กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี – บทที่ 242 ไปทิเบต

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

บทที่ 242 ไปทิเบต

บทที่ 242 ไปทิเบต

เช้าวันต่อมา หมอและพยาบาลก็เข้ามา

พยาบาลยื่นกระดาษปึกหนึ่งให้เซี่ยชิงหยวน ซึ่งเป็นเอกสารอธิบายความรู้เบื้องต้นก่อนการผ่าตัด

ปัญหามากมายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างและหลังการผ่าตัดได้แสดงไว้ข้างต้น และสุดท้ายขอให้สมาชิกในครอบครัวลงนามยอมรับความเสี่ยง

เซี่ยชิงหยวนมองไปยังรายงานอาการที่อาจปรากฏขึ้นทีละรายการ และมือที่ถือกระดาษก็อดไม่ได้ที่จะสั่น

เธอหยิบปากกาของพยาบาลและเซ็นชื่อด้วยความยากลำบาก

หญิงสาวเซ็นแรงมากจนเกือบทะลุกระดาษ

หมอและพยาบาลทำงานร่วมกันเพื่อย้ายเสิ่นอี้โจวไปที่เตียงเล็กในห้องผ่าตัด และเปลี่ยนเป็นชุดผ่าตัดปลอดเชื้อสีเขียวเข้มให้เขา

เซี่ยชิงหยวนและหลินตงซิ่วยืนอยู่ข้าง ๆ เฝ้าดูพวกเขาทำงาน ทั้งสองประหม่าเกินกว่าจะหายใจ

หลังจากทุกอย่างพร้อมแล้ว เสิ่นอี้โจวก็ถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัด

ความเร็วของพวกเขาเร็วมากจนเซี่ยชิงหยวนยังไม่ได้ให้กำลังใจเสิ่นอี้โจวอย่างเหมาะสม

เธอมีความเสียใจอยู่ในใจ แต่ก็ไม่สามารถหยุดอะไรได้อีกแล้ว

พยาบาลยืนอยู่ที่ประตูและป้องกันไม่ให้พวกเธอเข้าไป “สมาชิกในครอบครัวโปรดรออยู่หลังประตูนะคะ”

หลังจากพูดจบ ประตูห้องผ่าตัดก็ปิดลง

เซี่ยชิงหยวนยืนอยู่ที่ประตู จ้องมองไปยังประตูที่ปิดอยู่ ความคิดของเธอสับสน

เธออยู่นอกประตูและเสิ่นอี้โจวอยู่ข้างใน ระยะห่างเพียงไม่กี่เมตรแต่พวกเขามองไม่เห็นกัน

ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดคือการสูญเสีย

หลินตงซิ่วเดินไปที่หน้าต่าง มือพนมประสานพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและอธิษฐานอย่างใจจดใจจ่อ

ในขณะนี้เซี่ยจื่ออี้ก็โผล่มาโดยไม่คาดคิด

พร้อมด้วยผู้ชายที่ไม่คุ้นหน้ามาด้วยสามคน

ฉู่ซิงอวี่รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อทักทายพวกเขา และแนะนำ “นี่คือเลขาธิการหยวนของกรมการปกครองครับ ส่วนสองท่านนี้คือคณะกรรมการวินัยของศาลากลางและเลขาธิการของฝูเถียน”

หยวนหงหลี่กล่าวว่า “เลขาธิการเสิ่นยืนกรานที่จะต่อสู้ในแนวหน้าเพื่อประโยชน์ของประชาชน โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของเขาเอง ผมมาเยี่ยมในนามของกรมการปกครองครับ”

คณะกรรมการวินัยของศาลากลางและเลขาธิการของฝูเถียนก็ทักทาย เซี่ยชิงหยวนและกล่าวคำขอบคุณ

ความคิดของเซี่ยชิงหยวนยังจดจ่ออยู่ที่เสิ่นอี้โจวขณะที่เธอกล่าวขอบคุณผู้คนที่มาสองสามคำ จากนั้นก็ปล่อยให้ฉู่ซิงอวี่รับหน้าที่ทักทายต่อไป

เมื่อเซี่ยจื่ออี้เห็นสีหน้าที่ย่ำแย่ของเซี่ยชิงชิงหยวน เธอก็กลืนคำปลอบโยนที่เธอเตรียมไว้ลงคอไป และยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบ ๆ แทน

การรอนั้นยาวนานเหลือเกิน เธอเฝ้าดูเข็มนาฬิกาบนผนังหมุนไปรอบแล้วรอบเล่า เสียงติ๊ก ๆ ราวกับเป็นมนตร์สะกดที่วนเวียนอยู่ในใจดังขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง

ทุกนาทีที่ผ่านไป หัวใจของเซี่ยชิงหยวนดูเหมือนจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ทำให้เธอหายใจไม่ออก

เธอเฝ้ารอเวลาให้ผ่านไปเพื่อที่ประตูห้องผ่าตัดจะเปิดออกอย่างรวดเร็ว แต่เธอก็กลัวว่าถ้าเวลาผ่านเร็วเกินไปและเมื่อประตูเปิดออก มันจะกลายเป็นข่าวที่เธอไม่อยากได้ยินมากที่สุดแทน

ความทรมานนี้ยังคงทรมานเธอ

ยังไม่ทันจะบ่ายโมง ประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออกบราวนี่ออนไลน์

หลายคนรวมตัวกันทันที

หมอหมิ่นเป็นคนแรกที่ออกมาและประตูหลังเขาก็ปิดหลังจากที่เขาออกมา เมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดของเขา เซี่ยชิงหยวนก็มีความรู้สึกไม่ดี

เธอถามอย่างระมัดระวัง “หมอหมิ่น สามีของฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”

ทางด้านหมอหมิ่นเองไม่รู้จะพูดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ “การผ่าตัดถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จ ก็แค่…”

เขาหยุดชั่วคราวและทุกคนก็มองมาที่เขาเป็นสายตาเดียวกัน

เขาพูดว่า “อาการของผู้ป่วยยังไม่ค่อยดี เราไม่แน่ใจว่าเขาจะตื่นขึ้นเมื่อไหร่”

หลังจากความประหลาดใจครั้งใหญ่ มันก็เหมือนสายฟ้าจากท้องฟ้าที่ฟาดลงในจิตใจของผู้คน

“ไม่แน่ใจว่าจะตื่นเมื่อไหร่คืออะไรคะ?”

การผ่าตัดสำเร็จ แต่คนกลับไม่ตื่นขึ้น?

เซี่ยชิงหยวนเบิกตากว้างของเธอมองไปที่หมอหมิ่น

ดวงตาของหลินตงซิ่วมืดลงและเธอก็สลบไป เสี่ยวหลิวยืนอยู่ข้าง ๆ รีบรับเธออย่างรวดเร็ว ส่วนใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนซีดขาวราวกับกระดาษ และลำคอของเธอก็ตึง “หมอหมิ่น มีอะไรที่ฉันทำได้อีกไหม…”

หมอหมิ่นก็หมดหนทางเช่นกัน “ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับแรงใจที่จะอยู่ต่อของผู้ป่วยเองแล้วครับ”

พูดได้คำเดียวว่ามันเหมือนทำให้เธอมีความหวังและก็เหมือนโยนเธอลงในนรกอีกครั้ง

เซี่ยชิงหยวนไม่เคยคิดเลยว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้

หมอบอกข้อควรระวังหลังการผ่าตัด เธอฟังและพยักหน้าอย่างมึนงง

ในท้ายที่สุด เธอต้องการที่จะก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว แต่ขาของเธออ่อนแรงอย่างกะทันหัน และเธอก็คุกเข่าลงกับพื้นโดยตรง

“ระวัง!” ฉู่ซิงอวี่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ ก้าวไปข้างหน้าและช่วยประคองทันที

เซี่ยชิงหยวนยืนขึ้นด้วยพละกำลังของเธอเอง “ขอบคุณนะ”

ตอนนี้หญิงสาวอยู่ในความงุนงงราวกับคนตายเดินได้

ฉู่ซิงอวี่รู้สึกอึดอัดเช่นกัน และเอ่ยว่า “คุณนาย”

เซี่ยจื่ออี้ยืนอยู่ข้าง ๆ มองไปที่แขนที่สัมผัสกันของพวกเขา ดวงตาของเธอมืดลง

เธอพูดว่า “ให้ฉันทำเอง”

เมื่อพูดอย่างนั้น เธอผลักฉู่ซิงอวี่ออกไปและประคองเซี่ยชิงหยวนด้วยตัวเอง

เซี่ยชิงหยวนได้ยืนหยัดอย่างมั่นคงในเวลานี้ก่อนจะกล่าว “ขอบคุณ” กับเซี่ยจื่ออี้และยืนอยู่ข้าง ๆ รอให้เสิ่นอี้โจวถูกเข็นออกมา

เซี่ยจื่ออี้มองไปยังฝ่ามือที่ว่างเปล่า มุมปากของเธอโค้งขึ้นและเธอไม่ได้พูดอะไร

ภายในวอร์ด หลินตงซิ่วนั่งอยู่หน้าเตียงในโรงพยาบาล เซี่ยชิงหยวนเรียกฉู่ซิงอวี่ออกไป

เธอพูดว่า “เลขาฉู่ คุณทำงานอย่างหนักเพื่อเราในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ตอนนี้อาการป่วยของอี้โจวคงที่แล้ว ฉันกับแม่สามีสามารถดูแลเขาได้ ฝูเถียนยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำ ดังนั้นฉันไม่ขอรบกวนคุณแล้วดีกว่าค่ะ”

ฉู่ซิงอวี่เข้าใจว่าคำพูดของเซี่ยชิงหยวนว่าหมายถึงให้เขากลับไปที่เมืองเตียนเฉิง

เขาอยากบอกว่าไม่เป็นไร เขาอยู่ที่นี่ได้

แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดูไม่เหมาะสมจริง ๆ

เขาเองก็สบายดี แต่แล้วเธอล่ะ?

แต่เมื่อถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้เธออีก

เขาพยักหน้าด้วยความยากลำบาก “ตกลงครับ ผมจะกลับไปพร้อมกับคนอื่น ๆ วันนี้”

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าให้เขา และโค้งร่างกายของเธอ “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ”

เธอขอบคุณเขาอย่างจริงใจสำหรับทุกสิ่งที่เขาทำเพื่อพวกเธอ

ฉู่ซิงอวี่ลดตาของเขาครู่หนึ่ง เมื่อเปิดมันอีกครั้งก็ราวเหมือนดวงจันทร์ที่สดใส

เขายิ้มตอบกลับไป “คุณนายครับ เลขาธิการเสิ่นเป็นหัวหน้าของผม ทุกสิ่งมันคือสิ่งที่ผมควรทำทั้งนั้น ถ้างั้นตอนนี้ผมขอตัวกลับไปเก็บของก่อนนะครับ”

หลังจากพูดจบ เขาก็หันกลับโดยไม่ลังเลและเดินออกไป

เซี่ยจื่ออี้กำลังรอเขาอยู่ที่ตรงบันไดด้วยรอยยิ้มจาง ๆ บนริมฝีปาก

เมื่อฉู่ซิงอวี่เดินผ่านเธอ เขาก็ไม่หยุดและเดินลงไปทันที

รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอแข็งค้าง มือเรียวของเธอกำหมัด แต่ก็ไม่ได้เดินตามเขาไป

สายตาของเธอหันไปที่แผ่นหลังเรียวของเซี่ยชิงหยวน และเธอก็ไม่ได้พูดอะไรเป็นเวลานาน

จนกระทั่งหยวนหงหลี่เรียกเธอ เธอจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วถามว่า “ลุงหยวนคะ พวกเราควรกลับด้วยไหมคะ?”

เซี่ยชิงหยวนนอนอยู่หน้าเตียงของเสิ่นอี้โจวเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน

เธอจับมือของเขาและพูดเอ่ยราวกับว่าเขาสามารถได้ยินเธอ จนกระทั่งเสียงของเธอแหบแห้งและเจ็บคอจึงหยุด

ประโยคสุดท้ายก่อนเธอจะหยุดพูดก็คือ “อี้โจว ถ้าฉันต้องการบอกความปรารถนาของฉันต่อพระพุทธเจ้า คุณคิดว่าพระพุทธเจ้าจะได้ยินฉันไหม?”

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นจู่ ๆ เธอก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วพูดว่า “แม่คะ หนูจะไปทิเบตค่ะ”

บทที่ 235 ดึงหูเสิ่นอี้โจว

บทที่ 235 ดึงหูเสิ่นอี้โจว

มีแค่เวลาเที่ยงวันเท่านั้น เซี่ยชิงหยวนลังเลใจที่จะเสียเวลา

เธอจึงโน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขาและพูดว่า “รีบนอนเถอะ มีเวลาพักไม่เยอะนะ”

หลังจากนั้นเธอก็เอื้อมมือไปปิดตาของเขา “นอนเร็ว”

หญิงสาวรู้สึกได้ถึงขนตาของชายตรงหน้าจากฝ่ามือนั้น มันรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย

เธอจ้องไปที่ดั้งจมูกโด่งและริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อของเขา…

แม้จะดูเหนื่อยล้า แต่เขาก็ยังดูดีมาก

เธอโน้มตัวไปข้างหน้าและจูบริมฝีปากของเขาเบา ๆ ราวกับว่าเธอได้ขโมยน้ำหวานที่หอมหวานที่สุด “ไปนอน…อืม…”

ก่อนที่เธอจะพูดจบ เสิ่นอี้โจวก็จูบเธอกลับแล้ว

เขากดเธอลง มือข้างหนึ่งโอบหลังศีรษะของเธอเอาไว้ ส่วนอีกข้างก็โอบจับเอว พลางจูบเธออย่างหนักหน่วงและรุนแรง

จูบของเขาช่างรุนแรงและดุดัน แตกต่างจากรูปร่างหน้าตาของเขาโดยสิ้นเชิง

เดิมทีเซี่ยชิงหยวนกังวลว่าจะมีใครมาเห็น แต่เมื่อคิดว่าทั้งสองคนไม่ได้เจอกันหลายวัน เธอจึงเลิกดิ้นรน

ลิ้นของเขาไล้ริมฝีปากของเธออย่างรวดเร็ว ทำให้หญิงสาวตกอยู่ในห้วงเวลาของอารมณ์ไปด้วยกัน

เมื่อเซี่ยชิงหยวนเกือบจะหมดลมหายใจ เธอก็ได้ยินเขาพูดว่า “ยังมีเวลาเหลืออีกยี่สิบนาที ผมจะงีบสักพักนะ”

หลังจากพูดจบ เขาก็ล้มทับร่างของเธอ

เซี่ยชิงหยวนต้องการจะผลักเขา แต่แล้วเธอก็ได้ยินเสียงหายใจเบา ๆ

เสิ่นอี้โจวหลับไปแล้ว

เธอยื่นมือไปผลักเขาออก และโอบรอบคอของเขาแทน

เธอหันไปด้านข้างและโอบเขาไว้ในอ้อมแขนของเธอ เหมือนกับที่เขาเคยกอดตัวเธอจนหลับไปนับครั้งไม่ถ้วนในอดีต

เขาหลับลึกด้วยหมอนบนแขนของเธอ

ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนสบเข้ากับใบหน้าที่หล่อเหลา และเธอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบา ๆ

เขาต้องเหนื่อยแค่ไหนกันถึงหลับได้เร็วขนาดนี้

เซี่ยชิงหยวนบอกว่าจะปลุกเสิ่นอี้โจวเมื่อถึงเวลา ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าหลับลึกเกินไป

เธอวางคางของตัวเองบนหน้าผากของเขา และหลับตาลงอย่างอ่อนโยน

เมื่อเดาว่าได้เวลาแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็ลืมตาขึ้น

เสิ่นอี้โจวที่ตื่นขึ้นพร้อมกันจ้องมองด้วยดวงตาโต

เสิ่นอี้โจวมองไปยังท่าทีที่พวกเขาสองคนเป็นอยู่ในขณะนี้ และตาของเขาก็กระตุก

เซี่ยชิงหยวนยิ้มหยอกล้อ กอดเขาแน่นขึ้นและตบหลังเขา “ไม่เป็นไร ฉันยินดีที่จะกอดคุณแบบนี้บ้างเป็นครั้งคราวนะ”

ต้องบอกว่าตอนที่เธออยู่บ้านแม่ หลานชายและหลานสาวหลายคนของเธอชอบให้กอดแบบนี้มาก การกอดแบบนี้มันสบายมากจริง ๆ

อาจกล่าวได้ว่าเสิ่นอี้โจวอยู่ในอ้อมแขนของเซี่ยชิงหยวนเป็นครั้งแรก

หลังจากความรู้สึกไม่สบาย เขาก็สงบลง

จากท่ามุมของเขาตอนนี้ ตำแหน่งของริมฝีปากของเขาอยู่บริเวณหน้าอกของเธอที่นูนพอดี ขณะที่เธอกอดเขาแน่นขึ้น แก้มและริมฝีปากของเขาจะสัมผัสมันอย่างเลี่ยงไม่ได้

เป็นกลิ่นหอมจาง ๆ สัมผัสนุ่ม ๆ ของเธอ

แต่เซี่ยชิงหยวนไม่ได้สังเกตเลย และตบหลังเขาราวกำลังกล่อมเด็ก

ดวงตาของเสิ่นอี้โจวมืดลง เขาอ้าปากและขบมัน

เขาออกแรงไม่มาก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เซี่ยชิงหยวนร้องอุทานออกมาได้

หญิงสาวสะดุ้งตกใจ

เธอมองลงไปที่คนร้ายที่กำลังเลิกคิ้ว และสายตานั้นไม่ยอมมองมาที่เธอ

เซี่ยชิงหยวนต่อต้านความไม่ชอบมาพากล และยื่นมือของเธอไปผลักเขา “ปล่อยเร็ว ๆ เลยนะ”

มือข้างหนึ่งของเธอถูกเขานอนหนุนอยู่ เธอจะผลักเขาออกไปด้วยมือเพียงข้างเดียวได้อย่างไร?

เสิ่นอี้โจวยื่นมือออกและดึงเธอเข้ามาใกล้ตนมากขึ้น แต่เขาก็รู้สึกว่ามันอึดอัดที่ถูกขวางกั้นโดยชั้นของฟองน้ำในเสื้อชั้นในแบบนี้

ดังนั้นเขาจึงรีบเลิกเสื้อชั้นในขึ้นแล้วขบมันอีกครั้ง

ครั้งนี้เซี่ยชิงหยวนรู้สึกหวาดกลัวจนหลังเท้าของเธอเหยียดเกร็ง

ไม่ใช่ว่าคุณบอกว่าจะงีบสักพักกับฉันเหรอ? ทำไมถึงเป็นแบบนี้เสียแล้ว?

เซี่ยชิงหยวนเม้มริมฝีปากของเธอ “เดี๋ยวก็มีใครเข้ามาเห็นเข้าหรอก!”

เสิ่นอี้โจวไม่เงยหน้าขึ้น “ไม่มีใครกล้าเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผมหรอก”

ช่วงนี้นอกจากติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติแล้ว มีใครบ้างที่ไม่พักกลางวัน?

แต่ตอนนี้เซี่ยชิงหยวนได้ยินเสียงเบา ๆ ของใครบางคนที่พูดอยู่ข้างนอก

เป็นพวกคนที่ไปที่โรงอาหารแล้วกำลังกลับมา!

เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอื้อมมือไปดึงหูของเสิ่นอี้โจว

ใบหน้าของเธอตื่นตระหนกด้วยความอับอาย และมันแดงมากจนเหมือนเลือดจะออก “คุณอายุเท่าไหร่แล้วฮะ!”

ตั้งแต่แรกเสิ่นอี้โจววางแผนที่จะแกล้งเธอเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงยอมถอยไปตามแรงดึงหูของเธอ

เขายิ้มให้เธออย่างสดใส “ปีนี้ผมอายุยี่สิบห้าปี แต่ในจินตนาการของผมอายุยี่สิบหกปีนะ”

เซี่ยชิงหยวนสำลัก “คุณ…คุณ…ฉันไม่อยากคุยกับคุณอีกแล้ว!”

ขณะที่พูด เธอก็ผลักเขาออกไปและลงจากเตียง

เธอยืนขึ้นมองดูคราบน้ำลายเล็ก ๆ บนเสื้อผ้าของตัวเอง ทำให้เธอไม่กล้าออกไปไหน!

จากนั้นเสิ่นอี้โจวก็ลุกขึ้น หยิบกระดาษทิชชูมาแล้วเช็ดหน้าอกให้เธอทั้งสองข้าง

เสื้อผ้าของเซี่ยชิงหยวนวันนี้เป็นสีอ่อน ดังนั้นจึงเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก

แต่ถ้ามองดี ๆ…ก็ยังเห็นได้อยู่

เขาแตะจมูกด้วยความรู้สึกผิด “เราสามารถใช้ตะกร้ากล่องอาหารกลางวันเพื่อปกปิดมันได้อยู่นะ”

เซี่ยชิงหยวนมองลงไปที่เสื้อผ้าของเธอ และรู้สึกรำคาญอย่างมากกับเสิ่นอี้โจว

เธอถลึงตาใส่เขา “ไอ้คนบ้า!”

ขณะที่เธอพูด หญิงสาวก็จัดเสื้อผ้าให้ตรง พร้อมหันหลังกลับและจากไป

มือของเซี่ยชิงหยวนอยู่ที่ลูกบิดประตูแล้ว เสิ่นอี้โจวไม่สามารถรั้งเธอไว้ได้อีกต่อไป

การนอนหลับเมื่อกี้นี้ เขานอนหลับสบายมากราวกับว่าเขาตกอยู่ในเมฆที่อ่อนนุ่ม

เมื่อเขาตื่นขึ้น เขาก็รู้ว่าเป็นเซี่ยชิงหยวนที่โอบกอดเขาเหมือนที่แม่ของเขาเคยทำเมื่อตอนที่เขายังเด็ก

ความเหนื่อยล้าของเขาลดลง และแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก เขาเอ่ยเตือน “ขี่รถระวังด้วยนะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็หันมามองเขาและจ้องมองอีกครั้ง

หญิงสาวเปิดประตูและจากไป

แน่นอนว่าเมื่อเธอจากไป เธอกอดตะกร้าที่ใส่กล่องอาหารกลางวันไว้บนหน้าอกของเธอ

หวังว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นพฤติกรรมของเธอที่ใกล้เคียงกับการหลอกลวงนี้หรอกนะ

เมื่อเธอออกจากสำนักงาน เธอพบว่าฉู่ซิงอวี่และเลขาตัวน้อยไม่อยู่ที่นั่น ดังนั้นเธอจึงรู้สึกโล่งใจ

ทว่าไม่คาดคิด ทันทีที่หญิงสาวลงไปที่ล็อบบี้ก็พบกับเติ้งซูอี้ ซึ่งเธอไม่ได้เจออีกฝ่ายมานานแล้ว

วันนี้เติ้งซูอี้สวมเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ทำความสะอาด และกวาดพื้นด้วยไม้กวาดอันใหญ่ในมือ

เซี่ยชิงหยวนงงงวย ทำไมเติ้งซูอี้อยู่ที่นี่เพื่อกวาดพื้นล่ะ?

ขณะที่เซี่ยชิงหยวนกำลังสงสัย เติ้งซูอี้ก็มองกลับมาเช่นกัน

สายตาของทั้งสองสบกันและทั้งคู่ต่างไม่ได้พูดอะไร

———————

บทที่ 228 ไฟไหม้

บทที่ 228 ไฟไหม้

เขากำลังปิดบังอะไรจากเธออยู่รึเปล่า?

หรือเขาป่วยหนักยิ่งกว่าเดิมมาก?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป

เธออยากจะกลับไปที่เมืองเตียนเฉิงทันที และถามเขาให้ชัดเจน

แต่ถึงจะคิดแบบนั้น เธอก็ทำไม่ได้และไม่สามารถโทรไปรบกวนงานของเขาได้ตอนนี้เช่นกัน

คงได้แต่รอเท่านั้น

เธอเดินกลับไปที่ห้องอย่างกระสับกระส่าย และนั่งบนเตียงด้วยความงุนงง ไม่สามารถฟื้นตัวได้อยู่นาน

เนื่องจากเซี่ยชิงหยวนกำลังคิดเกี่ยวกับบางสิ่ง คืนนี้จึงนอนหลับไม่สนิท

ไม่นานนักเธอก็ได้กลิ่นควันจาง ๆ

มันดังเบา ๆ เธอได้ยินเสียงคนตะโกนว่าไฟไหม้อยู่นอกประตู

เซี่ยชิงหยวนตื่นขึ้นจากความฝันในทันใด

เธอลุกขึ้นนั่ง หัวใจพลันเต้นแรง

ตั้งใจฟังอีกครั้งก็ได้ยินเสียงตะโกนที่ด้านนอกประตูจริง ๆ

โดยธรรมชาติแล้ว เธอไม่สามารถตะโกนออกไปนอกหน้าต่างและรอให้เฮ่ออวี้เฟิงมาช่วยเธอได้ตามที่เขาเคยพูดไว้

เธอต้องช่วยตัวเองก่อน!

เซี่ยชิงหยวนไม่กล้าเปิดไฟ เธอรีบลุกขึ้นจากเตียง คว้าเงินข้างเตียง ฉีกผ้าขนหนู เทน้ำจากในแก้วลงบนผ้าขนหนู จากนั้นเอาผ้าขนหนูที่ชุ่มน้ำปิดปากและจมูกก่อนจะเดินไปที่ประตู

ก่อนจะออกจากประตูห้อง เธอก็เห็นถุงกระสอบผ้าอยู่ใกล้ประตู หญิงสาวกัดฟันและแบกมันไว้บนบ่าจึงวิ่งออกไป

ที่ทางเดิน มีคนตะโกนอยู่แล้วว่า “ไฟไหม้!”

ประตูบางบานยังคงปิดแน่น บางทีคนข้างในคงหลับลึกและยังไม่ตื่น

เธอเห็นควันหนาทึบลอยขึ้นมาจากด้านหนึ่งของบันไดและดูเหมือนว่ามีไฟอยู่ด้านล่าง

ผู้คนทางใต้เกลียดน้ำท่วมมาก ดังนั้นสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ จึงมีการสร้างคนละแนวกับในมณฑลยูนนาน ส่วนใหญ่บ้านจะสูงสามชั้น และชั้นที่เธออาศัยอยู่น่าจะเป็นชั้นที่สาม

หากไม่เป็นเช่นนั้น เธอคงจะพอกระโดดออกไปทางหน้าต่างและหลบหนีได้

เธอต้องวิ่งลงบันไดอีกชั้น

เมื่อเธอผ่านประตูบานหนึ่งที่ปิดอยู่ เธอไม่ได้ยินเสียงคนข้างในห้องเลย ดังนั้นเธอจึงรีบใช้เท้าเตะประตูเพื่อปลุกคนที่ยังหลับใหลอยู่ในห้องให้ตื่น

เซี่ยชิงหยวนแบกเสื้อผ้าไว้บนบ่าของเธอ เมื่อมีคนเดินผ่านมาชนเธอ ถุงกระสอบก็ตกลงบนทางเดิน

ชายคนนั้นรีบหยิบถุงกระสอบให้เซี่ยชิงหยวนยัดไว้ในอ้อมแขนของเธอ แล้ววิ่งลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว

เมื่อเซี่ยชิงหยวนวิ่งลงไปอีกชั้นหนึ่ง ทั้งชั้นก็ถูกไฟลุกไหม้แล้ว

ชั้นที่สองไฟไหม้ทั้งชั้นเลย

เปลวไฟเต็มไปหมดและคลื่นความร้อนที่แผดเผาพุ่งเข้าหาเธออย่างรวดเร็ว ดวงตาของเธอถูกควันมากจนน้ำตาไหลอาบแก้มบราวนี่ออนไลน์

ควันหนาทึบจนเธอมองไม่เห็นทางอีกต่อไป

เธอใช้เพียงสัญชาตญาณวิ่งไปยังทิศทางในความทรงจำ

เธอผ่านประตูห้องหนึ่งและมีคนวิ่งออกมาชน ทำให้เธอล้มลงกับพื้น

เซี่ยชิงหยวนไม่ได้ตั้งตัวและล้มลงกับพื้นอย่างจัง

โชคดีที่เธอล้มใส่ถุงกระสอบที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้า ดังนั้นเธอจึงไม่เจ็บมากนัก

เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นและเห็นคนที่กำลังมา เธอก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง

ท่ามกลางกองเพลิง ชายคนนั้นยืนหันหน้าเข้าหาเธอ เขาสวมเสื้อเชิ้ตลายดอกที่เธอเคยเห็นเมื่อตอนกลางวัน เหงื่อบนร่างกายของเขาสะท้อนกับแสงไฟ และในขณะเดียวกันก็มีคราบเลือดติดอยู่บนนั้น

ระยะห่างระหว่างเขากับเธอเพียงหนึ่งเมตร และดวงตาสีดอกพีชของเขามืดมิดสะท้อนกับไฟที่อยู่รอบด้าน ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่เธอไม่เข้าใจ

ทันใดนั้น เขาขยับมือที่ห้อยอยู่ข้างตัวและแสงเย็นก็ปรากฏขึ้นเข้าตาเธอ มันเป็นมีดที่เปื้อนไปด้วยเลือด!

หัวใจของเซี่ยชิงหยวนแทบจะกระดอนขึ้นมาถึงคอของเธอแล้ว

“เซี่ยชิงหยวน? เซี่ยชิงหยวน! เซี่ยชิงหยวน!”

ในช่วงเวลาที่สำคัญ เสียงตะโกนมาจากไม่ไกล มันเป็นเฮ่ออวี้เฟิง!

โจวจิ่นจือเก็บมีดก่อนจะมองไปยังทิศทางของแหล่งที่มาเสียง แล้วถอยกลับเข้าไปในห้อง

เซี่ยชิงหยวนตะโกนสุดเสียงราวกับว่าเธอต้องการมีชีวิตอยู่หลังจากเกิดหายนะ “ฉันอยู่นี่…แค่ก แค่ก แค่ก…”

ทันทีที่เธออ้าปาก ควันหนาทึบก็ถูกสูดเข้าไปในปอดของเธอ ทำให้เธอไออย่างรุนแรง

เซี่ยชิงหยวนลุกขึ้นลากกระสอบเสื้อผ้าทันที ไม่กล้าอยู่ต่ออีกแม้แต่ครู่เดียว เธอสะดุดพลางวิ่งลงไปชั้นล่าง

ตอนที่เธอเห็นเฮ่ออวี้เฟิง เธอก็เกือบจะร้องไห้แล้ว

เฮ่ออวี้เฟิงกำลังวิ่งจากชั้นล่างขึ้นชั้นบน

เพียงว่ามีคนจำนวนมากกำลังวิ่งลงไป ซึ่งดันเขาลงซ้ำแล้วซ้ำอีก

เมื่อเขาเห็นเซี่ยชิงหยวนวิ่งลงบันไดมา เขาก็ก้าวไปข้างหน้าทันทีและลากเธอลงไป

เซี่ยชิงหยวนอุทาน “ว้าย!” และเซ

ก่อนที่เธอจะทันได้เข้าใจสถานการณ์ กระสอบเสื้อผ้าในมือของเธอก็ถูกกระชากออกไป และตัวเธอก็ถูกลากให้วิ่งหนี

พวกเขาไม่กล้าที่จะหยุดจนกว่าจะวิ่งออกจากที่พักและไปยังถนนฝั่งตรงข้ามได้

ทั้งสองมองไปยังเปลวไฟที่กำลังพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หลังจากเกิดภัยพิบัติ

คนบ้านใกล้เรือนเคียงก็ออกมาช่วย บางคนหามน้ำมาพยายามดับไฟ

แต่ว่าน้ำแค่ไม่กี่ถังย่อมไม่สามารถดับไฟกองโตที่ไหม้ทั้งที่พักได้

เกรงว่าหลังจากไฟไหม้ ที่พักนี้คงเหลืออยู่เพียงแค่ซากเท่านั้น

เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงโจวจิ่นจือที่เธอเพิ่งพบข้างใน วิธีที่เขามองในตอนนั้นทำให้เธอใจสั่นกลัว

เธอยังสงสัยว่าไฟเริ่มต้นเพราะเขาหรือไม่

เฮ่ออวี้เฟิงมองไปที่เซี่ยชิงหยวน ซึ่งใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยเปื้อนดำ หญิงสาวยังคงจ้องมองที่กองไฟด้วยความงุนงง

ความกังวลเมื่อกี้ที่หาเธอไม่เจอเข้ามาในความคิดของเขาอีกครั้ง เขาดุเธอทันที “คุณอยากตายมากเหรอ? เมื่อกี้คุณควรวิ่งหนีเอาชีวิตรอดไม่ใช่ยังมีความคิดจะแบกถุงขยะใบนี้ติดมือมาด้วย! คุณไม่มีสมองรู้บ้างหรือไงว่าคุณควรวิ่งก่อน!”

เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนที่ถูกฝูงชนบีบอยู่ตรงกลางและยังคงถือถุงกระสอบที่คุ้นตาไว้ในอ้อมแขนของเธอ เขาก็โกรธมาก

นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นอี้โจวขอให้เขาทำอะไรสักอย่าง หากเธอตายไปวันนี้ เขาจะอธิบายให้เสิ่นอี้โจวฟังได้ยังไง?

เซี่ยชิงหยวนรู้ว่าสิ่งที่ตัวเธอทำนั้นไม่ควร ดังนั้นเธอจึงได้แต่ขอโทษ “ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ ตอนนั้นฉันแค่คิดว่าฉันสามารถทำได้ ฉันเลยวิ่งมาพร้อมกับมันน่ะ”

เสื้อผ้ามีไม่กี่ร้อยตัว ดังนั้นเธอคิดว่าตัวเองสามารถแบกมันไหว

เมื่อในอดีตตอนที่เธอทำงานที่บ้าน การขนหมูและฟืนหนักกว่านี้มากนัก

ที่สำคัญเสื้อผ้าเหล่านี้มีมูลค่าหลายร้อยหยวน

เมื่อได้ยินสิ่งที่เซี่ยชิงหยวนพูด เฮ่ออวี้เฟิงก็ต้องการที่จะดุเธออีกครั้ง

ผู้หญิงคนนี้บ้าเกินไปแล้ว

แต่เมื่อมองดูท่าทางน่าสงสารของเธอ เขาก็ทนไม่ได้อยู่พักหนึ่ง

เขาถอนหายใจออกมา “ช่างเถอะ”

เขายกถุงกระสอบ “เอาของไปไว้ที่บ้านผมก่อน แล้วค่อยพาคุณไปโรงพยาบาลกัน”

ในใจเซี่ยชิงหยวนยังคงเป็นห่วงเสิ่นอี้โจวอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่อยากไปโรงพยาบาล

เธอพูดว่า “ฉันเอาผ้าเปียกปิดปากและจมูกไว้ ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอก”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เฮ่ออวี้เฟิงก็พูดว่า “อย่าคิดว่าตอนนี้คุณสบายดี คุณต้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย เพราะคุณต้องสูดควันเข้าไปในปอดของคุณไม่น้อยแน่ ๆ”

เซี่ยชิงหยวนรู้ว่าเฮ่ออวี้เฟิงพูดถูก

ในหมู่บ้านซิ่งฮวา บ้านของคุณยายคนหนึ่งเกิดไฟไหม้ ทุกคนจึงรีบไปดับไฟ

เมื่อคุณยายได้รับการช่วยเหลือ ดูภายนอกเธอไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ และยังพูดกับทุกคนได้อย่างปกติหลายคำ

ต่อมาคนในครอบครัวเป็นห่วงจึงส่งไปตรวจที่สถานพยาบาล ซึ่งหลังจากไปก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย

หมอบอกว่าสูดคาร์บอนมอนอกไซด์เข้าปอดมากเกินไป

เซี่ยชิงหยวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้า “ได้ค่ะ”

จากนั้นเธอเงยหน้าขึ้นมองตาเฮ่ออวี้เฟิงด้วยดวงตากลมโตและพูดว่า “คุณสัญญาอะไรบางอย่างกับฉันได้ไหม?”

———————

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

Status: Ongoing
หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ประสบอุบัติตุจนเสียชีวิต และเธอก็ได้ย้อนไปตอนที่เธออายุ 21 ปี …ลับมาครั้งนี้เธอจะไม่ยอมหย่ากับเสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธออีกเด็ดขาด! หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ช่วยเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้จนประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ปีแล้วปีเล่าผ่านไป เสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธอก็มักจะมายี่ยมหลุมศพของเธอประจำ เธอในร่างวิญญาณออกปากไล่เขาทุกครั้งต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ยิน เขาจำไม่ได้เลยหรืออย่างไร ว่าเธอทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่แล้วเธอก็ได้ย้อนกลับมาใน ในวันที่เธออายุ 21 ปี แลยังไม่ได้หย่าขาดกับเสิ่นอี้โจว ในเมื่อเธอได้โอกาสอีกครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด ครั้งนี้เธอจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับเสิ่นอื้โจวได้จงได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท