนก่อน และเมื่อเห็นเธอหันหน้าหนี เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการคุยเรื่องนี้กับพวกเขาอีกต่อไป

เขาขยิบตาให้เซี่ยจื่ออี้ส่งสัญญาณให้เธอออกไปคุยกับเขาสองคน

เซี่ยชิงหยวนเดินไปที่ประตูห้องตรวจ รอให้หมอและพยาบาลเข็นเสิ่นอี้โจวออกมา

มันเป็นเวลาเพียงสามหรือสองนาทีเท่านั้น และสำหรับเธอแล้ว มันดูเหมือนเป็นความทรมานที่ยาวนานมาก

ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้เธอได้ตัดสินใจในใจแล้ว

เพียงแค่รอให้หลินตงซิ่วมาบอกด้วยกัน

หลังจากที่ฉู่ซิงอวี่และเซี่ยจื่ออี้ไปพูดกันที่ไกล ๆ จนจบ พวกเขาก็เงียบไปครู่หนึ่งโดยไม่พูดอะไร

เซี่ยจื่ออี้ถอนหายใจเบา ๆ “น่าเสียดายจริง ๆ เลขาธิการเสิ่นเป็นคนที่ดีเลยนะ”

ฉู่ซิงอวี่ได้ยินเสียงถอนหายใจแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เขาตามมาส่งเสิ่นอี้โจวที่โรงพยาบาล

เขาขมวดคิ้ว “หลังจากนี้อย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าภรรยาของเลขาธิการเสิ่นมากเกินไปด้วย ถ้าไม่มีอะไรทำก็กลับไปก่อน”

เซี่ยจื่ออี้อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง “ซิงอวี่ นายกำลังไล่ฉันไปเหรอ?”

ร่องรอยของความเหนื่อยล้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉู่ซิงอวี่

วันนี้เขาได้ติดตามเสิ่นอี้โจวไปที่แนวหน้าของฝูเถียน กระทั่งตอนที่เสิ่นอี้โจวล้มลง เขาก็ยังยืนอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายจนถึงตอนนี้ กล่าวได้ว่าเขาก็เหนื่อยมากเช่นกัน

ฉู่ซิงอวี่นวดขมับตัวเอง “เธอก็น่าจะรู้ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับอาการป่วยของเลขาธิการ และเธอไม่สามารถช่วยอะไรได้ต่อให้อยู่ที่นี่ก็ตาม ดังนั้นเธอกลับไปก่อนดีกว่า ฉันกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เธออาจจะพูดมากกว่าว่ามันจะทำให้ภรรยาของเลขาธิการเสิ่นรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด สีหน้าของเซี่ยจื่ออี้ก็ดูดีขึ้น

แต่ถึงยังไงเธอก็ยังรู้สึกอึดอัดในหัวใจอยู่ดี

โดยเฉพาะฉากที่เธอเห็นเมื่อกี้นี้ มันเหมือนเข็มแทงเข้าไปในหัวใจ และเธอต้องการที่จะดึงมันออกมาอย่างรวดเร็ว

เธอแค่ยิ้มกลับไป “ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ นายก็อย่าทำงานหนักเกินไปล่ะ โทรหาฉันได้ทุกเมื่อหากต้องการเลยนะ”

ทันใดนั้นเธอก็กลายเป็นเซี่ยจื่ออี้ที่อ่อนโยนอีกครั้ง บราวนี่ออนไลน์

ฉู่ซิงอวี่พยักหน้า “ขอบคุณสำหรับวันนี้นะ”

เขาส่งเซี่ยจื่ออี้ไปที่ประตูแผนกโรคระบบทางเดินอาหารแล้วเดินกลับไป

เซี่ยจื่ออี้ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ไกลออกไป พลางมองย้อนกลับไป และรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธออย่างมีความหมายแฝง

เสี่ยวหลิวไปรับหลินตงซิ่วในตอนเย็น

เมื่อหลินตงซิ่วเห็นเซี่ยชิงหยวน น้ำตาของเธอก็ไหลทันที

เธอดูเหมือนแก่ขึ้นสิบปีในชั่วข้ามวัน

เซี่ยชิงหยวนช่วยพยุงแม่สามีของเธอพร้อมกับร้องไห้ “แม่”

หลินตงซิ่วมองไปรอบๆ “อี้โจวอยู่ที่ไหน?”

เซี่ยชิงหยวนเช็ดน้ำตาของเธอและหันไปด้านข้าง “เขาอยู่ข้างในค่ะ”

หลินตงซิ่วมองไปในทิศทางนั้น

เธอเห็นลูกชายคนโตของเธอ ซึ่งวางใจได้ราวกับภูเขาในอดีตนอนนิ่งอยู่บนเตียง

ลูกชายคนโตของเธอตอนนี้กำลังนอนตาปิดแน่น เขาไม่มีท่าทีเย็นชาและไม่แยแสอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป

ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยสายระโยงระยางมากมาย ซึ่งต่อกับเครื่องมือแพทย์ต่าง ๆ เขากลายเป็นดูตัวเล็กไปเลยทั้ง ๆ ที่ความสูงมากกว่า 1.8 เมตร

หลินตงซิ่วเพียงแค่มองไปที่ฉากนั้น หัวใจของเธอก็เจ็บปวดอย่างหนักจนหายใจไม่ออก

หญิงวัยกลางคนอย่างเธอที่ทำงานหนักในชนบทมาตลอดชีวิต ในสายตาของเธอ หลังจากที่สามีเสียชีวิต ลูกชายคือทุกสิ่งสำหรับเธอ

เธอไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อทุกอย่างกำลังเป็นไปในทิศทางที่ดี เสิ่นอี้โจวกลับต้องมาทนทุกข์ทรมานกับสิ่งนี้

ระหว่างทางเธอเฝ้าภาวนาอ้อนวอนขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยอวยพรให้เสิ่นอี้โจวไม่เป็นอะไร

ตราบใดที่ลูกชายของเธอสามารถฟื้นตัวได้ แม้ว่าจะต้องเอาชีวิตของเธอเข้าแลกตนก็เต็มใจ

เซี่ยชิงหยวนเดินมาหาเธอ พยุงไหล่ที่สั่นเทาของแม่สามีแล้วร้องว่า “แม่คะ”

หลินตงซิ่วจับแขนของเซี่ยชิงหยวนแล้วถามว่า “ชิงหยวน บอกความจริงกับแม่มาสิ หมอพูดว่าอะไรบ้าง?”

เซี่ยชิงหยวนหลั่งน้ำตาไปแล้วตลอดบ่ายก่อนที่หลินตงซิ่วจะมา

และตอนนี้เธอยังคงเจ็บปวดใจอยู่

แต่เธอก็รู้ว่าครอบครัวนี้ต้องมีใครสักคนคอยสนับสนุน

เซี่ยชิงหยวนเช็ดน้ำตา ช่วยพยุงหลินตงซิ่วออกไป และบอกหลินตงซิ่วว่าหมอหมิ่นพูดอะไรบ้าง

หลังจากฟังคำพูดของเซี่ยชิงหยวน สีหน้าของหลินตงซิ่วก็ซีดและเธอก็พูดไม่ออก

ในสายตาของคนรุ่นพวกเธอ เฉพาะผู้ที่ป่วยหนักเท่านั้นที่จะไปโรงพยาบาล และการรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้นเป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นโรคอะไร ขอแค่ไปโรงพยาบาลก็สามารถรักษาให้หายได้

เมื่อหมอบอกว่ามีโอกาสมากที่เสิ่นอี้โจวจะไม่สามารถลุกจากเตียงผ่าตัดได้…นี่มันร้ายแรงแค่ไหนกัน?

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หลินตงซิ่วก็รู้สึกหนาวไปทั้งตัว และอดไม่ได้ที่จะร้องไห้

เธอบีบมือของเซี่ยชิงหยวนแน่น และมือที่หยาบกร้านของเซี่ยชิงหยวนก็เจ็บปวดมาก

เธอพูดว่า “ชิงหยวนไม่ว่าลูกจะพูดอะไร แม่จะทำตามมันทั้งหมด”

เมื่อมองไปยังสีหน้าที่สงบของเซี่ยชิงหยวน หลินตงซิ่วก็มองว่าเซี่ยชิงหยวนเป็นดั่งกระดูกสันหลังโดยไม่รู้ตัว

เซี่ยชิงหยวนจับมือแม่สามีของเธอแทน และพึมพำ “แม่คะ หนูอยากให้อี้โจวผ่าตัดค่ะ”

เธอครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามนี้ตลอดทั้งบ่าย

เธอต้องการที่จะต่อสู้ แต่เธอก็กลัวว่าจะไม่สามารถทนต่อผลที่ตามมาได้

ทันใดนั้นเธอก็คิดว่าถ้าตัวเองเป็นเสิ่นอี้โจว เธอจะเลือกอะไร

เมื่อคิดเช่นนี้ คำตอบทั้งหมดก็ชัดเจนในทันที

แม้จะมีโอกาสเพียง 1% เธอก็จะสู้เพื่อมัน

หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยชิงหยวน หลินตงซิ่วก็ไม่แปลกใจเลย

หลินตงซิ่วพยักหน้าอย่างระมัดระวัง “ตกลง แม่สนับสนุนการตัดสินใจของลูก”

เธอไร้ประโยชน์และอ่อนแอมาตลอดชีวิต แต่ในช่วงเวลาสำคัญของชีวิตและความตายของลูกชาย จู่ ๆ เธอก็เข้มแข็งและตัดสินใจได้

การเป็นแม่คือการเป็นคนที่แข็งแกร่ง ซึ่งบางทีนี่อาจเป็นเหตุผล

เมื่อได้ยินคำพูดของหลินตงซิ่ว เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้อีกครั้ง

ตามปกติแล้วไม่มีใครเต็มใจที่จะเสี่ยง และเธอก็เตรียมตัวก่อนแล้วที่จะเกลี้ยกล่อมให้หลินตงซิ่วพยักหน้า

ทว่าหลินตงซิ่วตกลงโดยไม่ลังเล

เซี่ยชิงหยวนจับมืออีกฝ่ายอีกครั้ง “แม่คะ ขอบคุณค่ะ”

หลินตงซิ่วพูดว่า “ลูก แม่เสียใจกับลูกจริง ๆ”

แม่สามีและลูกสะใภ้แนบชิดกัน และทำการตัดสินใจที่ยากลำบากอย่างยิ่ง

ฉากนี้ทำให้ฉู่ซิงอวี่และเสี่ยวหลิวที่อยู่ข้าง ๆ น้ำตาไหลเช่นกัน

ฉู่ซิงอวี่กล่าวว่า “ผมจะไปหาหมอหมิ่นนะครับ”

* เอาหัวใจกลับคืนสู่ท้อง (便把心落回了肚子里) หมายถึง ทำใจให้สบาย ปราศจากวิตกกังวล

บทที่ 233 หยุดหาเงินไม่ได้

บทที่ 233 หยุดหาเงินไม่ได้

อาเซียงเอ่ยว่า “มันแล้งมากจนเราไม่สามารถรดน้ำผักได้เลยค่ะ น้ำในบ่อปลาของเราก็มีไม่ถึงครึ่งเหมือนกัน”

