กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี – บทที่ 250 ใครไม่รู้บ้างว่าผมรักคุณ

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

บทที่ 250 ใครไม่รู้บ้างว่าผมรักคุณ

บทที่ 250 ใครไม่รู้บ้างว่าผมรักคุณ

หมอฮวงขมวดคิ้วมากขึ้น “ช่วงนี้คุณกินอะไรที่แตกต่างจากปกติหรือเปล่าคะ?”

เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “ถ้าต่างจากเดิม อาจเป็นเพราะฉันกินยาแก้อาการแพ้ที่สูง และหมอที่นั่นก็ใช้ยาสมุนไพรในท้องถิ่นของพวกเขาให้ฉันน่ะค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หมอฮวงก็ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง “มันผิดหลักวิทยาศาสตร์ไปหน่อย”

เธอปล่อยข้อมือของเซี่ยชิงหยวน “ตอนคุณไปแสวงบุญ คุณเดินและทำท่ายังไง ช่วยทำให้ฉันดูอีกทีได้ไหมคะ?”

เซี่ยชิงหยวนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมอฮวง แต่เธอก็ทำตาม

หมอฮวงสังเกตการเคลื่อนไหวของเซี่ยชิงหยวนอย่างระมัดระวัง ลดศีรษะลง และเขียนแผ่นกระดาษสองสามแผ่น “ฉันจะขอตรวจอย่างละเอียดก่อนนะคะ”

เซี่ยชิงหยวนอยู่ในความงุนงงจนกระทั่งเธอนอนอยู่บนเตียงในห้องตรวจ

เมื่อเครื่องมือแสนเย็นเฉียบเข้าไปในร่างกาย เธอก็เผลอเกร็งตัวโดยไม่รู้ตัว

ความเจ็บปวดในความทรงจำของเธอไม่ได้เกิดขึ้นแล้ว ยกเว้นความรู้สึกไม่สบายและความเจ็บปวดในตอนนี้ ซึ่งทั้งหมดเธอยังอดทนมันได้อยู่

หลังจากการตรวจเสร็จสิ้น หมอฮวงก็ถือรายการตรวจด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า และพูดกับเธอว่า “มาดูสิคะ”

เซี่ยชิงหยวนเดินไป

เธอไม่เข้าใจคำศัพท์ทางเทคนิคบางคำด้านบน ดังนั้นเธอจึงลงมองดูที่คำวินิจฉัยโรคของแพทย์

มันอ่านว่า : ท่อนำไข่ด้านซ้ายอุดตันเล็กน้อย และท่อนำไข่ด้านขวาขรุขระเล็กน้อย

คำเหล่านี้อยู่ห่างจากรายงานการวินิจฉัยเดิมเพียงไม่กี่คำ แต่เธอตระหนักว่าความหมายเบื้องหลังคำเหล่านี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เซี่ยชิงหยวนควบคุมน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นในดวงตาของเธอ เธอถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คุณหมอฮวง นี่มันอะไรคะ?”

หมอฮวงยิ้มและพูดว่า “อาการของคุณดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลย! แม้ว่าท่อนำไข่ด้านซ้ายจะยังคงอุดตันอยู่เล็กน้อย แต่หลังจากการรักษาไประยะหนึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาแล้วค่ะ”

“และท่อนำไข่ข้างขวาของคุณดีขึ้นกว่าเดิมมาก ถ้าคุณและสามีของคุณการบ้านกันมากกว่านี้ บางทีคุณอาจจะท้องก็ได้นะคะ!”

ท้ายประโยคหมอฮวงก็เร่งเสียงขึ้น

สิ่งที่เธอมีความสุขมากที่สุดในการรักษา คือการได้เห็นผู้ป่วยสามารถมีบุตรได้อีกครั้ง

เธอก้มศีรษะลงอีกครั้ง และให้ใบสั่งยาแก่เซี่ยชิงหยวนสำหรับการรักษาที่เกี่ยวข้อง “ฉันต้องปรับใบสั่งยาก่อนหน้าของคุณ และการกายภาพบำบัดนั้นก็ต้องเปลี่ยน…”

หมอฮวงยังสั่งอะไรอีกบางอย่างในภายหลัง แต่เซี่ยชิงหยวนได้ยินไม่ชัดเจนเท่าไหร่เพราะสมองอื้ออึงไปหมด

เธอรู้แค่ว่าการมีลูกเป็นของตัวเองไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

สุดท้ายหมอฮวงกล่าวว่า “ไม่เพียงแค่ท่อนำไข่เท่านั้น แต่ฮอร์โมนและต่อมไร้ท่อในผู้หญิงจะส่งผลต่อโอกาสในการตั้งครรภ์ด้วย นอกจากนี้สุขภาพของสามีคุณเป็นยังไงบ้างคะ?”

หมอฮวงเปลี่ยนคำพูดเล็กน้อย “ในแง่ของการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยา ความสามารถในเรื่องนั้นของเขาลดลงบ้างไหมคะ?”

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าอย่างเขินอาย “เขาไม่มีปัญหาอะไรค่ะ”

ไม่เพียงไม่มีปัญหา แต่ยังแข็งขันอย่างไม่น่าเชื่อเลย

เมื่อเห็นการแสดงออกของเซี่ยชิงหยวน หมอฮวงก็รู้ว่าปัญหาทุกอย่างจะดีขึ้น

เธอยิ้มและพูดว่า “แบบนั้นก็ดีแล้วค่ะ หลังจากกลับบ้านก็กินยาและออกกำลังกายต่อไปนะคะ รักษาอารมณ์ให้มีความสุข ออกกำลังกาย ปรับปรุงคุณภาพและความถี่ของการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยา ถ้าทำทุกอย่างได้ถูกต้องสม่ำเสมอ การมีลูกก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นค่ะ”

เซี่ยชิงหยวนมีความสุขมากเมื่อได้ฟังคำพูดเหล่านี้จากหมอฮวง

เพียงแต่ว่าถ้าถี่ขึ้นเธออาจจะทนไม่ไหวเสียเอง

ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอที่จะพูดคุยเรื่องนี้กับหมอฮวงอีกครั้ง ดังนั้นเธอจึงขอบคุณอีกฝ่ายอีกครั้ง “ขอบคุณค่ะหมอฮวง!”

หมอฮวงยิ้มอย่างยินดี “เมื่อคุณตั้งท้องเด็กตัวอ้วน อย่าลืมบอกฉันด้วยนะ”

เมื่อเซี่ยชิงหยวนกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วย เธอก็เหมือนกับกำลังเดินอยู่บนอากาศ

มันบังเอิญมากที่หลินตงซิ่วไปที่โรงอาหารเพื่อทานอาหาร ดังนั้นเธอจึงต้องระงับความสุขในใจที่เต็มไปด้วยความต้องการแบ่งปันไว้ชั่วคราว

แต่เสิ่นอี้โจวเห็นความผิดแปลกในตัวเธอ

ขณะที่หลินตงซิ่วกำลังล้างจานอยู่ที่ประตู เขาก็ดึงเซี่ยชิงหยวนเข้ามาและถามว่า “มีอะไรเหรอ?”

ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนแดงเรื่อ

เธอระงับความสุขไว้ และส่งใบรับรองแพทย์ให้เสิ่นอี้โจว

สายตาของเสิ่นอี้โจวมองไปที่มัน เขาสแกนคำศัพท์อย่างรวดเร็ว มุมปากของเขาค่อย ๆ ยกขึ้นเกือบถึงหลังหู

เขาหัวเราะเบา ๆ “ภรรยาของผมยอดเยี่ยมมาก”

เขาไม่สนว่าเขาจะมีลูกหรือไม่ แค่เธอคนเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา

เหตุผลที่เขาคิดคำนึงเรื่องลูกก็เพราะว่าเธออยากจะมี

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “เอาละ ในที่สุดเราก็มีลูกได้แล้ว”

ขณะที่พูด เธอก็สะอื้น เสิ่นอี้โจวจึงเช็ดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยนพลางปลอบโยนไปในเวลาเดียวกัน “ยัยโง่ นี่เป็นสิ่งที่ดีนะ คุณควรจะมีความสุขสิ”

เขาโน้มตัวไปพรมจูบดวงเนตรที่สั่นเทาของเธอ “หยุดร้องไห้ได้แล้ว”

ในขณะเดียวกันหลินตงซิ่วที่เพิ่งล้างจานเสร็จก็เข้ามาพอดี

เมื่อเห็นว่าลูกชายกำลังจูบลูกสะใภ้ เธอก็ตกใจจนทำตะเกียบในมือตกลงพื้น

เซี่ยชิงหยวนได้ยินเสียงและผลักเสิ่นอี้โจวออกไปอย่างรวดเร็ว

หลินตงซิ่วตระหนักว่าเธอเพิ่งขัดจังหวะที่ดีของพวกเขาเลยรีบพูดว่า “พวกลูกทำกันต่อไปเถอะ แม่จะออกไปล้างตะเกียบก่อนนะ”

ความเร็วในการหนีของหลินตงซิ่วนั้นเร็วมากจนเซี่ยชิงหยวนไม่มีเวลาตะโกน

เธอมองเสิ่นอี้โจวด้วยความโกรธ “ดูคุณสิ”

เสิ่นอี้โจวยิ้ม “ตอนนี้มีใครไม่รู้บ้างว่าผมรักคุณ”

เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าเธอมักจะถูกเขาแกล้งตลอดทั้งวัน เพื่อให้สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ

เธอดึงมือออก “เราเป็นคู่สามีภรรยาสูงวัยแล้ว คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”

เสิ่นอี้โจวคว้ามือเล็ก ๆ ของเธอกลับมาทันทีที่เธอดึงมันออก และโอบกอดภรรยาไว้ในอ้อมแขนของเขา

เขาโน้มคอเธอเข้ามาแล้วกระซิบว่า “คู่สูงวัยที่ไหน? คุณอายุยี่สิบในใจผมเสมอ”

อายุ 20 ปีคืออายุที่เธอแต่งงานกับเขา เซี่ยชิงหยวนซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาและสะกิดโดนหน้าอกของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ “ฉันอยากรู้จริง ๆ เลยว่าคุณไปเอาคำพูดไร้สาระพวกนี้มาจากไหนมากมาย”

เสิ่นอี้โจวจับนิ้วของเธอ ก่อนจะเอาไปแตะริมฝีปากของเขา จากนั้นก็เอานิ้วชี้เข้าไปในปากพลางไล้เลียเบา ๆ ดวงตาของเขาดูลุ่มลึกและเย้ายวน “ทันทีที่ผมเห็นคุณ ก็รู้ได้โดยไม่ต้องมีครูบอก ผมหวังว่าผมจะได้ผูกคุณไว้ข้าง ๆ ผมเพื่อที่เราจะได้ชดเชยปีที่เราขาดหายไป”

ปลายลิ้นสัมผัสนุ่มลึกและชื้นแฉะ ชวนยั่วยวนใจเกินต้านทาน

เซี่ยชิงหยวนไม่เคยถูกกระตุ้นมากขนาดนี้มาก่อน เธอขืนดึงมือออก พลางผลักเขา แล้วหันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว

เธอเช็ดนิ้วบนกางเกงขณะที่เธอเดินไป

แต่สถานที่นั้นกลับร้อนระอุขึ้นเรื่อย ๆ

เธอวิ่งไปที่ก๊อกน้ำในห้องน้ำแล้วสาดน้ำใส่หน้าเพื่อบรรเทาความร้อนรุ่ม

เซี่ยชิงหยวนวางมือบนหน้าอกของเธอโดยที่ใจยังคงเต้นอยู่

มีรอยยิ้มปรากฏที่ตาของเธอ

เธอยังจำคำพูดของหมอฮวงที่ให้เพิ่มความถี่ได้ ขาของเธอแทบจะอ่อนแรงลง

เธอรู้สึกว่าหมอฮวงต้องเข้าใจผิดเกี่ยวกับเสิ่นอี้โจวแน่ ๆ

ผ่านไปไม่นานนักก็ได้เวลาออกจากโรงพยาบาลแล้ว

ในวันนี้เซี่ยจื่ออี้และหยวนหงหลี่มาหาด้วยเช่นกัน

แถมเซี่ยเจิ้งยังมากับพวกเขาด้วย

เซี่ยชิงหยวนได้พบกับเซี่ยเจิ้งและหยวนหงหลี่เป็นครั้งแรก

เธอทักทายพวกเขาอย่างใจเย็นด้วยใบหน้าที่ยังคงมีบาดแผล

หลินตงซิ่วไม่เคยเห็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงขนาดนี้มาก่อน ด้วยความประหม่าเธอจึงไม่สามารถพูดได้มากนัก

เธอเดินตามเซี่ยชิงหยวนและยืนเคียงข้างราวกับว่าสิ่งนี้จะทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น

เซี่ยเจิ้งและหยวนหงหลี่จ้องมองไปที่ใบหน้าของเซี่ยชิงหยวน ภายนอกพวกเขาดูสงบ แต่ในใจพวกเขามีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับเสิ่นอี้โจวที่หาลูกสะใภ้ที่มีรูปลักษณ์เช่นนี้

ไม่ใช่ว่าพวกเขาตัดสินคนจากรูปลักษณ์ แต่พวกเขารู้สึกว่าจากมุมมองของเงื่อนไขต่าง ๆ ของเสิ่นอี้โจว ทั้งสองไม่ใช่คู่ที่เหมาะสมนัก

บางทีเซี่ยชิงหยวนอาจมีความงามภายในที่ทำให้ผู้คนหลงใหลมากหรือเปล่า?

เซี่ยจื่ออี้มองไปที่เซี่ยชิงหยวนด้วยรอยยิ้ม และเอ่ยทักว่า “น้องสาวเซี่ย”

เซี่ยชิงหยวนเลิกคิ้วขึ้นทันที

ต่อหน้าเซี่ยเจิ้งและหยวนหงหลี่ ผู้หญิงคนนี้กลับเรียกเธออย่างสนิทสนมเนี่ยนะ?

เซี่ยชิงหยวนไม่แน่ใจว่าผู้หญิงคนนี้กำลังมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรอีก แต่การบอกปัดอีกฝ่ายต่อหน้าผู้คนจำนวนมากนั้นก็ไม่ดีเช่นกัน

เซี่ยชิงหยวนจึงยิ้มที่มุมปากและพูดว่า “ฉันเป็นแค่ผู้หญิงจากชนบทเองค่ะ ฉันละอายใจที่จะถูกเรียกว่าน้องสาวจากคุณหนู ฉันรู้ว่าฉันไม่ใช่นางฟ้าเหมือนคุณหนู และคุณหนูก็อายุมากกว่าฉันสองปี ถ้าไม่รังเกียจเรียกฉันว่าชิงหยวนก็พอค่ะ”

อยากเล่นเล่ห์ใส่เธองั้นเหรอ?

ฉันสามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมน่าขยะแขยงได้มากกว่าย่ะ!

ยังไงซะ เธอก็ไปทิเบตมาครั้งหนึ่งแล้ว และผิวหนังของเธอก็หนาขึ้นมาอีกตั้งเยอะ!

บทที่ 244 กำไลหยก

บทที่ 244 กำไลหยก

ถามว่าเขาคิดยังไง?

ในใจของเขา ชายชราแทบจะมองว่าเซี่ยชิงหยวนนั้นบ้าไปแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น หลังจากที่เธอพูดคำเหล่านี้ สายตาของเธอนั้นแท้จริงมาก

เขากระแอมในลำคอ “ลุกขึ้นมาคุยกันก่อนสิ”

หลังจากพูดจบ เขาก็นั่งลงบนโต๊ะตัวเล็กข้าง ๆ

ทันทีที่เซี่ยชิงหยวนได้ยินเช่นนี้ เธอรู้ว่าตัวเองพอมีความหวังบ้างแล้ว

เธอจึงลุกขึ้นนั่ง เอนหลังบนเตียงและมองเขาด้วยรอยยิ้ม

การที่ได้เจออาจารย์ นี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับเซี่ยชิงหยวนในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้จริง ๆ

เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่เฉลียวฉลาดและเย่อหยิ่งของอาจารย์ ความขุ่นมัวในใจของเซี่ยชิงหยวนก็หายไปในที่สุด

เดิมทีปี่เหลาซานต้องการถามเซี่ยชิงหยวนสองสามคำถาม แต่เมื่อเห็นเธอมองเขาเช่นนี้ เขาก็ทนไม่ได้ในทันที

เขาหรี่ตา “สาวน้อย อย่าคิดว่าแค่ยิ้มให้ฉันแบบนี้แล้วฉันจะตกลงด้วยนะ”

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าและเม้มริมฝีปากของเธออย่างร่วมมือ “อืม ฉันไม่ยิ้มอีกแล้วค่ะ”

เมื่อเธอพูดง่ายแบบนี้ ปี่เหลาซานก็ไม่สามารถกดดันต่อได้เลย

เขาถามคำถามสองสามข้อเกี่ยวกับหยกและเซี่ยชิงหยวนก็ตอบพวกมันได้อย่างคล่องแคล่ว และยังแสดงความคิดเห็นของตัวเองเสริมอีกต่างหาก

เซี่ยชิงหยวนเห็นดวงตาของปี่เหลาซานสว่างขึ้นเรื่อย ๆ และเธอแทบอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

ในความเป็นจริงสิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับการสอนโดยเขามาก่อน

การพบกันระหว่างเธอกับเขาไม่มีอะไรมากไปกว่าความจริงที่ว่า ทั้งสองตกหลุมรักหัวเข็มขัดหยกอันเดียวกันที่แผงขายหยก

ในเวลานั้นเธอยังใหม่กับวงการหยกและยังไม่ค่อยรู้เรื่องมากนัก

บางทีเธออาจมีพรสวรรค์จริง ๆ ในด้านนี้ เธอเข้าใจแก่นแท้ของมันอย่างรวดเร็วและหยกที่เธอซื้อมาก็ไม่เคยขาดทุน

ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนสามารถอธิบายได้ว่า ‘ไม่คุ้นเคยโดยไม่ต้องต่อสู้’ และที่บังเอิญไปกว่านั้นคือทั้งสองมีเส้นทางเดียวกัน หลังจากพบกันหลายครั้งในตลาดหยกและคว้าข้อตกลงทางธุรกิจสองสามอย่าง ปี่เหลาซานก็ไล่ตามเธอและขอให้เธอมาเป็นลูกศิษย์ของเขา

เมื่อได้ยินคำตอบของเซี่ยชิงหยวน ปี่เหลาซานก็แทบจะลุกขึ้นจากที่นั่ง

เขาวางมือบนเข่าแล้วเคาะนิ้วเบา ๆ

เซี่ยชิงหยวนรู้ว่าทุกครั้งที่เขาลังเลเกี่ยวกับบางสิ่ง เขาจะทำสิ่งนี้

เธอวางแผนที่จะเพิ่มยาแรงอีกหน่อย

ในขณะนี้ม่านหนาถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง และเด็กชายคนหนึ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก

เด็กชายอายุประมาณสิบหกหรือสิบเจ็ดปี อายุไล่เลี่ยกับอาจ้วง สูงและผอม มีลักษณะที่บอบบาง ดวงตาของเขาค่อนข้างหยิ่งทระนง แต่ผมสีอ่อนทำให้เขาดูก้าวร้าวน้อยลง

เขาลดสายตาลงเหลือบมองเซี่ยชิงหยวนและหันไปหาปี่เหลาซาน “ตาเฒ่า ไม่ใช่ว่าเคยบอกว่าอยากรับลูกศิษย์อีกคนเหรอ?”

เด็กชายอยู่ในวัยเสียงเปลี่ยน เสียงของเขาแหบเหมือนเป็ดร้องบราวนี่ออนไลน์

น้ำเสียงนั้นเฉื่อยชาและไม่เป็นทางการ แม้ว่าจะเป็นคำถาม แต่เขาก็ดูไม่ได้สนใจคำตอบเท่าไหร่เลย

ความลำบากใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของปี่เหลาซาน

เขาเคาะนิ้ว “อืม ฉันจะคุยเอง”

เซี่ยชิงหยวนมองไปที่เด็กชายที่ปรากฏตัวขึ้นทันที พลางคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายในใจ

เมื่อเธอได้พบกับอาจารย์ในตอนนั้น ไม่มีใครอยู่ด้วยสักคนเลย

ทันใดนั้นในพริบตา เซี่ยชิงหยวนก็นึกถึงใครบางคน

เธอเบิกตากว้างและมองไปที่เด็กชาย

เด็กชายมองเซี่ยชิงหยวนกลับอย่างเย็นชา “เธอคิดอะไรอยู่คิดว่าฉันไม่รู้เหรอ? ฉันรู้ว่าฉันหล่อมาก แต่ฉันไม่ชอบเธอที่แก่กว่าฉันหรอกนะ”

เซี่ยชิงหยวนแทบพูดไม่ออก “…”

ยังเหมือนเดิม…ไม่น่ารักเลย

ปี่เหลาซานตะโกน “ปี่ฟู่หมาน!”

สีหน้าของปี่ฟู่หมานน่าเกลียดทันที “อย่าเรียกชื่อผมแบบนั้นสิ มันหยาบกระด้างเกินไป”

จากนั้นเขาก็วางชามในมือของเขาลง “นี่คือยาที่สั่งไว้”

หลังจากนั้น เขามองไปที่ปี่เหลาซานอีกครั้ง “คุณสามารถรับลูกศิษย์ได้มากเท่าที่คุณต้องการเลย ยังไงผมก็ไม่สนที่จะเรียกผู้หญิงคนนี้ว่าศิษย์พี่หญิงหรอก”

หลังจากพูดจบ เขาก็ออกจากกระโจมไป

ปี่เหลาซานแยกเขี้ยวใส่ “เขาเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของฉันเอง และฉันก็ทำให้เขานิสัยเสีย ตัวฉันเองที่ไม่ดีเลย”

ทันทีที่พูดจบ เสียงของเป็ดหนุ่มก็ดังมาจากข้างนอกอีกครั้ง “ถ้าคุณมีเรื่องจะคุย ก็อย่ามาใช้ผมเพื่อความบันเทิง!”

เมื่อมองไปที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างปี่เหลาซานและเด็กชาย เซี่ยชิงหยวนก็คิดกับตัวเองว่าความสัมพันธ์ของเธอและอาจารย์ดีกว่ามาก

เมื่อเธอได้พบกับปี่เหลาซานในตอนนั้น เขามีผมขาวโพลนไปทั้งหัวแล้ว

บางครั้งเขามักจะเล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับลูกศิษย์ตัวน้อยของเขาที่ทำให้เขาโกรธอยู่เสมอ โดยบอกว่าเด็กชายมักจะปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อเก็บไข่นก ลงไปตามแม่น้ำเพื่อจับปลา และทำสิ่งเลวร้ายทุกประเภท

แต่พอเล่าถึงตอนท้ายก็เสียน้ำตาแทบทุกครั้ง

เซี่ยชิงหยวนถามเขา

เขาพูดว่า “ไอ้สารเลวนั่นดันจากฉันไปซะก่อน”

ตั้งแต่นั้นมาเมื่อปี่เหลาซานพูดถึงปี่ฟู่หมานด้วยตัวเอง เซี่ยชิงหยวนก็ไม่เคยคิดที่จะเริ่มถามต่ออีกเลย

เซี่ยชิงหยวนพบกับปี่เหลาซานในปี 1988 และตอนนี้คือปี 1983 ดังนั้น ปี่ฟู่หมานจะตายภายในห้าปีนี้

เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจ เธอจะสามารถช่วยให้ในชีวิตนี้ศิษย์คนแรกของอาจารย์เธอไม่ตายได้ไหมนะ?

เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “เขาคงขาดพี่สาวที่คอยตีคอยสอนเขาน่ะค่ะ”

ความคิดที่ต้องการเคารพปี่เหลาซานเป็นครูไม่ควรชัดเจนเกินไป

ปี่เหลาซานเกาเคราสั้นของเขาและพูดว่า “เอาล่ะ ขอฉันคิดดูอีกครั้งนะ”

เขาและปี่ฟู่หมานเป็นคนหยาบกระด้าง ดังนั้นมันไม่สะดวกเท่าไหร่ที่จะมีลูกศิษย์หญิง

ยิ่งกว่านั้น เขาจะรับคนอื่นเป็นลูกศิษย์หลังจากที่เจอกันครั้งเดียวได้ยังไง?

แม้ว่าเขาจะชื่นชมเธอก็เถอะ…

ปี่เหลาซานส่ายหัว ไม่ ไม่ เขาต้องควบคุมตัวเอง

เซี่ยชิงหยวนไม่ยืนกรานอีกต่อไป เธอพูดว่า “ฉันมีความสัมพันธ์ที่ถูกกำหนดไว้แล้วกับคุณ แต่ฉันขอชื่อเดิมของคุณไว้ได้ไหมคะ? จะได้ติดต่อคุณได้ในอนาคตน่ะค่ะ”

ปี่เหลาซานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นามสกุลของฉันคือปี่ และฉันเป็นลูกชายคนที่สาม ดังนั้นทุกคนจึงเรียกฉันว่าปี่เหลาซาน แต่ถ้าเธอไม่ขัดข้องก็เรียกฉันว่าคุณปี่ก็ได้”

เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินคำพูดที่เหมือนต้มตุ๋นของเขา มุมตาของเธอกระตุกแต่เธอก็ยังพูดอย่างยิ้มแย้ม “คุณปี่”

จากนั้นเธอก็จ้องมองที่เขาอย่างตั้งใจ รอให้เขาบอกว่าจะสามารถติดต่อกันได้ยังไง

เกี่ยวกับคำถามนี้ ปี่เหลาซานอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

เขากล่าวว่า “ฉันเดินทางไปทั่วประเทศและไม่มีที่อยู่ประจำ ฉันเองก็อยากให้วิธีการติดต่อแก่เธอเช่นกัน แต่มันช่วยไม่ได้จริง ๆ”

เซี่ยชิงหยวนกลอกตา “ฉันวางแผนที่จะเริ่มต้นธุรกิจหยกหลังจากนี้ไม่นาน ฉันต้องการอาจารย์อย่างคุณค่ะ”

เธอหยิบกระเป๋ามาไว้ข้างตัว หยิบปากกาและสมุดบันทึกเล่มเล็กออกมา จดชื่อและข้อมูลติดต่อของตัวเอง แล้วยกโบกต่อหน้าเขา “โปรดติดต่อฉันด้วยนะคะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ นัยน์ตาของปี่เหลาซานเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ และเขามองไปที่เซี่ยชิงหยวนด้วยร่องรอยของการสอบถาม

ตอนนี้อุตสาหกรรมหยกในประเทศยังไม่ได้เริ่มต้น เธอเป็นเด็กสาวที่ต้องการทำธุรกิจหยก ซึ่งกระตุ้นความสนใจของเขาอย่างมาก

เขาหยิบกระดาษมา ดูชื่อของเซี่ยชิงหยวนและอ่านมันอย่างเงียบ ๆ ในใจ รู้สึกถึงความรู้สึกคุ้นเคยและความใกล้ชิดอย่างอธิบายไม่ได้

เขาพยักหน้าก่อนจะเก็บกระดาษลงในกระเป๋า “ไม่ต้องกังวล ฉันจะติดต่อเธอเมื่อฉันไปมณฑลยูนนานในอนาคตนะ”

เซี่ยชิงหยวนรู้นิสัยใจคอของปี่เหลาซาน

สำหรับเขาที่นี่คือดีที่สุดแล้ว

เธอไม่สามารถบังคับชะตากรรมของอาจารย์และลูกศิษย์ของเขาได้ แต่เธอหวังว่าในอนาคตเมื่อเขาเดินทางไปมณฑลยูนนาน เขาจะมาหาเธอจริง ๆ

ปี่เหลาซานถามเธอว่า “เธอน่าจะมาจากมณฑลยูนนาน ทำไมถึงดั้นด้นเดินทางมาไกลถึงทิเบตล่ะ? ครอบครัวของเธอมาด้วยรึเปล่า?”

เซี่ยชิงหยวนเป็นลมหมดสติอยู่ข้างถนนในตอนนั้น เขาไม่เห็นใครเลย รอบ ๆ

เขาส่งเธอไปหาหมอที่อยู่ใกล้เคียงพร้อมกับผู้คนที่เดินผ่านไปมา

คำพูดของปี่เหลาซานทำให้เซี่ยชิงหยวนนึกถึงความตั้งใจเดิมของเธอในการมาที่นี่ทันที

ความสุขเดิมที่ได้มาพบกับปี่เหลาซานหายไปทันที และความเศร้าโศกก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธออย่างรวดเร็ว

เธอพูดว่า “สามีของฉันป่วย ฉันอยากมาที่นี่เพื่ออ้อนวอนต่อพระพุทธเจ้าน่ะค่ะ”

ปี่เหลาซานพูดต่อ “เธอวางแผนที่จะไปแสวงบุญเหรอ?”

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ใช่ค่ะ”

เซี่ยชิงหยวนดูไม่เหมือนว่าเธอล้อเล่น

ปี่เหลาซานถอนหายใจ “เธอยังเป็นแค่สาวน้อยที่บอบบาง เธอทรุดลงเมื่อมาถึงลาซาเป็นครั้งแรก และเธอยังต้องการเดินไปแสวงบุญด้วยเท้าอีกเหรอ ฉันน่ะกังวลว่าเธอจะไปอยู่กับพระพุทธเจ้าก่อนที่จะถึงครึ่งทางมากกว่า”

ที่ปี่เหลาซานพูดก็ไม่ผิด

ในการแสวงบุญนี้ นอกจากความเชื่อที่แน่วแน่แล้วยังต้องมีร่างกายที่แข็งแรงด้วย มิฉะนั้นจะไม่มีทางสำเร็จในการเดินทาง

เซี่ยชิงหยวนหลบตาลงและไม่พูดอะไร

หลังจากนั้นไม่นานเธอก็พูดว่า “ฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”

ขณะที่เธอพูด ดวงตาของหญิงสาวก็หลบลงอีกครั้ง

เมื่อเห็นเสื้อผ้าของเซี่ยชิงหยวนและสิ่งที่เธอพูดในตอนนี้ ปี่เหลาซานเดาว่าเธอต้องมาจากครอบครัวที่มีฐานะดี

มาถึงตอนนี้คงยากจะรักษาด้วยยา

เขาตบต้นขาตัวเองและถอนหายใจ “ในเมื่อเราได้พบกันแล้ว ฉันจะให้ของขวัญการพบเจอของเราแก่เธอแล้วกัน ฉันหวังว่าเธอจะบรรลุความปรารถนาด้วยการสวมมันไว้นะ”

เขาพูดพร้อมกับหยิบห่อผ้าสีแดงออกมาจากถุงผ้าบนหลังของเขา ซึ่งมีบางอย่างอยู่ในห่อผ้า

เขาเปิดห่อผ้าสีแดงออก และกำไลข้อมือหยกสีเขียวก็ปรากฏขึ้นในฝ่ามือ

นี่คือกำไลข้อมือที่เขาให้เธอในตอนนั้น!

———————

บทที่ 237 เลือดพวยพุ่ง

บทที่ 237 เลือดพวยพุ่ง

เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินเรื่องนี้ เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะขายเสื้อผ้าอีกแล้ว เธออยากจะตามไปในทันทีเลย

ฟางเยว่กล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณไม่ต้องกังวลไป พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง ดังนั้นแล้วพวกเขาจะอยู่แต่ในจุดที่ให้คำแนะนำเท่านั้นค่ะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด บางทีพวกเขาน่าจะกลับมาในเช้าวันพรุ่งนี้ค่ะ”

เมื่อเทียบกับเซี่ยชิงหยวนแล้ว ฟางเยว่ติดตามหนิงเซี่ยวเฉิงมานานกว่า จึงมีประสบการณ์หลายอย่าง

ในสายตาของเธอ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย

แต่เซี่ยชิงหยวนไม่เพียงกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตของเสิ่นอี้โจวเท่านั้น

เธอยังกังวลเกี่ยวกับร่างกายของเขาด้วย!

ต่อหน้าฟางเยว่ เซี่ยชิงหยวนไม่ต้องการที่จะออกอาการให้ชัดเจนเกินไป เธอเลยถามด้วยใบหน้าซีดเซียวว่า “พี่สาวฟาง คุณรู้ไหมคะว่าพวกเขาไปดับไฟที่ไหน?”

ฟางเยว่ไม่ตอบโดยตรง “น้องสาวเซี่ย เธอจะไปหาเลขาธิการเสิ่นเหรอ?”

เมื่อเห็นสีหน้าของเซี่ยชิงหยวนที่แน่วแน่ ฟางเยว่อดไม่ได้ที่จะโน้มน้าว “ฉันรู้แค่ว่าอยู่ที่ไหนในฝูเถียน แต่ฉันไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนหรอก ยังไงซะ เธออาจจะไม่ชอบคำแนะนำของฉันนัก แต่ขอให้ฟังสักหน่อยนะ ไม่ต้องพูดถึงว่าสถานที่แห่งนั้นห่างไกลและกว้างใหญ่เลย เธอเป็นผู้หญิงคงหาพวกเขาเจอได้ลำบาก แถมสถานการณ์ก็ยังค่อนข้างวุ่นวาย ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็อาจจะไม่มีใครสามารถดูแลเธอได้ เธอแค่อยู่บ้านขายเสื้อผ้าและรอให้เลขาธิการเสิ่นกลับมาก็พอ”

มีคนมากเกินไปแถวนี้ ฟางเยว่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก และในที่สุดก็ทำเพียงแค่ตบหลังของเซี่ยชิงหยวนเป็นการปลอบโยน

เซี่ยชิงหยวนรู้ว่าสิ่งที่ฟางเยว่พูดนั้นถูกต้อง

ในสถานการณ์เช่นนี้ เธอคนเดียวจะเปลี่ยนแปลงมันได้ยังไง?

หรือหากเธอพบเขาที่นั่นจริง ๆ เสิ่นอี้โจวจะจัดการหาคนพาเธอกลับในวินาทีถัดไปอย่างแน่นอน

ดังนั้นการไปของเธอไม่เพียงไม่ช่วยเท่านั้น แต่ยังเพิ่มภาระอีกด้วย

เซี่ยชิงหยวนกัดริมฝีปากแน่นและตอบว่า “ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณพี่สาวฟางนะคะ”

หลังจากได้ยินคำพูดของฟางเยว่ เห็นได้ชัดว่าเซี่ยชิงหยวนไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะขายเสื้อผ้าอีกแล้ว

เมื่อเธอทอนเงิน เธอให้เงินคนอื่นเกินไปหลายครั้ง

หากคนปัจจุบันไม่ซื่อสัตย์และคืนเงินให้เธอทันที คาดว่าเธอจะสูญเสียมากกว่าสิบหยวนในช่วงบ่าย

อาเซียงก็เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเซี่ยชิงหยวน

เมื่อฝูงชนแยกย้ายกันไปในที่สุด หญิงสาวก็เอ่ยถามว่า “พี่สาวเซี่ย คุณเป็นอะไรไปคะ?”

เซี่ยชิงหยวนรู้สึกงุนงง “อาเซียง เธอรู้ไหมว่าฝูเถียนอยู่ที่ไหน?”

อาเซียงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “ฝูเถียนอยู่ห่างออกไปจากที่นี่เกือบหนึ่งร้อยกิโลเมตรเลยค่ะ”

เธอมองไปที่เซี่ยชิงหยวน “พี่สาวเซี่ยถามถึงฝูเถียนทำไมน่ะ?”

เซี่ยชิงหยวนไม่ได้ปิดบัง “ภูเขาในฝูเถียนกำลังไฟไหม้ พี่เขยของเธอและคนอื่น ๆ กำลังไปที่นั่น”

พอได้ยินแบบนี้ อาเซียงก็ประหลาดใจมาก “ฝูเถียนกำลังถูกไฟไหม้?”บราวนี่ออนไลน์

ฝูเถียนถือได้ว่าเป็นยุ้งฉางของเตียนเฉิงเชียวนะ

หลังจากการปฏิรูปและการเปิดพื้นที่ทุกส่วน มณฑลยูนนานได้ปฏิบัติตามการเรียกร้องระดับชาติในการพัฒนาเศรษฐกิจ ฝูเถียนอยู่ในแผนพัฒนาของมณฑลยูนนาน ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่เขตของมณฑลยูนนานที่มีพื้นที่ราบจำนวนมาก มีการทำเกษตรกรรมเป็นหลักและอุตสาหกรรมการปลูกพืชวิถีประหยัด

นอกเหนือจากการปลูกอาหาร ฝูเถียนยังมีไม้ผลมากมาย และเป็นหนึ่งในพื้นที่ผลิตพืชหลักในมณฑลยูนนาน

หากเกิดข้อผิดพลาดกับฝูเถียน ผลผลิตธัญพืชของมณฑลยูนนานในปีนี้จะลดลงอย่างมาก อาเซียงถามทันที “พี่สาวเซี่ย ถ้าพี่ต้องการไปฝูเถียนเพื่อหาพี่เขย ฉันกับอาจ้วงจะไปกับพี่ด้วย!”

หัวใจของเซี่ยชิงหยวนสงบลงได้ด้วยท่าทางจริงจังของอาเซียง เธอส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ พี่จะไม่ไป พี่จะรอเขากลับบ้าน”

แม้ว่าเธอจะพบเสิ่นอี้โจว แต่เธอก็ไม่สามารถพาเขากลับมาได้อยู่ดี

เขาเคยบอกว่าเขาเรียนธรณีวิทยาและอุตุนิยมวิทยามาเพราะเหตุการณ์แบบนี้ และในเวลานี้แล้วมันจะขาดเขาไม่ได้

เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะเสียใจเมื่อนึกย้อนไปถึงตอนเที่ยงวันนี้ที่เธออารมณ์เสียกับเขา

ถ้าเธอรู้ว่าเขาจะไปฝูเถียน ไม่ว่าเขาจะสร้างปัญหามากแค่ไหนเธอก็จะไม่โกรธเขาเลย

เมื่อเซี่ยชิงหยวนกลับบ้าน หลินตงซิ่วและเสิ่นอี้หลินก็ถามเธอ ซึ่งเซี่ยชิงหยวนบอกเพียงว่าเสิ่นอี้โจวยุ่งอยู่กับงานและไปในเขตชนบท

หลินตงซิ่วและเสิ่นอี้หลินไม่ได้ถามคำถามอะไรอีก พวกเขากินข้าว อาบน้ำ และเข้านอนแต่หัวค่ำ

เช่นเดียวกับเซี่ยชิงหยวน ซึ่งรออีกสองวันแต่เสิ่นอี้โจวก็ยังไม่กลับมา

ในเวลานี้เกือบทุกคนในเตียนเฉิงรู้แล้วว่าฝูเถียนกำลังเกิดเหตุไฟไหม้

ตามข่าวล่าสุดจากทุกคน ไฟในฝูเถียนยังไม่ดับและกำลังไหม้ภูเขา

ที่เชิงเขาเป็นที่นากว้างขวางและบ้านเรือนดี ๆ ถ้าไฟมาถึงที่เหล่านี้ย่อมเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนอย่างแน่นอน

เซี่ยชิงหยวนกำลังรีบวิ่งไปรอบ ๆ บ้าน และแม้แต่หลินตงซิ่วก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เธอถามเซี่ยชิงหยวน “ชิงหยวน อี้โจวไปดับไฟหรือเปล่า?””

วันนี้เธอได้ยินจากผู้คนในละแวกบ้านว่าเหลือเพียงเหอเส้าหยวนเท่านั้นที่อยู่คอยดูแลความเรียบร้อยของศาลากลาง และที่เหลือก็ออกไปที่ฝูเถียน

เซี่ยชิงหยวนไม่สามารถซ่อนมันได้อีกต่อไป เธอพยักหน้า “ใช่ค่ะ เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนเดินทางไปที่นั่นแล้ว”

หลินตงซิ่วกุมหน้าอกของเธอทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ริมฝีปากของเธอเม้มแน่น เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัว “แล้วพวกเขาเป็นยังไงบ้าง?”

เมื่อเผชิญหน้ากับการจ้องมองอย่างมีความหวังของหลินตงซิ่ว เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าด้วยความยากลำบาก “ต้องไม่เป็นไรแน่ค่ะ”

เมื่อวานเป็นฉู่ซิงอวี่ที่โทรหาเธอเพื่อรายงานเกี่ยวกับเสิ่นอี้โจว เขารีบพูดไม่กี่คำและกำลังจะขึ้นไปบนภูเขาอีกครั้ง เซี่ยชิงหยวนจึงมีเวลาไม่มากนัก ทำได้เพียงบอกเขาสั้นๆ “เขามีอาการท้องไม่ดี ช่วยเตือนเขาให้กินตรงเวลาด้วยนะคะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยชิงหยวนที่เต็มไปด้วยความกังวล ฉู่ซิงอวี่รู้สึกลำบากใจแต่ก็ยังพยักหน้าอย่างระมัดระวัง “นี่คือหน้าที่ของผมเช่นกันครับคุณนาย ได้โปรดอย่ากังวลไปครับ”

เซี่ยชิงหยวนยืนอยู่หน้าประตู มองดูท้องฟ้าที่ยังคงปลอดโปร่ง อากาศร้อนจัดจนความชื้นบนพื้นดินเกือบแห้ง

เธอประสานมือและอธิษฐานไปทางทิศตะวันตก อธิษฐานขอให้พระเจ้าอวยพรเสิ่นอี้โจวให้ปลอดภัย

ณ ฐานประสานงานส่วนหน้าในฝูเถียน

ไฟในฝูเถียนไหม้ติดกันแล้วสามวันสามคืนเต็ม

คนจากศาลากลาง หน่วยดับเพลิง สถาบันธรณีวิทยาและแม้กระทั่งกองกำลังตำรวจติดอาวุธต่างก็มา

พวกเขาเฝ้าดูไฟที่โหมกระหน่ำอยู่ไม่ไกล ย้อมท้องฟ้าเป็นสีแดง

บุคลากรและอาสาสมัครสนับสนุนยังไม่กล้าดับไฟ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บหลายคน

น้ำในสระและแม่น้ำที่เชิงเขาถูกนำมาใช้จนแทบหมดแล้ว แต่ก็ไม่เพียงพอเป็น มันเหมือนแค่น้ำหยดหนึ่งในกองเพลิงเท่านั้น

มาตรการช่วยเหลือในเวลานี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ ประกอบกับภัยแล้ง พวกเขาต้องใช้วิธีที่โง่เขลาในการขนน้ำจากระยะไกลโดยรถบรรทุกทีละคัน

ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงยังไม่สามารถหยุดการลุกลามของไฟได้

ต่อมา เสิ่นอี้โจวสั่งให้ระดมบุคลากรทั้งหมดเพื่อตัดเขตแยกทิศทางที่ไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็ว

แต่ตามสถานการณ์ปัจจุบัน การสร้างเขตแยกไม่สามารถหยุดไฟได้นานเท่าไหร่นัก

บรรยากาศในฐานประสานงานส่วนหน้าหนักอึ้ง ทุกคนไม่สามารถสรุปได้ว่าจะเพิ่มปริมาณน้ำฝนหรือไม่

เมืองเตียนเฉิงยากจนและฝนเทียมสามารถยืมจากคลังในกองทัพได้เท่านั้น และมันถูกเสิ่นอี้โจวทำเรื่องขอไปอย่างจริงจังไปเมื่อสองวันก่อนแล้ว

และระเบิดฝนเทียมก็ถูกส่งมาให้โดยการประสานงานของเสิ่นอี้โจวจากเมืองหลวงของมณฑล

แต่การทำฝนเทียมยังต้องการเงื่อนไขของสภาวะเมฆที่เหมาะสม แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพอากาศปัจจุบันแล้ว ฝนเทียมนั้นไม่สามารถทำได้เลย

เสิ่นอี้โจวจ้องที่รายงานกราฟิกที่ส่งมาโดยสำนักอุตุนิยมวิทยาด้วยดวงตาที่เหนื่อยล้า

เขากล่าวว่า “อีกครึ่งชั่วโมงเราจะทำฝนเทียมจากภูเขาทางทิศตะวันออก”

ทุกคนหันไปมองตามนิ้วเรียวของเขาเพื่อชี้ไปยังสถานที่ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดไฟไหม้เจ็ดหรือแปดกิโลเมตร

หัวหน้าคนหนึ่งของสำนักอุตุนิยมวิทยาคัดค้านเป็นคนแรก “จุดที่ฝนตกอยู่ไกลจากที่นี่มาก และมีพื้นราบที่ไม่มีเมฆอยู่ตรงกลาง เป็นไปไม่ได้ที่จะทำฝนเทียมได้สำเร็จ ปืนใหญ่ฝนเทียมเป็นสิ่งที่ยืมมาจากกองทัพและไม่ควรใช้ตามอำเภอใจนะ”

ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่เสิ่นอี้โจวและหัวหน้าของสำนักอุตุนิยมวิทยา

ผู้คนจากหน่วยอื่น ๆ เคยได้ยินเกี่ยวกับเสิ่นอี้โจว แต่พวกเขายังคงสงสัยเกี่ยวกับความสามารถที่แท้จริงของเขา

นอกจากนี้โดยจิตใต้สำนึกแล้ว พวกเขายังรู้สึกว่าสิ่งที่เสิ่นอี้โจวพูดนั้นไม่สามารถทำได้

พวกเขากำลังคิดอยู่ในใจ หรือว่าความสำเร็จก่อนหน้าของเสิ่นอี้โจวจะไม่จริงทั้งหมด?

สีหน้าของเสิ่นอี้โจวไม่เปลี่ยนแปลง เขาหยิบปากกาบนโต๊ะแล้วเริ่มวาดภาพ

เขากล่าวว่า “มีเมฆรวมตัวหนากว่าบนยอดเขาที่นี่ และมีเมฆหนาปกคลุมอยู่เหนือมันด้วย นอกจากนี้ยังมีลมตะวันตกเฉียงใต้กำลังพัดอยู่ในขณะนี้ และทิศทางลมก็เหมาะสมที่จะพัดมาจากยอดเขามาถึงภูเขาที่นี่ด้วยเวลาถูกต้อง เราจะมีสภาวะเมฆและทิศทางลมเพื่อนำฝนมา”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เสิ่นอี้โจวพูด ทุกคนก็รู้สึกสมเหตุสมผลอีกครั้ง

พวกเขาหันมองไปยังหยางฉุนอี้ ซึ่งอยู่ที่นั่นด้วย

หยางฉุนอี้กล่าวว่า “ฉันรับประกันเลขาธิการเสิ่นในนามของฉันเอง ฉันคิดว่าเราน่าจะลองดู”

หลังจากนั้นสายตาของพวกเจ้าหน้าที่ชราทั้งหลายก็แดงก่ำ มองไปที่เสิ่นอี้โจวอย่างแน่วแน่

หนิงเซี่ยวเฉิงยืนขึ้นเช่นกัน “ผมขอให้หลักประกันแก่เลขาธิการเสิ่นด้วยมันเป็นเรื่องของการใช้ปืนใหญ่ไม่กี่กระบอก หลังจากนี้เราก็จะส่งรายงานให้กับเบื้องบนตรวจสอบภายหลัง เพราะงั้นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ”

เมื่อผู้นำทั้งสองพูดแล้วทุกคนก็หยุดและวิ่งวุ่นทันที “ไปกันเถอะ ให้ทหารยิงปืนใหญ่กันเลย!”

เสิ่นอี้โจวมองไปที่หยางฉุนอี้และหนิงเซี่ยวเฉิง ดวงตาของเขาก็เป็นสีแดงด้วยความขอบคุณเช่นกัน

เขาพูดว่า “ผมจะไปที่นั่นก่อนนะครับ”

หยางฉุนอี้และหนิงเซี่ยวเฉิงพยักหน้า “ไปเร็ว ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นหรอกนะ”

หลิงเยี่ยขับรถ ฉู่ซิงอวี่นั่งด้านหลังกับเสิ่นอี้โจวและในไม่ช้าก็ไปถึงเนินเขาที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้

หลังจากประสานงานกับบุคคลที่รับผิดชอบของกองทัพแล้ว ปืนใหญ่ก็ถูกจัดเตรียมอย่างรวดเร็ว ตามคำสั่งของเสิ่นอี้โจวระเบิดฝนก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าทีละลูกและเข้าไปในก้อนเมฆ

สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ท้องฟ้าเหนือหัวของพวกเขา พวกเขาเห็นว่ามีเมฆรวมตัวกันและเมฆมืดก็พวยพุ่ง จนในที่สุดก็มีคนตะโกนขึ้นอย่างตื่นเต้น “ฝนตก! ฝนตก!”

ทันใดนั้นเม็ดฝนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ตกลงมา และกลายเป็นฝนห่าใหญ่

เมื่อลมพัดแรง เมฆก้อนใหญ่เริ่มเคลื่อนตัวเข้าหาภูเขาที่ลุกไหม้ จากตีนเขาไปจนถึงไหล่เขาและจากนั้นไปที่ภูเขา เดิมทีไฟที่พุ่งสูงขึ้นค่อย ๆ มอดแล้ว

ชั้นเมฆเคลื่อนตัวไปยังจุดที่เกิดไฟรุนแรงขึ้น แม้มีสัญญาณอ่อนลงแต่ทุกคนก็มีความหวัง

ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงฉู่ซิงอวี่อุทาน “เลขาธิการ!!”

จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงของหนักตกลงพื้น และเสิ่นอี้โจวก็ล้มหงายหลังที่พื้นอย่างจัง

เลือดพวยพุ่งออกมาจากปากของเขา ราวกับท้องฟ้าก่อนหน้านี้ที่ถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน

———————

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

Status: Ongoing
หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ประสบอุบัติตุจนเสียชีวิต และเธอก็ได้ย้อนไปตอนที่เธออายุ 21 ปี …ลับมาครั้งนี้เธอจะไม่ยอมหย่ากับเสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธออีกเด็ดขาด! หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ช่วยเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้จนประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ปีแล้วปีเล่าผ่านไป เสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธอก็มักจะมายี่ยมหลุมศพของเธอประจำ เธอในร่างวิญญาณออกปากไล่เขาทุกครั้งต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ยิน เขาจำไม่ได้เลยหรืออย่างไร ว่าเธอทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่แล้วเธอก็ได้ย้อนกลับมาใน ในวันที่เธออายุ 21 ปี แลยังไม่ได้หย่าขาดกับเสิ่นอี้โจว ในเมื่อเธอได้โอกาสอีกครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด ครั้งนี้เธอจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับเสิ่นอื้โจวได้จงได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท