บทที่ 249 ตาเฒ่าตัวเหม็น
บทที่ 249 ตาเฒ่าตัวเหม็น
ทั้งคู่กอดกันและคุยกันสักพัก จากนั้นหลินตงซิ่วก็เข้ามา
ดวงตาของเธอแดงก่ำ และเมื่อเห็นลูกสะใภ้ผู้บอบบางของเธอกลายเป็นสภาพเหมือนหญิงชราเช่นนี้ แม่สามีอย่างเธอก็รู้สึกเป็นทุกข์มากทันที “โธ่ลูก ลูกคงทนทุกข์มามากสินะ”
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “แม่คะ หนูไม่เป็นอะไรค่ะ”
เสิ่นอี้โจวตื่นขึ้นได้คือสิ่งที่สำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใดแล้ว
เสิ่นอี้โจวก็น้ำตาไหลเช่นกัน
เขาจับมือผู้หญิงสองคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา และพูดด้วยเสียงสะอื้น
“ทั้งสองคนเหนื่อยเพราะผมมากเหลือเกิน แต่หลังจากนี้เราจะดีขึ้นเรื่อย ๆ นะ”
ทั้งสามคนมองหน้ากันและยิ้ม ไม่มีใครพูดอะไรอีก
หลังจากเวลานี้ บางสิ่งที่ไม่สามารถพูดได้ก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะหายไปแล้ว
เมื่อหมอหมิ่นมาตรวจอีกครั้งในบ่ายวันนั้น เขาดูข้อมูลการตรวจล่าสุดของเสิ่นอี้โจวพลางพยักหน้าและพูดว่า “ร่างกายในตอนนี้ คุณสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ภายในเวลาไม่เกินสองวันนะครับ”
แต่คำพูดเหล่านี้ทำให้เซี่ยชิงหยวนเป็นกังวล
เธอพูดว่า “แต่หมอหมิ่นคะ อี้โจวเพิ่งตื่นวันนี้เองนะคะ”
ยิ่งกว่านั้น เขายังดูอ่อนแอมากด้วย
หมอหมิ่นยิ้มและพูดว่า “คนไข้คนอื่น ๆ อยากจะออกจากโรงพยาบาลทันที แต่คุณยังต้องการให้เขาอยู่ต่ออีกหลาย ๆ วันเหรอ? ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการออกจากโรงพยาบาล ถ้าคุณขอให้เขาลุกจากเตียงแล้ววิ่งไปหา ผมเกรงว่าเขาก็ทำได้นะ”
หลังจากการผ่าตัดของเสิ่นอี้โจว โอกาสรอดของเขานั้นต่ำมากและหมอหมิ่นคิดอยู่พักหนึ่งว่าเสิ่นอี้โจวจะไม่สามารถตื่นขึ้นได้
แต่ความมุ่งมั่นในการเอาชีวิตรอดของเสิ่นอี้โจวนั้นแข็งแกร่งมาก และจังหวะการเต้นของหัวใจของชายหนุ่มก็ยังเต้นต่อไปเรื่อย ๆ
ดูเหมือนว่าหลังจากที่เซี่ยชิงหยวนออกไปได้ระยะหนึ่ง ร่างกายของเสิ่นอี้โจวก็ค่อย ๆ แสดงสัญญาณของการฟื้นตัว และทุกอย่างก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
จนกระทั่งเช้าวันนี้ก็ตื่นขึ้นจริง ๆ
ในโรงพยาบาล หมอหมิ่นเคยชินกับการเห็นชีวิตและความตายปรากฏการณ์เช่นนี้ ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก
เขาต้องถอนหายใจ บางทีนี่อาจเป็นพลังแห่งความรัก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยชิงหยวนก็ไม่พูดอะไรอีกต่อไป
แต่พอมองดูสีหน้าของหมอหมิ่นก็เห็นได้ชัดว่าเขาเพียงแค่ล้อเล่น
หมอหมิ่นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดกับเสิ่นอี้โจว “ผมไม่ได้พูดอย่างไร้เหตุผลนะ แผลผ่าตัดของคุณดีขึ้นแล้ว คุณควรลุกจากเตียงไปเดินเล่นสักหน่อยถ้าไม่มีอะไรทำ สิ่งนี้จะช่วยให้คุณฟื้นตัวได้เร็วขึ้นด้วย”
คนไข้บางคนนอนบนเตียงนานเกินไป และเมื่อจู่ ๆ ต้องลุกจากเตียงกลับเหมือนลืมวิธีเดินโดยสิ้นเชิง
สีหน้าที่ผิดธรรมชาติปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสิ่นอี้โจว
เขาดึงผ้านวมคลุมแล้วตอบเสียงเบา “ครับ ขอบคุณครับหมอหมิ่น”
ทันทีที่หมอหมิ่นออกไป เซี่ยชิงหยวนก็เอื้อมมือไปดึงหูของเขา “ตอนนี้คุณฟื้นแล้วใช่ไหม? คุณเดินได้ คุณเต้นได้ ทำไมคุณยังแสร้งทำเป็นอ่อนแออีกหะ?”
เสิ่นอี้โจวปิดหูและร้องขอความเมตตา “ภรรยาจ๋า ผมผิดไปแล้ว!”
เซี่ยชิงหยวนจ้องที่เขาเขม็ง “ก่อนหน้านี้คุณก็ทำตัวไม่ดีปิดบังเรื่องสำคัญ แถมวันนี้คุณยังโกหกฉันอีก คุณนี่มันเป็นนักเลงหัวไม้จริง ๆ!”
หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนกลับมา เธอก็ขอให้หลินตงซิ่วไปพักผ่อนก่อน และเธอจะดูแลเสิ่นอี้โจวด้วยตัวเองที่เตียงคนไข้
ในความเป็นจริงทั้งสองกอดกันและพูดคุยเกี่ยวกับการบ้านต่างหาก…
แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อหลินตงซิ่วออกไป เสิ่นอี้โจวก็ขอให้เซี่ยชิงหยวนช่วยเขาไปห้องน้ำ และโดยไม่ต้องพูดถึง เขาขอให้เธอดึงกางเกงของเขาด้วย
ก่อนที่เธอจะทันได้ปฏิเสธ เขาเอนร่างครึ่งหนึ่งของเขาซบบนร่างของเธอแล้ว และพูดอย่างอ่อนแรง “พอยืนนานๆ แบบนี้ ผมรู้สึกเวียนหัวจัง”
เซี่ยชิงหยวนจึงต้องถอดกางเกงของเขาออกให้อย่างช่วยไม่ได้
แต่มันยังไม่จบ
เขาพูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ใส่มันให้ผมทีสิ ไม่งั้นผมจะใส่เองได้ยังไง?”
เซี่ยชิงหยวนหน้าแดงไปถึงคอของเธอทันที
โดยไม่คาดคิด เขายังคงแสร้งทำตัวน่าสงสาร “มือของผมเจ็บและอ่อนแรงมาก ผมไม่มีแรงแล้ววว”
เซี่ยชิงหยวนทำได้เพียงจ้องไปที่ชุดโรงพยาบาลสีน้ำเงินและสีขาวที่หน้าอกของเขาพลางปลดกระดุมให้ แต่เธอไม่ได้ควบคุมพละกำลังของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ทำให้เขาก็ส่งเสียงครวญครางอู้อี้ออกมา
ลมหายใจร้อนชื้นรดที่คอและไหล่ของเธอ และก็ได้ยินเสียงที่ดูท่าแล้วกำลังยิ้มกริ่มอยู่ “ภรรยาจ๋า ผมยังไม่หายดีเลย แต่ผมจะทำให้คุณพอใจเมื่อเรากลับไปที่เตียนเฉิงแน่นอน อดทนกับมันหน่อยนะ”
เซี่ยชิงหยวนเกือบจะวิ่งหนีไปแล้วในตอนนี้
เมื่อคิดถึงสัมผัสที่มือของเขาในตอนนั้น เจ้าคนบ้านี่กล้าโกหกเธอเชียวนะ ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอายและหงุดหงิดขึ้นมา
เธอบิดหูของเขาทันที มองเขาอย่างแข็งกร้าวและยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่พูดอะไร
ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเสิ่นอี้โจว เขายื่นมือไปจับมือของเธอ “ผมจะปล่อยให้คุณลวนลามผมไปแล้วกัน เพราะงั้นยกโทษให้ผมด้วยนะ ตกลงไหม?”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินสิ่งนี้ ความร้อนอีกระลอกหนึ่งก็พุ่งไปที่หน้าของเธอ “ฉันไม่ได้ลวนลามสักหน่อย ฉันกำลังช่วยคุณอยู่นะ!”
รอยยิ้มที่มุมปากของเสิ่นอี้โจวลึกขึ้น “ใช่ คุณไม่ได้แตะต้องหรือลวนลามเลย”
เขาดึงเธอมาข้างหน้าด้วยรอยยิ้มที่กว้างมากขึ้นบนใบหน้า “คุณก็แค่ทำมันอยู่เสมอเอง จริงไหม?”
เซี่ยชิงหยวน “!”
เธอชี้นิ้วไปที่ไหล่ของเขาก่อนจะผลักเขาออกไป “ไอ้คนตัวเหม็น!”
เมื่อจำได้ว่าเขาเกิดใหม่ และมีอายุยืนกว่าตัวเองไม่กี่ปี เธอก็สาปแช่งขึ้นมา “ตาเฒ่า!”
เสิ่นอี้โจวมองไปที่เซี่ยชิงหยวนที่หนีไปและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ที่ตำแหน่งท้อง สำหรับเขาแล้วการยอมควักท้องส่วนเล็ก ๆ ของเขาเพื่อแลกกับการอยู่พร้อมหน้าเธอถือเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับเขา
เนื่องจากเขากำลังจะกลับไปเตียนเฉิงในอีกสองวัน
เซี่ยชิงหยวนจึงแวะไปหาหมอฮวงเพื่อพูดคุย เธอไม่ได้ทำตามวิธีที่คุณหมอฮวงพูดมาหนึ่งเดือนแล้ว และเธอก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงหรือเปล่า
เสิ่นอี้โจวดึงเธอไว้ “คุณไม่ต้องการให้ผมไปกับคุณจริง ๆ เหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “ไม่จำเป็นหรอก ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวแม่จะไม่เจอใครนะ แบบนั้นจะยิ่งทำให้อธิบายยากเข้าไปอีก”
ทุกครั้งที่เธอไปหาหมอฮวง การวินิจฉัยและการรักษา ทั้งสองขั้นตอนใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง
มันใช้เวลานาน ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องการให้เสิ่นอี้โจวไปรออยู่ข้าง ๆ
เมื่อเซี่ยชิงหยวนไปหาหมอฮวง หมอฮวงเงยหน้าขึ้นจากเวชระเบียน เหลือบมองเธอและลุกขึ้นยืนทันที
เธอปิดประตูและถามว่า “นี่คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? สามีคุณทุบตีคุณหรือเปล่า?”
บาดแผลของเซี่ยชิงหยวนถูกรักษาใหม่ที่โรงพยาบาลและพันผ้าพันแผลใหม่
เป็นเพียงว่าในระหว่างการแสวงบุญใบหน้าของเธอโทรมมาก นอกจากนี้ผิวของเธอตอนนี้ยังเป็นสีดำคล้ำและสีเหลืองซีด รูปร่างของเธอก็ผอมด้วย ทำให้ดูเหมือนถูกทำร้ายและเฆี่ยนตีมากจริงๆ นั่นแหละ
หมอฮวงเคยพบกับเสิ่นอี้โจวเมื่อเขามาโรงพยาบาลครั้งแรก
ในเวลานั้นเธอยังคร่ำครวญอยู่เลยว่าที่ผู้หญิงสะสวยแบบนี้มีพรสวรรค์มากจริง ๆ เป็นภรรยาที่ยิ่งใหญ่อยู่เหนือสามีแบบนั้น
แต่เธอพลาดแล้วจริง ๆ!
เมื่อเห็นใบหน้ากังวลของหมอฮวง หัวใจของเซี่ยชิงหยวนก็อบอุ่นขึ้นมา
หญิงสาวส่ายหัว “หมอฮวง ฉันสบายดีค่ะ สามัของฉันไม่ได้ทุบตีหรือข่มเหงฉันหรอกค่ะ”
เธอพูดสั้น ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งทำให้หมอฮวงถอนหายใจ
หมอฮวงตบมือของเซี่ยชิงหยวนอย่างให้กำลังใจ “เด็กดี ในที่สุดมันก็จบลงแล้วนะ”
เธอต้องบอกว่าเซี่ยชิงหยวนมีปัญหามากมายจริง ๆ
เธอพูดต่อ “ยกมือขึ้นนะ แล้วฉันจะตรวจคุณให้อย่างละเอียดเอง คุณเพิ่งผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมา และฉันไม่รู้ว่ามันเป็นส่งผลกระทบทางร่างกายขนาดไหน”
ขณะที่เธอพูด หมอฮวงก็รู้สึกว่าชีพจรของเซี่ยชิงหยวนปั่นป่วน
ทันใดนั้นเธอก็หยุดพูดไป
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกประหม่าอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าของหมอฮวง และขมวดคิ้ว
เธอถามว่า “หมอฮวง ฉันเป็นอะไรไปเหรอคะ?”
บทที่ 243 พบเจออาจารย์
บทที่ 243 พบเจออาจารย์
หลินตงซิ่วไม่ตอบสนองต่อคำพูดของเซี่ยชิงหยวนเป็นเวลานาน
มณฑลยูนนานอยู่ใกล้กับทิเบตมาก และเธอเคยได้ยินคนพูดถึงเป็นครั้งคราวว่าที่นั่นยังวุ่นวายอยู่
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “หนูได้ยินคนพูดกันว่าถ้าไปทิเบตเพื่อสักการะ เราจะได้ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้ามากขึ้น”
หลินตงซิ่วไม่เข้าใจสิ่งที่เซี่ยชิงหยวนพูดถึง
แต่เธอสามารถบอกได้ว่าเซี่ยชิงหยวนต้องการทำอะไรเพื่อเสิ่นอี้โจว
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อย่าห่วงเลย อี้โจวมีแม่อยู่ที่นี่ ที่นั่นยังไม่สงบสุขด้วย ดังนั้นลูกต้องระวังตัวเองให้มากนะ”
นับตั้งแต่อุบัติเหตุของเสิ่นอี้โจว หลินตงซิ่วได้แสดงให้เห็นถึงความร่วมมืออย่างแรงกล้า
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกขอบคุณในใจ “ถ้าอย่างนั้นหนูจะไปซื้อตั๋วตอนนี้ และออกเดินทางให้เร็วที่สุดนะคะ”
เมื่อคืนนี้เธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งคืน
แทนที่จะรออย่างเฉยเมยแบบนี้ จะดีกว่าไหมถ้าลองดู
ในสายตาของคนอื่น ความคิดนี้อาจจะไร้สาระ
แต่สำหรับเธอ มันเป็นทางเลือกสุดท้าย
เธอยังคิดว่าบางทีหลังจากที่เธอจากไป เธออาจจะไม่ได้เห็นเสิ่นอี้โจวอีกเลย
แต่เธอก็ไม่สามารถหยุดได้
ชาติที่แล้วเธอทิ้งเขาก่อน แล้วชีวิตนี้เธอยังต้องดูเขาตายเฉย ๆ อีกเหรอ?
ในตอนเช้าของวันที่สอง เซี่ยชิงหยวนกล่าวลาเสิ่นอี้โจวและหลินตงซิ่ว
แสงอรุณส่องเข้ามาทางหน้าต่างส่องไปที่เตียงคนไข้
เซี่ยชิงหยวนก้มลงจูบริมฝีปากซีดและแห้งของเขาเบา ๆ
มุมริมฝีปากของเธอกระตุกขึ้น ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาของเขา เขาดูอ่อนโยนและน่ารักสำหรับเธอ “เสิ่นอี้โจว คุณต้องรอฉันกลับมานะ”
หลินตงซิ่วมองดูเซี่ยชิงหยวนจากไป และเช็ดน้ำตาที่อดกลั้นไม่ได้อีกครั้ง
ผู้หญิงในวอร์ดตรงข้ามรอให้เซี่ยชิงหยวนออกไปก่อนที่จะถามหลินตงซิ่ว “ลูกสะใภ้ของคุณหนีไปเพราะลูกชายของคุณไม่ตื่นเหรอ?”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายครอบครัวที่ยากจนเกินไปจนมีผู้หญิงหลายคนที่ทิ้งผู้ชายและลูก
หลินตงซิ่วรีบหันไปจ้องหน้าอีกฝ่าย เธอผู้ไร้ประโยชน์และอ่อนแอมาตลอดชีวิตจ้องมองไปที่อีกฝ่ายและตวาดเสียงดังลั่น “อะไร! ลูกชายฉันตื่นแน่! และลูกสะใภ้ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น สงบปากสงบคำให้มันน้อยลงหน่อยนะ!”
ผู้หญิงคนนั้นถูกหลินตงซิ่วตวาดใส่หน้าจนลืมพูดไปชั่วขณะ
เมื่อเธอตั้งสติได้ เธอชี้ไปที่หลินตงซิ่วและตะโกนกลับ “ฉันแค่หวังดีเอง ทำไมคุณต้องโกรธขนาดนี้ ฉันจะบอกคุณ…”
เธออยากจะพูดมากกว่านี้ แต่ถูกลากกลับไปโดยคนในครอบครัวที่ออกมาและขอโทษหลินตงซิ่ว
บางคนบอกว่าคนที่รักษาอยู่ในวอร์ดนี้มีทั้งคนรวยหรือคนชั้นสูง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ควรโกรธเคืองกันง่าย ๆ
หลินตงซิ่วมองไปที่วอร์ดตรงข้ามโดยที่ประตูปิดไปแล้ว เธอรู้สึกเศร้าโศกและขุ่นเคืองในใจ เธอคร่ำครวญอย่างอ่อนแรง “ลูกชายของฉันจะตื่นและลูกสะใภ้ของฉันจะกลับมา!”
เธอเดินกลับไปที่วอร์ดของเสิ่นอี้โจวอย่างเงียบ ๆ
ในขณะเดียวกัน เซี่ยชิงหยวนซื้อตั๋วรถไฟไปทิเบตเรียบร้อย
ในเวลานี้การคมนาคมในเขตปกครองตนเองทิเบตไม่สะดวกมากเท่าไหร่ เธอจึงต้องนั่งรถไฟอยู่หลายต่อกว่าจะไปถึง
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตนี้ที่เธอมาที่ลาซา และเธอก็ต้องอดทนกับอาการแพ้ที่สูง*[1] ขึ้นเพราะสภาพแวดล้อมที่ต่างกันมากเกินไปตั้งแต่เข้าทิเบตมาเลย
เซี่ยชิงหยวนพยายามที่จะก้าวต่อไป ไม่กล้าที่จะเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว
ต่อมาเมื่อไม่สามารถยืนต่อไปได้ เธอก็ทรุดลงและถูกส่งไปหาหมอในท้องถิ่น
เมื่อเซี่ยชิงหยวนตื่นขึ้นมา สิ่งที่เธอเห็นคือหลังคาของบ้านสักหลาดสไตล์ทิเบต
เธอพยายามลุกขึ้นทันที แต่จากนั้นก็มีคนกดไหล่ของเธออย่างหนัก และเธอก็ล้มลงไปนอนบนเตียงอีกครั้ง
เมื่อเธอมองขึ้นไปก็เห็นชายชราผิวคล้ำมีผมเปียหลายเส้น
เขายิ้มให้เซี่ยชิงหยวนในขณะที่พูดภาษาทิเบต เขาแสดงท่าทางด้วยมือของเขา
ในชีวิตที่แล้วเซี่ยชิงหยวนได้เรียนรู้ภาษาทิเบตเพียงเล็กน้อยจากอาจารย์ของเธอ ดังนั้นเธอจึงเข้าใจเพียงครึ่งเดียว
ชายชรากำลังพูดว่า “ร่างกายของคุณอ่อนแอมาก และตอนนี้คุณยังลุกขึ้นไม่ได้”
เซี่ยชิงหยวนตอบชายชราเป็นภาษาทิเบตอย่างตะกุกตะกัก “ชายชรา ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้นะคะ แต่ฉันมีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำ และฉันต้องไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”
“สาวน้อย ฉันเพิ่งช่วยเธอไว้ แล้วเธอกลับจะทำลายร่างกายของเธอเองแบบนี้น่ะเหรอ?”
ขณะที่ม่านที่ประตูเปิดออก ชายชราอีกคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
เขาแต่งกายด้วยชุดชาวฮั่น รูปร่างปานกลาง ผมครึ่งหนึ่งเป็นสีขาว ใบหน้าสีแดง เขาสวมเครื่องประดับหยกปิดตาซ้ายทั้งหมด ดวงตาขวาของเขาแหลมคมมาก
ทันทีที่เซี่ยชิงหยวนมองเห็นชายชราผู้มาใหม่ ดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยน้ำตาคลอ
เธอมองเขาอย่างไม่ยอมกะพริบตา
เมื่อปี่เหลาซานเห็นเซี่ยชิงหยวนดวงตาแดงก่ำ เขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วน “ฉันแค่บอกแนะนำเอง เธอไม่จำเป็นต้องร้องไห้สักหน่อย”
ในขณะที่พูด เขาได้เดินมาที่เตียงของเซี่ยชิงหยวนแล้ว
เซี่ยชิงหยวนไม่ตอบสนองต่อคำพูดของเขา
เธอกลิ้งลงจากเตียง คุกเข่าบนพื้นกอดขาของชายชราและร้องสะอื้นว่า “อาจารย์!”
การกระทำของเซี่ยชิงหยวนทำให้ปี่เหลาซานและหมอตกใจอย่างมาก
เกิดอะไรขึ้น?
ปี่เหลาซานตกใจมากจนเขารีบผละออกจากเซี่ยชิงหยวน “สาวน้อย เธอกำลังทำอะไรอยู่?”
เซี่ยชิงหยวนไม่คาดคิดว่าเธอจะได้พบกับอาจารย์ของเธอที่นี่
นี่คืออาจารย์ของเธอที่อายุน้อยกว่าตอนที่เธอพบในชาติที่แล้วหลายปี
ในเวลานี้ผมของเขายังไม่ขาวสนิท และเขาก็ไม่ได้แก่อย่างเห็นได้ชัด
เธอตายอย่างไม่คาดคิดในชาติที่แล้ว และเธอก็ไม่รู้ว่าเขาทำใจยอมรับกับตายของเธอยังไงหลังจากนั้น
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็น้ำตาไหลอีกครั้งและกอดเขาแน่นขึ้น
เมื่อรู้สึกว่ากางเกงของเขาค่อย ๆ หลุดลงมาอย่างต่อเนื่อง ปี่เหลาซานก็ยิ่งกระวนกระวายจนเขาดึงกางเกงอย่างเก้ ๆ กัง ๆ “เธอ…ปล่อยนะ กางเกงของฉันกำลังจะหลุดอยู่แล้ว!”
เป็นไปได้ไหมว่าผู้หญิงที่เขาช่วยชีวิตเป็นคนวิกลจริต?
ทันทีที่เธอเห็นเขา เธอกระโจนมากอดขาแล้วเรียกเขาว่าอาจารย์แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยอย่างนี้
นับประสาอะไรกับหญิงสาว แม้แต่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วยังกล้าที่จะถอดกางเกงใครสักคนแบบนี้ไหม?
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยมือ
หลังจากการฝืนร่างกายเมื่อกี้นี้ หัวของเธอวิงเวียนอีกครั้ง
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยตากะพริบ “อาจารย์”
ปี่เหลาซานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย “เธอเรียกฉันว่าอะไรนะ?”
เซี่ยชิงหยวนตื่นเต้นไปหน่อยเมื่อเห็นปี่เหลาซานและสมองของเธอยังฟื้นไม่ชัดเจนนัก ดังนั้นเมื่อเธอได้สติแล้ว เธอก็จำได้ว่าตอนนี้เขายังไม่ใช่อาจารย์ของเธอ
เมื่อนึกถึงชีวิตที่แล้ว ปี่เหลาซานไล่ตามเธอเพื่อจะพาเธอไปเป็นลูกศิษย์ แต่เขาจำเธอไม่ได้ในชีวิตนี้ ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า
เธอพูดอย่างตรงไปตรงมา “ฉันอยากจะเคารพคุณเป็นอาจารย์ของฉันค่ะ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ปี่เหลาซานก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุข เขาพูดว่า “เธอรู้ไหมว่าฉันทำอะไร? จู่ ๆ เธออยากมาให้ฉันเป็นอาจารย์เนี่ยนะ?”
เดิมทีเซี่ยชิงหยวนคิดว่าคงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะพบกับอาจารย์อีกครั้งหากเธอเกิดใหม่ในชีวิตนี้ และเปลี่ยนเส้นทางเดิมของเหตุการณ์
ตอนนี้เธอพบเขาทันทีที่ก้าวเข้าสู่ลาซา ไม่งั้นเธอก็คงไม่รู้ว่าจะไปหาเขาที่ไหน
อาจารย์ของเธอเดินทางไปทั่วประเทศตลอดทั้งปีและมีที่อยู่อาศัยไม่แน่นอน
เมื่อพบแล้ว เธอต้องรักษาเขาไว้ให้ดี
หรืออย่างแย่ที่สุดเธอก็ต้องได้วิธีการติดต่อเขาไว้เพื่อที่เธอจะได้หาเขาพบในอนาคต
เธอเริ่มพูดเรื่องไร้สาระในท่าทางที่จริงจัง “ของที่นิ้วนางที่คุณสวมใส่อยู่ มันคือหยกเหอเถียน และหยกสีขาวของหยกเหอเถียนนั้นเป็นเกรดสูงสุดในบรรดาหยก”
“และจี้ที่คุณสวมใส่ที่เอวคือหยกเจไดต์ชนิดที่เป็นน้ำแข็งและเรียบโปร่งใส ไม่มีตำหนิใด ๆ เป็นหยกชั้นยอด”
“เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่เรียบง่ายของคุณและความสึกหรอที่พื้นรองเท้าอย่างชัดเจน ฉันคิดกับตัวเองว่าคุณน่าจะเป็นพ่อค้าหยก ผู้สะสมหยกทุกชนิด”
“ฉันศึกษาหยกมาตั้งแต่เด็ก และตอนนี้พอฉันเห็นคุณ ความรู้สึกใกล้ชิดมันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า”
“คุณช่วยชีวิตฉัน เป็นเหมือนพ่อแม่ให้ฉันได้เกิดใหม่ ฉันจึงถือวิสาสะขอให้คุณเป็นอาจารย์ ช่วยสอนสิ่งต่าง ๆ ให้ฉันด้วยค่ะ”
เธอเงยหน้าขึ้นมองปี่เหลาซานด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความคาดหวัง “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสคิดเห็นยังไงบ้างคะ?”
* อาการแพ้ที่สูง หรือ เกาเหวียนฝั่นอิ้ง (高原反应) แต้จิ๋วว่า “เกา ง้วง หวง อิ่ง” หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “เกาฝั่น” 高反 (เกาฮ่วง – แต้จิ๋ว) กล่าวคือ เมื่อไปถึงที่สูงขึ้น ๆ อากาศ (ออกซิเจน) จะเบาบางลง ทำให้หายใจไม่สะดวก บางคนจะรู้สึกปวดศีรษะหรือปวดท้ายทอย หายใจหอบหรือหายใจไม่ทัน เหนื่อยง่าย บ้างก็มีอาการท้องไส้ปั่นป่วน ท้องเสีย หรืออาจอาเจียน กินอาหารไม่ได้
บทที่ 236 ร้ายแรงมาก
บทที่ 236 ร้ายแรงมาก
เติ้งซูอี้รู้สึกประหลาดใจเช่นกันเมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวน
ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่ตะกร้าในมือของเซี่ยชิงหยวน และเธอก็จำข่าวลือในห้องโถงเกี่ยวกับเซี่ยชิงหยวนที่ส่งอาหารให้เสิ่นอี้โจวได้
เธอพ่นลมหายใจ แต่ก็ยังคงก้มหน้ากวาดพื้นต่อ
เหอเส้าหยวนเตือนเธออย่างเข้มงวด ว่าหากมีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นอีก เขาจะหย่าขาดจากเธอ
ถ้าถูกหย่าในอายุปูนนี้คงถูกนินทาจนจมน้ำลายคนอื่นตายแน่นอน!
ในทางกลับกัน เหอเส้าหยวนเป็นถึงรองผู้อำนวยการศาลากลางเมืองเตียนเฉิง มีเด็กสาวสวยมากมายพร้อมแย่งกันแต่งงานกับเขาแน่นอน
แต่มันยากเหมือนปีนขึ้นสวรรค์สำหรับเธอที่จะหาผู้ชายที่ไหนมาเหลียวมอง
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวน เธอแทบทนไม่ได้แต่ก็ต้องทน เพราะเธอไม่สามารถจ่ายราคาสำหรับการล่วงเกินเซี่ยชิงหยวนอีกได้!
เมื่อเห็นเติ้งซูอี้เป็นเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนก็เลิกคิ้วและไม่พูดอะไร
อีกฝ่ายไม่ยั่วยุ ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนก็คงไม่เสียเวลาด้วย
เซี่ยชิงหยวนไม่พูดอะไรและเดินผ่านเติ้งซูอี้โดยไม่มองอีก
หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนออกจากห้องโถงไปแล้ว เติ้งซูอี้ก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่แผ่นหลังเพรียวบางของอีกฝ่าย
“จิ๊! ก็แค่สวยตอนนี้เท่านั้นแหละ ในอนาคตแก่ตัวไปแกก็จะถูกผู้ชายทอดทิ้ง!”
ไม่สิ เสิ่นอี้โจวคนนั้นหลงเซี่ยชิงหยวนคนนี้มาก ผู้หญิงคนไหนที่กล้าสร้างเรื่องให้เซี่ยชิงหยวน เสิ่นอี้โจวจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้คนผู้นั้นต้องชดใช้
เมื่อนึกถึงผู้ชายของตัวเองที่กลัวเสิ่นอี้โจวอย่างกับเป็นหนูที่เห็นแมว เติ้งซูอี้ก็รู้สึกไม่มีความสุขอีกครั้ง
พวกนี้เป็นผู้ชายกันหมด ทำไมมันต่างกันขนาดนี้!
…
เซี่ยชิงหยวนเดินกลับไปที่ร้านด้วยความกังวลใจ จากนั้นจึงมองไปที่กระจกบานเล็กที่ผนังสวนหลังบ้าน และพบว่าเสื้อผ้าของเธอแห้งสนิทแล้ว
จากนั้นเธอก็ถอนหายใจ
หลังจากพักสักครู่ เธอก็เริ่มเตรียมอาหารเย็นสำหรับเสิ่นอี้โจว
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้ เสิ่นอี้โจวมีภาระงานทำให้ไม่สามารถกลับบ้านในยามค่ำคืนได้
เธอบังเอิญจะไปขายเสื้อผ้าที่นั่นพอดี ดังนั้นเลยเอาอาหารไปให้เขาได้ในคราวเดียว
หลินตงซิ่วปิดฝาเตาถ่านให้เธอตอนเที่ยง แต่ถ่านก็ยังไม่ดับทั้งหมด
เซี่ยชิงหยวนเลยเปิดฝาเล็ก ๆ ด้านล่างเตา และใช้ที่คีบเหล็กหนีบก้อนถ่านที่ไหม้จนเป็นสีเทาที่ด้านล่างออก จากนั้นจึงวางถ่านใหม่สองก้อนลงแทนที่
วันนี้เธอจะทำโจ๊กเป็นมื้อเย็น
กลางคืนเธอไม่กล้าทำอาหารมัน ๆ เพราะกลัวเสิ่นอี้โจวหนักท้อง
เธอต้มโจ๊กใส่เก๋ากี้และพุทราแดงก่อน จากนั้นจึงใส่ขิงขูดฝอย และสุดท้าย หลังจากโจ๊กสุก เธอใส่เนื้อปลาลงในหม้อพร้อมโรยด้วยต้นหอม และโจ๊กเนื้อปลาแสนอร่อยก็พร้อมรับประทานแล้ว
เซี่ยชิงหยวนหั่นปลาที่ซื้อมาเป็นชิ้นบาง ๆ ใส่เครื่องปรุงรส และผสมให้เข้ากัน เมื่อถึงเวลาก็ต้มลงในหม้อ
เมื่อเธอกำลังจะออกไป เจียงเพ่ยหลานเรียกหาเซี่ยชิงหยวน “มีบางอย่างที่ฉันลืมถามเธอเลย ในเมื่อต้นทุนราคาผักของเราเพิ่มขึ้นแล้ว ราคาของสลัดเย็นควรเพิ่มขึ้นด้วยไหม?”
ผลกระทบต่อเนื่องที่เกิดจากภัยแล้งเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่มาก แม้แต่อาหารประเภทเนื้อก็ยังมีราคาแพงกว่าเดิมมาก
เซี่ยชิงหยวนบ่นพึมพำ “เอาไงดี? ไปติดประกาศที่ประตูเพื่ออธิบายสถานการณ์แล้วกัน ตั้งแต่วันมะรืนนี้ ราคาอาหารในร้านตรอกเก่าก็จะเริ่มเพิ่มขึ้นเช่นกัน อาหารประเภทผักจะขึ้นราคาห้าเฟิน ส่วนเนื้อสัตว์จะเพิ่มขึ้นหนึ่งเหมา”
ก่อนไปกว่างโจว เซี่ยชิงหยวนได้พิจารณาเรื่องนี้แล้วเช่นกัน
แต่ในเวลานั้นภัยแล้งไม่รุนแรงนัก และเธอไม่ต้องการขึ้นราคาสลัดเย็นเพียงเพราะราคาผักสูงขึ้น
ตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้น
ราคาผักเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าและเธอไม่สามารถทำการกุศลต่อไปได้
เมื่อพิจารณาว่าอาหารเย็นในร้านตรอกเก่ามีราคาแพงกว่าอยู่แล้ว เธอก็เลยไม่ได้ขึ้นราคามากเกินไปนัก
ถ้าราคาขึ้นมากอย่างกะทันหัน ทุกคนจะไม่ยอมรับ
ให้เวลาทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจสักสองวัน ขึ้นราคาไม่แรงเกินไป คนทั่วไปก็เข้าใจและยอมรับได้
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เจียงเพ่ยหลานก็พยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว”
เธอมีความคิดนี้เมื่อหลายวันก่อน แต่ในแง่ของการเพิ่มราคานั้นสูงกว่าที่เซี่ยชิงหยวนพูดไว้มาก
เมื่อเธอพูดแบบนั้นมันก็พลันรู้สึกกระดากอายขึ้นมา
เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว วิธีการของเซี่ยชิงหยวนนั้นเป็นวิธีแก้ปัญหาระยะยาว และจะไม่ทำให้สูญเสียชื่อเสียงที่สั่งสมมาของร้านตรอกเก่า
ในใจของเธอ หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะประทับใจกับความฉลาดของเซี่ยชิงหยวน
เซี่ยชิงหยวนตักโจ๊กใส่ลงในกล่องอาหาร พลางเก็บเสื้อผ้ากับไม้แขวนเสื้อ และพร้อมที่จะไปขายเสื้อผ้ากับอาเซียง
เธอห่อกล่องอาหารด้วยผ้าและปิดให้แน่นเพื่อให้กล่องยังคงอุ่นอยู่
พวกเธอออกจากบ้านเร็วไปเสียหน่อย และตอนนี้เสิ่นอี้โจวก็ยังไม่ได้เลิกงาน
ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนจึงเลือกที่จะตั้งแผงขายที่สี่แยก ซึ่งห่างจากศาลากลางหลายร้อยเมตรเสียก่อน
ตำแหน่งนี้เธอสังเกตเมื่อตอนไปที่ศาลากลาง ตรงสี่แยกนี้คนที่ทำงานในหน่วยงานใกล้เคียงจะผ่านที่นี่โดยทั่วไป
สี่แยกนี้ยังเต็มไปด้วยแผงขายของเล็ก ๆ เช่นกัน
พวกที่ขายผักและคนขายเนื้อเป็นเพียงตลาดผักเล็ก ๆ
เซี่ยชิงหยวนพบว่านอกจากพวกเขาแล้วยังมีหญิงสาวขายเสื้อผ้าอยู่ฝั่งตรงข้าม
เสื้อผ้าทั้งหมดของอีกฝ่ายวางอยู่บนพื้น ปูด้วยเสื่อน้ำมันเป็นกองสีแดงและสีเขียว ไม่สามารถเห็นลักษณะเสื้อผ้าได้ชัดเจน
แต่แค่มองโทนสีก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
เชยมาก
เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นเซี่ยชิงหยวนและอาเซียง เธอก็ลุกขึ้นยืนทันทีและเริ่มตะโกน
เมื่อเห็นสิ่งนี้เซี่ยชิงหยวนทำเพียงแค่ส่ายหัวและยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร
อาเซียงแขวนเสื้อผ้าต่าง ๆ พลางพูดว่า “คนคนนี้ตลกจริง ๆ”
เซี่ยชิงหยวนทำงานในมือต่อไป “อย่ากังวลเกี่ยวกับเธอเลย ทำหน้าที่ของเราไปดีกว่า”
อาเซียงพยักหน้าและตอบกลับ “ค่ะ”
เธอมองไปที่สีหน้าของผู้หญิงฝั่งตรงข้าม ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนที่คบหาได้ยาก หวังว่าทุกคนจะขายเสื้อผ้าของตัวเองและไม่มีปัญหาใด ๆ ก็แล้วกัน
สิ่งที่เซี่ยชิงหยวนนำมาขายวันนี้คือเสื้อผ้าผู้หญิงเป็นหลัก ยกเว้นเสื้อผ้าผู้ชายหลายสิบตัวที่ขายไม่หมดในครั้งที่แล้วก็ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว
เซี่ยชิงหยวนเข้าใจความจริงว่าในแง่ของธุรกิจเสื้อผ้า ฐานลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดยังคงเป็นผู้หญิง
เมื่อลูกค้าหญิงเหล่านี้กลายเป็นลูกค้าประจำ พวกเธอก็จะซื้อเสื้อผ้าผู้ชายของคนในครอบครัวด้วย
หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนและอาเซียงแขวนเสื้อผ้าในร้านเสร็จแล้ว ป้าย ‘ผลิตภัณฑ์ฮ่องกง’ ก็ถูกตั้งขึ้น ผู้หญิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ลืมตะโกนและเอาแต่มองพวกเธอ
อาเซียงมองดูสีหน้าของเซี่ยชิงหยวนอย่างเงียบ ๆ และเห็นว่าพี่สาวของเธอดูเหมือนเทพชรา เธอจึงนั่งลง
ใครจะสน อีกฝ่ายสามารถมากินหัวพวกเธอได้หรือไง?
อาเซียงไม่เชื่อ เสื้อผ้าของอีกฝ่ายไม่สามารถเทียบได้กับที่เธอขายเลย
หลังจากนั้นไม่นาน คนเลิกงานก็มาที่นี่
คนขี่จักรยาน คนเดิน บางคนเดินกันเป็นคู่ บางคนเดินเป็นกลุ่มสามคนดูมีชีวิตชีวามาก
อาเซียงเปล่งเสียงทันทีและเริ่มตะโกน “สินค้าล่าสุดจากฮ่องกงมาดูกันเร็ว! ทุกแบบเป็นแบบใหม่ล่าสุดเลย สามารถเข้ามาดูก่อนได้ ไม่ซื้อไม่เป็นไร!”
คนเหล่านี้ที่เพิ่งเลิกงานก็มักจะซื้อเสื้อผ้าที่สี่แยกนี้ด้วย
เสียงตะโกนของอาเซียงดึงดูดสายตาของผู้หญิงที่เดินอยู่
พวกลูกค้าผู้หญิงไม่แม้แต่จะมองไปที่แผงขายของผู้หญิงฝั่งตรงข้าม อีกทั้งยังเดินตรงเข้ามาหาอาเซียง
เมื่อพวกลูกค้าผู้หญิงเดินเข้ามาที่แผงขายแล้วมองไปที่เสื้อผ้าที่แขวนอยู่ตรงหน้า พวกเธอไม่พูดคำอื่นใดนอกจาก ‘ว้าว!’
แต่ละคนเอาเสื้อผ้ามาเทียบบนร่างกายและถามเพื่อน “เธอคิดว่าฉันดูดีไหม?”
“เธอช่วยฉันดูหน่อยได้ไหมว่าพอดีรึเปล่า?”
เซี่ยชิงหยวนและอาเซียงฉีกยิ้มกว้างที่ด้านข้าง “ถ้าคุณชอบ คุณสามารถลองดูได้นะคะ”
เมื่อคนเลิกงานมากขึ้น แผงขายของเซี่ยชิงหยวนก็ถูกห้อมล้อม
คนที่มาทีหลังไม่สามารถเบียดเสียดได้ เมื่อได้ยินคำชื่นชมจากคนที่อยู่วงใน พวกเขาก็ทำได้เพียงยืนอยู่รอบนอก และกังวลว่าเสื้อผ้าจะหมดเสียก่อน
เซี่ยชิงหยวนมองดูผู้คนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อลองพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว เธอคงไปส่งอาหารให้เสิ่นอี้โจวไม่ได้แล้ว เพราะเธอไม่สามารถละทิ้งที่นี่ไปได้เลยในตอนนี้
เธอเอื้อมมือไปแตะกล่องอาหารที่ห่ออย่างดีบนรถ ตอนนี้มันยังร้อนอยู่ด้วย ดังนั้นเธอจึงรู้สึกโล่งใจ
เธอมองไปในระยะไกล และเห็นฟางเยว่ภรรยาของหนิงเซี่ยวเฉิง
ฟางเยว่มองมาที่ด้านนี้ด้วยรอยยิ้ม และมีผู้หญิงสองสามคนในเครื่องแบบเดียวกับเธอยืนอยู่ข้าง ๆ ดูท่าพวกเธอก็ดูอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน
แต่ตอนนี้เบียดเข้ามาไม่ได้สักที ก็เลยจำต้องออกไปรอข้างนอก
ตอนนี้เซี่ยชิงหยวนก็จำได้ว่าฟางเยว่ดูเหมือนจะทำงานที่นี่เช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนจึงพยักหน้าให้ฟางเยว่เป็นการทักทาย
ฟางเยว่ยิ้มกลับและเดินเข้าหาเซี่ยชิงหยวน โดยมีคนสองสามคนอยู่รอบตัวเธอ
ฟางเยว่ยิ้มกว้าง “คุณช่วยดูให้หน่อยได้ไหมว่ามีอะไรที่เหมาะกับเราบ้าง”
เซี่ยชิงหยวนตกตะลึงไปชั่ววินาทีและแนะนำอีกฝ่ายทันที
ในท้ายที่สุดฟางเยว่เป็นผู้นำในการซื้อไปสี่ตัวและผู้หญิงที่เหลือซื้อไปคนละสองหรือสามตัว
เดิมทีฟางเยว่ต้องการซื้อเพื่อให้กำลังใจเซี่ยชิงหยวน แต่เมื่อมองเห็นเสื้อผ้าที่อยู่ในตรงหน้า เธอก็ไม่สามารถละสายตาจากเสื้อผ้าได้อีกเลย
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เซี่ยชิงหยวนแนะนำกับเธอนั้นเหมาะสมกับตัวเองมาก และดูเหมือนถ้าเธอใส่แล้วจะดูอ่อนกว่าวัยอีกหลายปี
เมื่อจ่ายเงิน ฟางเยว่สังเกตเห็นกล่องอาหารของเซี่ยชิงหยวนบนรถ จึงถามว่า “นี่จะไปส่งอาหารให้ผู้ชายของคุณใช่ไหมคะ?”
ด้วยคนมากมาย เธอเลยไม่ได้เอ่ยชื่อเสิ่นอี้โจว
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ใช่ค่ะ เขาท้องไม่ดีฉันเลยทำอาหารให้เขาด้วยตัวเองน่ะ”
ฟางเยว่ยิ้มและพยักหน้า “เขาดูมีความสุขจริง ๆ ค่ะ”’
เธอหยุดชั่วคราว “แต่ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ พวกเขาไปที่เมืองตอนล่างน่ะค่ะ เหล่าหนิงเพิ่งบอกฉันเองก่อนจะออกไป คุณยังไม่รู้ใช่ไหมคะ?”
มือของเซี่ยชิงหยวนหยุดทันที “ลงไปที่เมืองตอนล่างเหรอคะ?”
ด้วยข่าวที่กะทันหันเช่นนี้เธอไม่รู้เลยจริง ๆ
เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนไม่รู้อะไรเลย ฟางเยว่ก็เดินเข้าหาและพูดด้วยเสียงเบาว่า “ฉันได้ยินมาว่าเนินเขาด้านล่างเกิดไฟไหม้ และเนินเขาหลายลูกก็ถูกเผาลามติดต่อกันน่ะค่ะ”
แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ฟางเยว่ไม่สามารถพูดเสียงดังไปรอบ ๆ ได้
หัวใจของเซี่ยชิงหยวนเต้นรัวทันที “มันร้ายแรงมากเลยเหรอ?”
เมื่อเห็นท่าทางประหม่าของเซี่ยชิงหยวน ในที่สุดฟางเยว่ก็หลุดปากของเธอ “อื้ม มันร้ายแรงมากเลยค่ะ”
———————