“เมื่อก่อนในหมู่บ้านมีบ่อน้ำหลายบ่อ แต่ตอนนี้พวกเขาต้องไปที่ภูเขาเพื่อตักน้ำจากน้ำที่ภูเขา ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป น้ำพุในภูเขาจะหมดลงไม่ช้าก็เร็ว”

น้ำพุในภูเขาที่อาเซียงกล่าวถึงนั้นอยู่ในภูเขา ก่อนที่จะมีการขุดบ่อน้ำหลายคนไปที่นั่นเพื่อตักน้ำ

น้ำพุภูเขาพุ่งออกมาจากรอยแตกของหิน หลายปีการไหลของน้ำส่งผลกระทบต่อบ่อขนาดใหญ่ด้านล่าง ที่เต็มไปด้วยน้ำพุจากภูเขาเป็นเวลาหลายปี

แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่น้ำในบ่อหายไป แม้แต่น้ำพุที่พุ่งออกมาก็ยังออกมาในปริมาณที่น้อยเป็นหยด

หญิงสาวได้ยินจากพ่อของเธอว่าในบางแห่งผู้คนแบกขวดโหลไว้บนหัวแล้วเดินกว่าสิบกิโลเมตรเพื่อไปเติมน้ำ

เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินเช่นนี้ คิ้วและดวงตาของเธอก็มืดลง

ภัยแล้งรุนแรงมากจริง ๆ

เซี่ยชิงหยวนได้แต่ปลอบอย่างอ่อนแรง “เราต้องมั่นใจว่าปัญหานี้จะได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม”

เท่าที่เธอรู้ ด้วยการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฝนเทียมก็ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางเช่นกัน มันสามารถช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าวในพื้นที่ประสบภัยแล้งได้

แต่ถึงอย่างนั้น การสร้างฝนเทียมนั้นมีเงื่อนไขจากเมฆบางประการ ทุกอย่างจะต้องตรงกับเงื่อนไขเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างฝนเทียมได้

เธอแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ไม่มีเมฆ แม้แต่ลมก็ไม่มี

สภาพเช่นนี้คงทำฝนเทียมไม่ได้แน่นอน

เธอสลัดความคิดที่สับสนวุ่นวายออกไปแล้วถามว่า “ผักที่ครอบครัวของเธอขายในราคาเท่าเดิมหรือเปล่า?”

อาเซียงพยักหน้า “ใช่ค่ะ ทำไมเหรอพี่?”

เซี่ยชิงหยวนพูดว่า “ไม่ ในช่วงเวลานี้ ราคาของผักแต่ละชนิดควรเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า”

เมื่ออาเซียงได้ยินแบบนี้ เธอโบกมืออย่างรวดเร็ว “พี่สาวเซี่ย ไม่ได้หรอกนะ ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไง?”

เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ระหว่างทางที่พี่มาที่นี่ พี่เห็นว่าไม่มีผักขายตามถนน หรือต่อให้มีก็จะเป็นผักที่เหี่ยวและลีบด้วย แถมผักเหล่านั้นก็มีราคาแพงกว่าของเธอมาก”

“มันเป็นเพราะหยาดเหงื่อของพ่อแม่ของเธอที่ยังทำให้ผักของครอบครัวยังคงชุ่มฉ่ำอยู่ได้ พี่จะใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ของเราเอาเปรียบเธอซื้อของในราคาถูกได้ยังไงล่ะ?”

หลังจากได้ยินเช่นนี้ อาเซียงก็ก้มหน้าลงด้วยความลำบากใจ

เจียงเพ่ยหลานยิ้มและพูดว่า “ป้าตงซิ่วช่วยเพิ่มราคาผักให้ครอบครัวของพวกเขาตั้งแต่สองวันแรกแล้วแหละ แต่อาเซียงกับอาจ้วงเป็นเด็กสองคนที่จริงใจและยืนกรานว่าไม่ต้องการ ดังนั้นเราจึงทำได้เพียงยอมแพ้ในท้ายที่สุด เธอมาก็ดีแล้วช่วยพูดกับเด็กคนนี้ทีนะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนมองไปที่อาเซียงพลางยิ้มเบา ๆ และไม่พูดอะไร

อาเซียงเงยหน้าขึ้นและไอเบา ๆ ก่อนจะพูดว่า “ก็ได้ค่ะ”

เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ดีมาก อย่าให้ครอบครัวเดือดร้อนเพราะเราสนิทกัน ของซื้อของขายควรคิดราคามาอย่างสมเหตุสมผล อย่าเสียแรงเปล่าเพราะความเสน่หา เข้าใจไหม?”

อาเซียงดูเหมือนจะเข้าใจและพยักหน้า “ฉันพอเข้าใจแล้วค่ะ…”

เซี่ยชิงหยวนยิ้มและไม่พูดอะไรอีก

บางอย่างเมื่ออาเซียงโตขึ้นและมีประสบการณ์ เธอจะเข้าใจโดยธรรมชาติเอง

เซี่ยชิงหยวนเรียกอาเซียงให้เข้ามา “ครั้งนี้พี่ซื้อเสื้อผ้ามาประมาณสองพันตัว แต่ชุดแรกที่พี่ขนกลับมาเองมีมากกว่าพันตัว ส่วนของอีกชุดหนึ่งถูกส่งมาทางไปรษณีย์และจะมาถึงในอีกไม่กี่วันนะ”

หลังจากได้ยินเช่นนี้ อาเซียงก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง “พี่สาวเซี่ย ครั้งนี้พี่ซื้อมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”

เซี่ยชิงหยวนพูดอย่างใจเย็น “จากครั้งก่อน ตอนนี้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหล่าไต้แล้ว คราวนี้เขาเลยพาพี่ไปแนะนำเพื่อนที่เขารู้จัก ด้วยความช่วยเหลือจากเขา พี่ก็เลยซื้อได้สะดวกมากกว่าคราวที่แล้วเลยน่ะ”

เมื่อพูดถึงเมืองกว่างโจว เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงโจวจิ่นจือในกองไฟวันนั้น

เธอส่ายหัวและในขณะที่หยิบเสื้อผ้าออกมาจากถุงกระสอบ ก่อนจะพูดว่า “ค่อย ๆ เอาเสื้อผ้าออกมาทีละไม่ต้องเยอะนะ ในร้านตรอกเก่าของเรามีเตาไฟเปิดอยู่เสมอ ต้องใช้ความระมัดระวัง ไม่งั้นไฟจะไหม้ได้”

อาเซียงช่วยหยิบเสื้อผ้าออกจากถุงกระสอบแล้วพยักหน้า “ตกลงค่ะ”

ตอนนี้เธอฟังทุกสิ่งที่เซี่ยชิงหยวนพูด

ยังไงซะ นอกจากพ่อของเธอแล้วไม่มีใครสามารถโน้มน้าวเธอได้มากขนาดนี้เลย

โอ้ ใช่ มีพี่เขยเซี่ยด้วย

เมื่อเสื้อผ้าถูกเอาออกมาทีละตัว ดวงตาของอาเซียงก็เบิกกว้าง

เธออดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ “พี่เซี่ย เสื้อผ้าพวกนี้สวยมากเลย!”

เธอคิดว่าตัวเองได้เปิดหูเปิดตาแล้วเมื่อตอนที่เธอไปกว่างโจวเป็นครั้งแรก ตอนนั้นเธอกับเซี่ยชิงหยวนช่วยกันเลือกเสื้อผ้า และเธอคิดว่าพวกมันสวยที่สุดในตลาดขายส่งทั้งหมด และยิ่งเมื่อเธอได้เลือกเองมากเท่าไหร่ เธอก็ตระหนักว่าสิ่งที่ตัวเองเลือกก่อนหน้าเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง

ไม่ใช่ว่าเสื้อผ้าชุดที่แล้วไม่สวย แต่เสื้อผ้าที่เลือกใหม่ทุกครั้งก็ทำให้ตื่นตาได้เสมอโดยเฉพาะชุดรอบล่าสุดนี้

เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “เธอต้องตั้งใจเรียนรู้นะ บางทีครั้งหน้าพี่อาจจะให้เธอไปซื้อด้วยตัวเองบ้าง”

“หา…” ประโยคนี้ทำให้อาเซียงกลัวจนขนหัวลุก

เธอไม่ได้กลัวว่าจะต้องไปกว่างโจว แต่เธอกลัวจริง ๆ ว่าจะไม่สามารถแบกรับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ หากเธอไปซื้อสินค้าด้วยตัวเอง

เซี่ยชิงหยวนตบไหล่เด็กสาวและพูดว่า “เธอทำได้”

ท้ายที่สุด เซี่ยชิงหยวนแนะนำอาเซียงเกี่ยวกับสไตล์ของเสื้อที่ต้องให้ความสำคัญ กลุ่มลูกค้าที่เหมาะสมสำหรับเสื้อผ้าแต่ละสไตล์ และขอให้เธอแบ่งปันความคิดเห็นของเธอเองเกี่ยวกับเสื้อผ้าบางสไตล์

ทว่าหลังจากฟังไปเรื่อย ๆ อาเซียงรู้สึกว่าสมองของเธอจดจำมันได้ไม่หมด

ในที่สุดเซี่ยชิงหยวนก็แบ่งเสื้อผ้าออกเป็นสองส่วน “อันนี้ตัวละห้าหยวน และตรงนี้ตัวละหกหยวนนะ”

อาเซียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เข้าใจแล้วค่ะ”

เซี่ยชิงหยวนกล่าว “ช่วงที่พี่ไม่อยู่ เธอคงทำงานหนักมาก เอาล่ะพักผ่อนให้เพียงพอและในตอนบ่ายเราจะตั้งแผงขายที่ศาลากลางกันนะ”

เมื่ออาเซียงได้ยินเช่นนี้ เธอก็สนใจทันที “พี่จะไปที่นั่นจริงเหรอคะ?”

จริง ๆ แล้วอาเซียงก็มีความคิดอยากไปขายที่นั่นเช่นกัน แต่เธอแค่กังวลว่าพี่เขยเซี่ยที่ทำงานอยู่อาจถูกคนอื่น ๆ นินทาได้ ถ้าพวกเธอไปขายของที่นั่น

เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนพูดอย่างใจเย็นในวันนี้ อาเซียงจึงวางความกังวลในใจลงทันที

พี่สาวเซี่ยน่าจะตัดสินใจหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เธอต้องทำคือทำตามที่พี่สาวเซี่ยพูด!

หลังจากอธิบายเสื้อผ้าให้อาเซียงฟัง เซี่ยชิงหยวนก็เริ่มเตรียมอาหารกลางวันให้เสิ่นอี้โจว

ถ้าไม่มีใครคอยดูเขา เขาอาจจะกินข้าวไม่ตรงเวลาก็เป็นได้

สิ่งที่เธอทำให้เสิ่นอี้โจวในวันนี้คือซี่โครงหมู ขนมลูกเดือยมันเทศ และโจ๊กอินทผาลัม ซึ่งช่วยบำรุงกระเพาะและกระตุ้นเลือดลมไหลเวียน ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว

มีเตาถ่านมือสองที่ซื้อมาใช้ในร้านตรอกเก่า เธอวางหม้อดินบนนั้นแล้วปรุงอย่างช้าๆ โจ๊กที่ได้จะข้นและอร่อยมาก

หลังจากวางหม้อดินเผาบนเตาและจุดไฟแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็พูดกับหลินตงซิ่ว จากนั้นก็ออกไปซื้อที่แขวนเสื้อเพิ่มอีกอันที่สามารถแขวนเสื้อผ้าแบบตั้งตรงได้

เสื้อผ้ามีหลากหลายสไตล์และวางเรียงกันเต็มไปหมด ทำให้ยากต่อการโชว์เสื้อผ้า

ระหว่างทำทั้งหมดนี้ ดวงตาของเธอสงบราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเธอเลยแม้แต่น้อย

หลังจากคิดทั้งคืน เซี่ยชิงหยวนก็คิดได้ในที่สุด

ไม่ว่ายังไงชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป

พูดตรง ๆ ถ้าเสิ่นอี้โจวป่วยหนักจริง ๆ เขาจะต้องใช้เงินจำนวนมากสำหรับการรักษาพยาบาลในอนาคต

ดังนั้นไม่ว่าเธอจะเสียใจแค่ไหน เธอก็หยุดหาเงินไม่ได้

เมื่อถึงเวลาเกือบเที่ยง เสิ่นอี้หลินก็กลับมาจากโรงเรียน

โรงเรียนของเขาอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยเจ้าหน้าที่และตลาดในระยะพอ ๆ กัน ดังนั้นเขาจึงถูกขอให้มาที่นี่ทันทีหลังเลิกเรียน

หลังจากทำการบ้านเสร็จ ก็ได้เวลาอาหาร

เด็กชายปากหวานมากจนได้รับความโปรดปรานจากยายเฒ่าหลี่และสามี พวกเขาไม่มีลูกหลาน ดังนั้นพวกเขาจึงขอให้อี้หลินเข้าไปทำการบ้านในบ้านของพวกเขาที่อยู่หลังร้าน

ยายเฒ่าหลี่กล่าวว่า “พวกคุณค้าขายในร้านอยู่ตลอดมันไม่เหมาะที่เขาจะทำการบ้านในร้านของพวกคุณหรอก ฉันจะส่งเขากลับตอนเขาทำการบ้านเสร็จแล้วนะ”

เซี่ยชิงหยวนตักโจ๊กชามใหญ่ให้เสิ่นอี้หลิน “เอาให้คุณยายและคุณตานะ”

เสิ่นอี้หลินพยักหน้า พลางเดินไปพร้อมกับกระเป๋านักเรียนและชามโจ๊ก

จากนั้นเซี่ยชิงหยวนใส่โจ๊กลงในกล่องอาหารกลางวัน กินอีกชามหนึ่งของตัวเองแล้วพูดกับอาเซียง “อาเซียง พี่จะไปส่งอาหารกลางวันให้พี่เขยของเธอ เธอดูพวกเสื้อผ้าคนเดียวไปก่อนนะ”

อาเซียงคุ้นเคยกับการขายคนเดียวไปแล้ว ดังนั้นจึงตอบรับอย่างสบาย ๆ “ได้ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว พี่สาวรีบไปเถอะ!”

หลังจากอธิบายทุกอย่างแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็ขี่จักรยานสามล้อไปที่ศาลากลาง

เธอไปถึงก่อนเวลาและทุกคนเพิ่งพักเที่ยง

เซี่ยชิงหยวนยืนอยู่ในห้องยามและรอสักครู่ เมื่อเห็นว่าผู้คนเกือบจะออกไปหมดแล้วเธอจึงค่อยเดินเข้าไปในตึก

เธอเดินไปที่ประตูห้องเลขาธิการที่ชั้นสองแล้วเคาะประตูเรียก และเสียงของเสิ่นอี้โจวก็ดังขึ้นจากข้างใน “เข้ามาได้เลยครับ”

———————

บทที่ 226 ฉันชื่อหรูฮวา

บทที่ 226 ฉันชื่อหรูฮวา

เหล่าไต้ยิ้มอย่างเกรงใจ “กินสิ กินสิ”

เซี่ยชิงหยวนนั่งยอง ๆ ใต้โต๊ะถือชามวุ้นกุ้ยหลิงไว้ในมือ อยากจะร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตา

ดูเหมือนว่าเธอคงต้องอธิษฐานให้เทพหายนะทั้งสองนั่นรีบกินและจากไปจะง่ายกว่า

น่าเสียดายที่เธอไม่ได้โชคดีขนาดนั้น ก่อนที่เหล่าไต้จะไปทักทายพวกเขา ฟู่ชุนไจ่ก็พบเหล่าไต้เช่นกัน

เขายกมือขึ้น “เหล่าไต้บังเอิญจัง”

เหล่าไต้อยากจะยืนขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่ในขณะที่เขากำลังจะขยับ กางเกงของเขาก็ถูกจับอีกครั้ง และเขาก็ขยิบตาอย่างสิ้นหวัง

ไม่ว่าตอนนี้เขาจะโง่แค่ไหน เขาก็พอเดาความจริงได้แล้ว

เซี่ยชิงหยวนกำลังหลีกเลี่ยงคนเหล่านี้

แต่เหตุใดเธอจึงกลัวคนพวกนี้? จู่ ๆ เหล่าไต้ก็จำข่าวลือตอนที่เซี่ยชิงหยวนมากว่างโจวเมื่อครั้งล่าสุดได้ว่า โจวจิ่นจือถูกผู้หญิงคนหนึ่งข่มขืน

แม้เขาจะไม่ต้องการยอมรับจริง ๆ แต่เขาก็เริ่มสงสัยว่าเซี่ยชิงหยวนอาจเป็นผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม?

เขารู้สึกว่าเซี่ยชิงหยวนอาจเป็นผู้หญิงคนนั้น

เขาลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบ ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวทักทายกับฟู่ชุนไจ่ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ชุน คุณก็มากินขนมหวานด้วยเหรอ? มานั่งข้างนอกกันเถอะ อากาศข้างนอกดีกว่าเยอะเลย”

ในขณะที่เขาพูด เขาคล้องแขนฟู่ชุนไจ่จะพาออกไปนั่งข้างนอก

ฟู่ชุนไจ่ขืนร่างกายของเขาไว้ งงงวยกับความกระตือรือร้นอย่างกะทันหันของเหล่าไต้

เขาชี้ไปที่พัดลมเพดานและโต๊ะที่เหล่าไต้นั่งอยู่ตอนแรก “ถ้านายอยากไปนั่งข้างนอกก็ไปนั่งเองสิ งั้นเราจะนั่งข้างในแทน”

โจวจิ่นจือชำเลืองมองแล้วเบือนสายตาไปทางอื่น

แต่เมื่อตระหนักถึงสิ่งที่เขาดูเหมือนจะเห็นเมื่อกี้นี้ เขาก็ต้องหันกลับมาอีกครั้ง

เขาเห็นชายกระโปรงสีเหลืองห่านของใครบางคนที่หมอบอยู่ใต้โต๊ะตัวนั้น

แม้ว่าเขาจะไม่เห็นใบหน้า แต่เขาก็จำเธอได้เพียงแค่มองแวบแรก

เขาคิดถึงข้อมือขาวของเธอ และคิดถึงก้นกลมที่เธอบิดต่อหน้าเขาในคืนนั้นอย่างอธิบายไม่ได้

ปากของเขาเริ่มแห้ง

เมื่อเริ่มรู้สึกอึดอัด เขาก็เตรียมจะเรียกฟู่ชุนไจ่ออกไป

แต่แล้วฟู่ชุนไจ่ก็คล้องแขนของเขาก่อนที่เขาจะได้ทันก้าวออกไป “ไปกันเถอะ ลูกพี่ นั่งตรงนั้นกันเถอะ”

และทิศทางที่โจวจิ่นจือถูกลากไปคือโต๊ะที่เหล่าไต้เคยนั่งอยู่

โต๊ะอยู่ห่างจากที่พวกเขายืนอยู่เพียงไม่กี่ก้าว เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวใจเต้นรัวเมื่อเห็นเท้าคู่หนึ่งเดินมาหาเธอ

เธอกำชามในมือแน่นและจ้องมองที่เท้าเหล่านั้นจนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ

ฟู่ชุนไจ่มาหยุดอยู่ข้างหน้าเธอและตะโกนเสียงดัง “อา สาวสวยเธอนี่เอง!”

เซี่ยชิงหยวนตัวสั่นด้วยความตกใจ และลุกขึ้นยืนจากใต้โต๊ะบราวนี่ออนไลน์

แย่ที่สุด เธอปิดหน้าแล้วเตรียมจะวิ่งออกไป!

แต่เธอลืมไปว่าตัวเองมุดอยู่ใต้โต๊ะ และเมื่อเธอลุกขึ้นอย่างกะทันหัน หัวของเธอก็ชนโต๊ะอย่างแรง

ด้วยเสียงดัง ‘ปัก!’ ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนเหมือนเห็นดาวบินวนอยู่รอบๆ

เธอจับชามในมือไม่แน่นนัก และมันก็กระเด็นทันที

และด้วยความบังเอิญ วุ้นกุ้ยหลิงทั้งชามก็หกใส่หลังเท้าของโจวจิ่นจือ

โจวจิ่นจือบังเอิญสวมรองเท้าแบบหุ้มข้อสีขาวคู่หนึ่ง ดังนั้นเมื่อวุ้นกุ้ยหลิงสาดใส่มันและชามก็คว่ำลงบนรองเท้า มันดูน่าเกลียดมากเหลือเกิน

เซี่ยชิงหยวนเงยหน้ามองอีกครั้ง เพียงรู้สึกว่าใบหน้าของโจวจิ่นจือมืดยิ่งกว่าวุ้นกุ้ยหลิงซะอีก

เธอเสร็จแน่!

ฟู่ชุนไจ่และเหล่าไต้ตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และพวกเขาไม่กล้าที่จะพูดอะไรไปชั่วขณะ

เซี่ยชิงหยวนยืนขึ้น มือของเธอก็เปรอะเปื้อนน้ำเชื่อมและถูนิ้วอย่างรู้สึกผิด

เธอชำเลืองมองโจวจิ่นจือและก้มศีรษะลง

เหล่าไต้เป็นคนแรกที่ตอบสนอง

เขาก้าวมายืนบังหน้าเซี่ยชิงหยวน ยิ้มน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้ “พี่โจว น้องสาวของฉันคนนี้โง่เขลาจริงๆ พี่อย่าถือสาเธอเลยนะ เดี๋ยวกลับไปฉันจะสอนเธอให้ดีเลย”

โจวจิ่นจือมองผ่านเหล่าไต้ไปที่ร่างของเซี่ยชิงหยวน

เมื่อเธอก้มศีรษะลง เขาสามารถมองเห็นคอที่เรียวยาวและสวยงามของเธอได้ ราวกับหงส์ขาวที่สง่างาม

หัวใจของโจวจิ่นจือเต้นแรงอย่างอธิบายไม่ถูก

เขาก้มลงไปหยิบชามที่คว่ำใส่เท้าของเขาออกแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ”

เซี่ยชิงหยวนนั่งยอง ๆ บนพื้น มองชามกระเบื้องตราไก่หมุนเป็นวงกลมอยู่บนพื้นและพูดอะไรไม่ออก

แต่ฟู่ชุนไจ่ยังไม่อยากออกไป

เขาหยุด “ลูกพี่ ทำไมต้องรีบออกไปด้วย? อย่างน้อยถามก่อนสิว่าสาวสวยชื่ออะไร!”

มันนานมากแล้วตั้งแต่เธอจากไปครั้งล่าสุด และเธอก็จากไปอย่างลึกลับ วันนี้ลูกพี่ของเขาได้มาเจอกับเธออีกครั้ง จะจากไปเฉย ๆ ได้ยังไง?

เขาถามเซี่ยชิงหยวน “เฮ้ สาวสวย เธอชื่ออะไร?”

เหล่าไต้ได้แต่ยิ้มและพูดว่า “พี่ชุน ได้โปรด”

โจวจิ่นจือแสดงความอดกลั้นบนใบหน้าของเขา และเขากำลังจะจากไปจริง ๆ

เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ฟู่ชุนไจ่ “ฉันชื่อหรูฮวา ไต้หรูฮวา”

หางตาของโจวจิ่นจือกระตุก

สีหน้าของฟู่ชุนไจ่และเหล่าไต้แข็งค้าง

สาวสวยคนนี้ไม่เพียงแต่มีรูปลักษณ์ที่งดงาม แต่ยังมีชื่อที่ไพเราะอีกด้วย!

ฟู่ชุนไจ่พูดกับโจวจิ่นจือราวกับขอผลงาน “ลูกพี่ ได้ยินไหม เธอชื่อไต้หรูฮวาแหละ!”

โจวจิ่นจือกัดฟันพูดประโยคหนึ่ง “เข้าใจแล้ว”

เขาไม่อยู่ต่อ ทำเพียงแค่โบกมือแล้วก้าวเดินออกไปทันที

ฟู่ชุนไจ่ไล่ตามเขาไปอย่างรวดเร็ว “ลูกพี่ เรายังไม่ได้เอาขนมเลย!”

ก่อนจากไปฟู่ชุนไจ่ยังไม่ลืมที่จะหันศีรษะและพูดทิ้งท้ายกับเซี่ยชิงหยวน “น้องสาวหรูฮวา เอาไว้เราจะมาคุยเล่นด้วยเมื่อมีเวลานะ!”

แต่แน่นอนว่าเซี่ยชิงหยวนไม่สนใจเขา เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าขึ้นมาเช็ดมือแล้วพูดกับเหล่าไต้ว่า “เหล่าไต้ ฉันขอโทษนะ วันนี้ฉันทำให้คุณต้องลำบากใจแล้ว”

เหล่าไต้รีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”

ส่วนเรื่องระหว่างเซี่ยชิงหยวนและโจวจิ่นจือ เขาอยากจะถามแต่ไม่สามารถเปิดปากถามได้ ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “เราเองก็ไปกันเถอะ”

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว เขาจะมีใจอยากกินอีกได้ยังไง?

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ฉันขอจ่ายเงินก่อนนะ แล้วเดี๋ยวฉันขอเลี้ยงอาหารค่ำคุณในครั้งต่อไปแทน”

เซี่ยชิงหยวนกลับไปที่ร้านซ่อมรถของเฮ่ออวี้เฟิง ซึ่งอีกฝ่ายก็เพิ่งกลับมาพอดี

เขาเล่าว่าลูกค้าคนนั้นเรียกเขาไปคุยที่สถานีตำรวจก่อนหน้านี้ และกว่าที่จะคุยกันเสร็จและกลับมาได้ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก

เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “คุณพักก่อนเถอะ ฉันจะเอาเสื้อผ้าไปส่งที่ไปรษณีย์เอง”

เมื่อคืนเธอซื้อเสื้อผ้าห้าหรือหกร้อยตัวจากร้านของเหล่าไต้ และวันนี้ก็ซื้อมาอีกเกือบพันตัว

เธอวางแผนที่จะส่งเสื้อผ้ามากกว่าพันตัวนี้กลับไปที่เตียนเฉิงก่อน จากนั้นจะขอให้เหล่าไต้นำเสื้อผ้าจากบ้านของเขาไปที่ที่พักเพื่อให้เธอเลือกในตอนบ่าย จากนั้นเธอก็จะขนของใหม่กลับไปเองทางรถไฟ

เธอไม่ต้องการออกข้างนอกไปมากกว่านี้ถ้าไม่จำเป็น

สำหรับการไปตลาดค้าส่งอีกครั้ง ในตอนนี้เธอจะยังไม่ไปที่นั่น

ไม่ใช่ว่ากลัว แต่เธอแค่ไม่ต้องการ

เธอสามารถบอกได้ว่าลูกพี่โจวคนนั้นไม่ต้องการคุยกับเธออย่างเห็นได้ชัด แต่ผู้ชายที่ชื่อชุนไจ่มักส่งเสียงดังตลอด ซึ่งน่ารำคาญจริง ๆ

มันจะดีกว่าถ้าเจอกันน้อยลง ดังนั้นเธอควรหลีกเลี่ยง

ทว่าเฮ่ออวี้เฟิงไม่ยอมปล่อยให้เธอไปคนเดียวแน่นอน

เขาโยนประแจในมือแล้วพูดว่า “ผมจะไปด้วย”

จากนั้นเขาล้างมือในอ่างพลาสติก เช็ดด้วยผ้าขนหนูที่แขวนอยู่บนราวข้าง ๆ และแบกถุงกระสอบที่ใส่เสื้อผ้าขนาดใหญ่หลายใบไปไว้บนรถสามล้อไฟฟ้าของเขา

เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เขาขมวดคิ้ว “ขึ้นมาสิ”

เซี่ยชิงหยวนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ค่ะ”

เธอรีบปีนขึ้นไปที่เบาะหลัง

ที่มุมตรงข้ามถนน ฟู่ชุนไจ่และโจวจิ่นจือยืนอยู่

ฟู่ชุนไจ่มองไปที่คนสองคนที่จากไปพลางพ่นควันบุหรี่ออกจากปากของเขา “ไอ้แมวขโมย! ไอ้หนุ่มนั่นจะมาเป็นคู่ของเธอไม่ได้!”

หลังจากพูดอย่างนั้น ฟู่ชุนไจ่ก็พับแขนเสื้อขึ้นและกำลังจะก้าวไปข้างหน้า

โจวจิ่นจือคว้าตัวเขาไว้ “นายจะทำอะไร? นายคิดจริง ๆ เหรอว่านายสามารถสร้างปัญหาไปทั่วได้เหมือนฮ่องกงในเมืองกว่างโจว?”

ฟู่ชุนไจ่พูดอย่างโกรธเคือง “แต่ลูกพี่ หรูฮวากำลังออกไปกับใครบางคนนะ!”

โจวจิ่นจือจ้องมองลูกน้องตัวเองด้วยสายตาเย็นชา “ชุนไจ่ ถ้านายยังทำเหมือนคำพูดของฉันเป็นลมอีกครั้ง นายก็ไม่ต้องติดตามฉันอีกต่อไป!”

คำพูดนี้ทำให้ฟู่ชุนไจ่กลัวทันที

เท้าของเขาที่สวมรองเท้าแตะเหยียบดับบุหรี่บนพื้น และเขาก็เงียบไป

เมื่อเห็นเขาเช่นนี้ โจวจิ่นจือพูดเบา ๆ ว่า “เราอยู่คนละโลกกับเธอ”

ครั้งที่แล้วที่มีปัญหากับแก๊งชิงหลง มันทำให้ชื่อของเขาโด่งดัง

พ่อของโจวจิ่นจือซึ่งไม่สนใจเขามากว่ายี่สิบปี จู่ ๆ ก็คิดจะตามหาเขาหลังจากที่ลูกชายคนโตเสียชีวิต

โทรศัพท์ทางไกลจากมณฑลยูนนานโทรเข้ามา แต่ก็ไม่อาจได้ยินน้ำเสียงที่แท้จริงที่สุดของเขาผ่านคลื่นโทรศัพท์ที่อยู่ห่างไกลได้

ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวังอย่างมาก “จิ่นจือ แม่ของแกเป็นคนอ่อนโยน ทำไมแกถึงเป็นแบบนี้? ไปเป็นคนในโลกใต้ดินแบบนั้นคิดว่ามันง่ายเหรอ? แถมยังไปเป็นผู้นำอีก? ตอนนี้แกเป็นสวะของสังคม เดินไม่ระวังเข้าหน่อยก็ถูกยิงตายง่าย ๆ แล้วรู้ไหม?”

ชายชราคนนั้นพูดอย่างเอาเป็นเอาตายและปวดใจ ราวกับว่าโจวจิ่นจือเป็นลูกชายที่มีค่าของเขา แต่กลับทำตัวไร้ประโยชน์

จากนั้นชายชราใช้น้ำเสียงของผู้บังคับบัญชาพูดกับโจวจิ่นจือ “ฉันจะจัดการให้แกกลับมาที่มณฑลยูนนาน และเริ่มทำงานจากการเป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างในสำนักงาน สำหรับทุกสิ่งอย่างที่แกมีในฮ่องกงและกว่างโจว ฉันจะเก็บกวาดให้แกเอง!”

โจวจิ่นจือจำได้ว่าตอนนั้นเขาตอบกลับไปเพียงประโยคเดียวเท่านั้น “คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

Status: Ongoing
หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ประสบอุบัติตุจนเสียชีวิต และเธอก็ได้ย้อนไปตอนที่เธออายุ 21 ปี …ลับมาครั้งนี้เธอจะไม่ยอมหย่ากับเสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธออีกเด็ดขาด! หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ช่วยเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้จนประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ปีแล้วปีเล่าผ่านไป เสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธอก็มักจะมายี่ยมหลุมศพของเธอประจำ เธอในร่างวิญญาณออกปากไล่เขาทุกครั้งต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ยิน เขาจำไม่ได้เลยหรืออย่างไร ว่าเธอทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่แล้วเธอก็ได้ย้อนกลับมาใน ในวันที่เธออายุ 21 ปี แลยังไม่ได้หย่าขาดกับเสิ่นอี้โจว ในเมื่อเธอได้โอกาสอีกครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด ครั้งนี้เธอจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับเสิ่นอื้โจวได้จงได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท