บทที่ 252 การจูบคุณเป็นเรื่องถูกกฎหมาย
บทที่ 252 การจูบคุณเป็นเรื่องถูกกฎหมาย
จากใจกลางเมืองเตียนเฉิงไปจนถึงประตูใหญ่ของเขตที่อยู่อาศัย มีคนออกมาต้อนรับการกลับบ้านของเสิ่นอี้โจวมากมาย
หลินตงซิ่วจะเคยเห็นการต้อนรับขนาดนี้ได้ที่ไหน?
ขณะนั่งอยู่ในรถเธอประหม่ามาก
มือของเธอกำชายเสื้อแน่น และเสื้อผ้าก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
สายตามองไปยังเซี่ยชิงหยวนที่อยู่ด้านข้าง
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนนั่งอยู่บนที่นั่งโดยหันหน้าตรง มีรอยยิ้มที่มุมปาก ดูสง่างามและเหมาะสมมาก
เธอยังเลียนแบบเซี่ยชิงหยวนและยืดเอวของตัวเอง
ที่ประตูใหม่ของเขตที่อยู่อาศัย ยามที่รออยู่ข้างนอกเห็นรถกำลังแล่นเข้ามา เขาจึงรีบเปิดรั้วแล้วปิดอย่างรวดเร็ว เพื่อแยกฝูงชนที่แสนกระตือรือร้นออกไป
ที่หน้าบ้านของเสิ่นอี้โจว มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนของศาลากลางอยู่ที่นั่นด้วย
ในหมู่คนที่มารอมีทั้งหยางฉุนอี้ หนิงเซี่ยวเฉิง และเหอเส้าหยวนยืนอยู่แถวหน้า
เสิ่นอี้หลินและฟางเยว่ก็ยืนอยู่ด้วยกัน จ้องมองไปยังรถที่กำลังใกล้เข้ามา
ทันทีที่ประตูรถเปิดออกก็มีคนไปพยุงเสิ่นอี้โจวทันที
เสิ่นอี้โจวโบกมือเป็นสัญญาณว่าเขาไม่ต้องการขอความช่วยเหลือ จากนั้นหันกลับมาจับมือเซี่ยชิงหยวนด้วยมือข้างหนึ่งและหลินตงซิ่วด้วยมืออีกข้างหนึ่ง ซึ่งไม่ปล่อยจนกว่าพวกเขาจะอยู่ต่อหน้าหยางฉุนอี้และคนอื่น ๆ
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่เสิ่นอี้โจวที่จับมือเธอไว้ และมุมปากของเธอก็โค้งขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
หยางฉุนอี้และคนอื่น ๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุขและกล่าวแสดงความยินดีสองสามคำ
ในระหว่างนี้เสิ่นอี้หลินเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ จากด้านข้าง ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น ดวงตาโตของเขาแดงก่ำอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่แสดงอารมณ์
เสิ่นอี้โจวมองไปที่เสิ่นอี้หลินด้วยดวงตาอ่อนโยน
เขายิ้มและผายมือไปทางน้องชาย
เมื่อเสิ่นอี้หลินเห็นฉากนี้ น้ำตาก็ร่วงหล่นทันที
เขารีบวิ่งออกจากด้านข้างของฟางเยว่ แล้ววิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของเสิ่นอี้โจว
ความกังวลเกี่ยวกับเสิ่นอี้โจวทุกวันนี้และความกลัวที่จะสูญเสียพี่ชาย กลายเป็นน้ำตาที่ไหลรินและร่วงหล่นลงมาของเขาในตอนนี้
เขากอดเอวของเสิ่นอี้โจวและร้องไห้ “พี่ทำให้ผมกลัวแทบตาย! ผมคิดว่า… ฮือ ฮือ…พี่จะตาย…ฮือ ฮือ…”
เขาคิดตลอดทั้งวันว่าถ้าพี่ชายคนโตของเขาตายไปจริง ๆ เขาจะปกป้องแม่และพี่สะใภ้ยังไงเพื่อไม่ให้พวกเธอถูกรังแก
เขาคิดด้วยซ้ำว่าเมื่อไหร่ที่เขามองหาภรรยาในอนาคต เขาต้องหาภรรยาที่เต็มใจที่จะอยู่กับพี่สะใภ้ของเขา
เขาคิดถึงเรื่องนี้มาก แม้ว่าฟางเยว่และหนิงเซี่ยวเฉิงจะดูแลเขาอย่างดี แต่เขาก็ยังร้องไห้ทำเอาหมอนเปียกทุกคืน
เสิ่นอี้โจวกอดเขากลับ
เด็กน้อยที่เคยสวมกางเกงรัดเป้าเดินตามหลังมาตอนนี้ตัวสูงเกือบจะถึงหน้าท้องของเขาแล้ว
เขาลูบหัวน้องชายอย่างแผ่วเบา “น้องชาย พี่ของนายกลับมาอย่างปลอดภัยแล้วไม่ใช่เหรอ?”
หลินตงซิ่วมองดูพี่น้องสองคนที่สวมกอดกัน ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้
ในช่วงเวลานี้เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะร้องไห้ด้วยน้ำตาทั้งหมด
เธอตะโกนเรียกเสิ่นอี้หลิน “อี้หลิน”
เสิ่นอี้หลินเงยหน้าขึ้นจากแขนของเสิ่นอี้โจว มองไปที่หลินตงซิ่วและเรียก “แม่”
มีความสุข แต่ไม่กระตือรือร้นมากนัก
เห็นได้ชัดว่าควรระงับความรู้สึกไว้ก่อน
สายตาของเขาจับจ้องไปที่เซี่ยชิงหยวนที่ยืนอยู่ข้างหลินตงซิ่วอีกครั้ง
ทันใดนั้นเขาก็เบิกตากว้างเป็นพิเศษ หลังจากปาดน้ำตาตัวเองอีกครั้งเด็กชายก็ร้องออกมาด้วยความไม่เชื่อ “พี่สะใภ้?”
เซี่ยชิงหยวนไม่ต้องการให้ใครรับรู้ถึงเธอในขณะนี้เลยจริงๆ
ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ เธอรู้สึกได้ถึงสายตาแปลก ๆ
เสิ่นอี้หลินวิ่งไปข้างหน้าเซี่ยชิงหยวนและร้องเสียงดัง “พี่สะใภ้?”
น้ำตาของเสิ่นอี้หลินไหลออกมาอีกครั้งเมื่อเขามองไปที่ใบหน้าของเซี่ยชิงหยวน จากนั้นมองไปที่มือที่มีตกสะเก็ดแผลมากมายของเธอ และร้องว่า “พี่สะใภ้ ทำไมถึงน่าเกลียดขนาดนี้ล่ะ?”
เสียงของเขาดังมาก แหลมสูง และทะลุทะลวงจนคนที่ยืนอยู่ข้างนอกได้ยินเขาอย่างชัดเจน
ผู้คนสงสัยในใจว่าเซี่ยชิงหยวนเสียโฉมหรือไม่?
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่เสิ่นอี้หลินด้วยสีหน้ามืดหม่น และรู้สึกว่าเหมือนเธอกำลังจะล้มลง
อุปสรรคนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะผ่านไปได้
เธอก้าวไปข้างหน้ากอดเสิ่นอี้หลินและกดไว้ในอ้อมแขนเพื่อปิดปากเขา “พี่สะใภ้รักนายนะ เพราะงั้นอย่าพูดอะไรอีก”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเซี่ยชิงหยวนกอดตัวเองหรือยังไง แต่หลังจากกลับเข้าไปในบ้าน เสิ่นอี้หลินมองไปที่เซี่ยชิงหยวนอย่างเลี่ยง ๆ
เซี่ยชิงหยวนถามเสิ่นอี้โจว “หน้าตาของฉันตอนนี้มันดูไม่ได้ถึงขนาดที่อี้หลินไม่กล้ามองตรง ๆ เลยเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวนั่งบนโซฟา มือข้างหนึ่งลูบคางของเขาด้วยท่าทางสงบ “ไม่นะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็หยิบหนังสือด้านข้างขึ้นมาดู
เซี่ยชิงหยวน “…”
เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกโกหก
ด้วยเหตุนี้เธอจึงนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งหลังจากอาบน้ำและใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวบนใบหน้า
ในเวลานั้นที่ไปทิเบตมันเป็นสถานการณ์ที่เร่งด่วนและเสิ่นอี้โจวก็ไม่รู้จะตื่นขึ้นมาหรือไม่ เธอจะมีความคิดเอาครีมดูแลผิวไปด้วยได้ยังไง?
พริบตาเดียวก็ถึงเดือนตุลาคมแล้ว เป็นเวลาที่ลมฤดูใบไม้ร่วงเริ่มพัดมา ดังนั้นต้องเติมความชุ่มชื้นให้ใบหน้าให้ทันเวลา
แต่เมื่อเธอกลับมาจากทิเบต เธอมองตัวเองในกระจกอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก และมันก็ค่อนข้างยากที่จะยอมรับ
ผิวเหลืองดำ ใบหน้าหยาบกร้านเต็มไปด้วยแผลเป็น และแผลเป็นบนหน้าผากที่รักษาไม่น่าจะหาย…
ราวกับว่าเธอถูกทำร้ายโดยธรรมชาติ
เสิ่นอี้โจวเข้ามาในห้อง เห็นเธอจ้องมองกระจกด้วยสายตาเหม่อลอย
เขาดึงเก้าอี้และนั่งข้างเธอ “เกิดอะไรขึ้น?”
เซี่ยชิงหยวนอยากจะร้องไห้ในครั้งนี้จริง ๆ “ตอนนี้ฉันน่าเกลียดจริง ๆ ด้วย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เสิ่นอี้โจวอดไม่ได้ที่จะยิ้ม พลางเอื้อมมือไปแตะที่ปลายจมูกของเธอ “คุณกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย”
เขาหยิบกล่องไม้เล็ก ๆ ออกมา และหลังจากเปิดออกแล้วก็มีขวดขนาดเล็กกว่าสองขวด
เขาคลายเกลียวขวดหนึ่งและพูดว่า “ส่วนใหญ่ผิวของคุณโดนแดดเผา นี่คือครีมที่ผมขอให้เสี่ยวหลิวสั่งจ่ายให้คุณที่แผนกผิวหนังของโรงพยาบาล คุณสามารถทาได้ทุกวันก่อนเข้านอน และมันจะฟื้นตัวเร็ว ๆ นี้”
ในขณะที่เขาพูด นิ้วเรียวของเขาล้วงเข้าไปในขวด ปาดครีมในขวดเบา ๆ แล้วพูดว่า “หลับตาสิ”
เซี่ยชิงหยวนหลับตาอย่างเชื่อฟัง
ขณะที่เสิ่นอี้โจวทาครีมบนใบหน้าของเธอ เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆ บนใบหน้าด้วย
ในขณะที่เธอกำลังจะพูด ริมฝีปากของเธอก็ถูกแตะเบาๆ
เธอไม่ตอบสนองอยู่เป็นวินาที และตระหนักว่าเป็นเสิ่นอี้โจวจูบเธออยู่
เธอลืมตาขึ้นทันที และสิ่งที่ดึงดูดสายตาก็คิ้วของเสิ่นอี้โจว
เธอพูดด้วยความโกรธ “คุณแอบจูบฉัน”
เสิ่นอี้โจวยิ้มและมองเธออย่างตั้งใจ “คุณเป็นภรรยาของผม การจูบคุณเป็นเรื่องถูกกฎหมาย”
เซี่ยชิงหยวนจ้องเขม็งที่เขา “คุณ…”
เสิ่นอี้โจวมองที่เธอ และจูบริมฝีปากของภรรยาอีกครั้ง
เซี่ยชิงหยวนปิดริมฝีปากอย่างรวดเร็วแล้วหดตัวถอยหนี “พอได้แล้ว!”
เนื่องจากใบหน้าของเธอยังไม่หายเป็นปกติ ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องการให้เสิ่นอี้โจวจ้องดูใกล้ ๆ เท่าไหร่นัก
เสิ่นอี้โจวจับมือของเธอแล้วดึงออก “ชิงหยวน ผมไม่ได้โกหก ในใจของผมคุณสวยกว่าทุกคนในโลก ดังนั้นต่อหน้าผม คุณไม่จำเป็นต้องปกปิดแบบนี้”
เซี่ยชิงหยวนตกตะลึงกับคำสารภาพอย่างกะทันหันของเสิ่นอี้โจว
ดวงตาของเขาที่จดจ่ออยู่ทำให้เธอรู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ
เธอพยักหน้าด้วยความงุนงง “ก็ได้”
เมื่อพูดจบ เสิ่นอี้โจวก็ประคองหลังของเธอด้วยมือข้างหนึ่งและอีกข้างก็สอดใต้เข่าของเธอ แล้วพยายามกอดอีกฝ่ายไว้ “งั้นไปนอนกันเถอะ”
บทที่ 246 ความรักระหว่างสองชีวิตที่คุณตามหาจะเป็นจริงในที่สุด
บทที่ 246 ความรักระหว่างสองชีวิตที่คุณตามหาจะเป็นจริงในที่สุด
เธอพักและเดินต่อ จนกระทั่งเป็นลมและถูกส่งตัวไปรักษาอีกครั้ง เมื่อได้รับการฉีดยาหรือกินยาแล้ว เธอก็ออกเดินทางต่อไป
หลังจากผ่านไปกว่า 20 วัน ในที่สุดเซี่ยชิงหยวนก็ไปถึงหน้าวังอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นจุดหมาย
ในบรรดาผู้ที่เดินทางมาแสวงบุญเหมือนกับเธอ มีหลายคนที่ล้มเลิกกลางคันเพราะไม่มีเรี่ยวแรง และบางคนเช่นเธอที่ยืนหยัดด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
แผ่นรองหัวเข่าและข้อศอกที่เธอเตรียมไว้นั้นเสื่อมสภาพหมดแล้ว ผิวหนังและเนื้อบริเวณหัวเข่ากับข้อศอกของเธอเป็นแผลฉีกขาด และกลายเป็นสะเก็ด เดี๋ยวพวกมันก็คงหลุดลอกในวันรุ่งขึ้น
มันมีอาการแดง บวม อักเสบ ซึ่งเธอใช้ยาทาแผลได้แค่ตอนนอนพักเท่านั้น
หน้าผากของเธอเต็มไปด้วยรอยเปื้อนและคราบเลือด สภาพของมันก็ไม่ได้ดูดีไปกว่าแขนขาของเธอมากนัก
เธอเป็นหนึ่งในผู้แสวงบุญหลายพันคน และแทบทุกคนก็สภาพไม่ต่างกัน
เธอก้าวขาออกไป ซึ่งตอนนี้ไร้ความรู้สึกไปแล้ว ก้าวเข้าไปภายในห้องโถง
เธอคุกเข่าต่อหน้าพระพุทธรูป พนมมือแล้วโขกหัวลงอีกครั้ง
เมื่อมองดูพระพักตร์ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาของพระพุทธเจ้า หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา
เธอหมอบลงกับพื้น ปล่อยน้ำตาให้ไหลริน
ราวกับว่าในที่สุดคนพเนจรก็ได้กลับมายังบ้านเกิดของตัวเอง และตอนนี้ทั้งหัวใจของเธอก็ได้รับการปลอบประโลม
เธอยืดตัวขึ้นมองพระพุทธเจ้า และอธิษฐานตามคำสอนของปี่เหลาซาน
“แด่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเซี่ยชิงหยวนหญิงสาวผู้ศรัทธา เกิดในปีหนึ่งเก้าหกสองและอาศัยอยู่ที่…”
“ข้าพเจ้าขออธิษฐานต่อหน้าพระองค์ ขอให้พระองค์อำนวยพรให้เสิ่นอี้โจว สามีของข้าพเจ้าปลอดภัยมีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ…”
“ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าขอถวายชีวิตทั้งหมดของข้าพเจ้าเองเป็นการแลกเพื่อให้เขาปลอดภัยและประสบความสำเร็จ”
แต่ทันใดนั้นเซี่ยชิงหยวนเปลี่ยนบทพูดของเธอทันทีและพูดใหม่ว่า “ใช้…ใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่งของอายุขัยของข้าพเจ้าดีกว่าเจ้าค่ะ”
“เขาอยู่ต่อได้อีกครึ่งหนึ่ง ข้าพเจ้าอยู่ได้อีกครึ่งหนึ่ง ข้าพเจ้ายังหวังว่าในอนาคตจะสามารถได้อยู่ร่วมเตียงเดียวกันกับเขาและตายในหลุมเดียวกันกับเขาได้”
เมื่อพูดจบ เสียงระฆังก็ดังขึ้นนอกห้องโถง ราวกับว่าเป็นการตอบรับคำอธิษฐานของเธอ
ระหว่างทางไปสักการะ จู่ ๆ หญิงสาวก็เข้าใจถึงความรักของเสิ่นอี้โจวที่มีต่อเธอ
เช่นเดียวกับที่เธอไม่ต้องการอยู่คนเดียวหลังจากการตายของเขา เขาก็เช่นกัน
ไม่ขอให้เกิดปีเดียวกัน เดือนเดียวกัน วันเดียวกัน แต่ขอตายในปีเดียวกัน เดือนเดียวกัน วันเดียวกัน เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว
เธอจำได้ว่ามีคู่สามีภรรยาสูงอายุคู่หนึ่งในหมู่บ้านซีสุ่ย
ลูกชายคนเดียวของพวกเขาไปที่สนามรบและไม่อาจกลับมาได้อีกเลย ในที่สุดทั้งคู่ก็ประคับประคองชีวิตกันและกัน
ต่อมาชายชราล้มป่วย
ในวันก่อนที่เขาจะจากไป เขาลากร่างที่ป่วยของเขาขึ้นไปบนภูเขาเพื่อตัดฟืนทุกวัน และใส่กองฟืนเอาไว้ในห้องเก็บของที่บ้านจนเต็ม
มีคนถามเขาว่าทำไปเพื่ออะไร? เขาตอบว่า “หญิงชราของฉันไม่แข็งแรง ถ้าฉันไม่อยู่แล้วเธอคงไม่สามารถสับฟืนเองได้”
แต่โดยไม่มีใครคาดคิด ท้ายที่สุดหญิงชราก็ตายตามชายชราหลังจากเขาเสียชีวิตเพียงไม่กี่วัน
ฟืนในห้องนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกเศร้าใจทันทีบราวนี่ออนไลน์
เธอคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเสิ่นอี้โจวจะต้องเหมือนแบบนั้น
ดังนั้นตราบใดที่เธอสามารถอยู่กับเขาได้ต่อ แม้ว่าเธอและเขาจะเหลือชีวิตอีกไม่กี่ปี เธอก็เต็มใจ
เมื่อเซี่ยชิงหยวนยืนขึ้น เธอหน้ามืดไปชั่วครู่ และเกือบจะล้มลงไป
แต่เป็นพระชราที่เอื้อมมือมาช่วยพยุงเธอไว้
พระชรามีเคราสีขาวยาว มองเธอด้วยรอยยิ้มอบอุ่นดูใจดีและดูเฉลียวฉลาด
เซี่ยชิงหยวนถอยหลังหนึ่งก้าว และโค้งคำนับให้พระชราทันที
พระชราพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและพูดเป็นภาษาทิเบต “ความรักระหว่างสองชีวิตที่คุณตามหาจะเป็นจริงในที่สุด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เซี่ยชิงหยวนก็ขมวดคิ้ว และอยากจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อถามพระชราว่าเขาหมายความว่าอย่างไรตามประโยคนี้..
โดยไม่คาดคิด อยู่ ๆ ศิษย์คนหนึ่งก็เข้ามาพยุงพระชราแล้วพาเดินออกไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
ในขณะนี้เองก็มีใครบางคนเดินเข้ามาในห้องโถงพอดี ซึ่งขวางไม่ให้เซี่ยชิงหยวนไล่ตามพระชราไป
เซี่ยชิงหยวนทำได้เพียงจากไปด้วยความผิดหวัง
ในตอนกลางคืน เธอโทรกลับไปที่บ้านเพื่อถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของเสิ่นอี้โจว
หลินตงซิ่วกล่าวว่า “แม่ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอะไรเลยน่ะ”
หลินตงซิ่วได้ยินเสียงลมหายใจที่ผิดหวังของเซี่ยชิงหยวน และพูดทันที “อย่าท้อแท้ไปเลยนะ บางทีพรุ่งนี้เขาอาจตื่นขึ้นก็ได้”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าและยิ้มอย่างขมขื่น “หนูเข้าใจค่ะแม่ ไม่ต้องกังวลนะคะ หนูน่าจะกลับไปถึงในอีกสองวัน ช่วงนี้หนูคงต้องขอรบกวนแม่ต่ออีกหน่อยนะคะ”
เสิ่นอี้โจวเป็นโรคร้ายแรงขนาดนี้ จะเป็นไปได้ด้วยเหรอที่เธอมาอธิษฐานแล้วเขาจะหายดีทันทีเลย?
เซี่ยชิงหยวนวางสายแล้วยิ้มอย่างสมเพชตัวเอง เธอมองดูท้องฟ้ายามราตรีอันเงียบงันที่เหมือนดวงดาวอยู่ต่ำจนสามารถเอื้อมมือไปคว้าได้
เธอพึมพำแผ่วเบา “เสิ่นอี้โจว ไม่ว่าจะไปที่ไหนฉันก็จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป”
เซี่ยชิงหยวนได้รับบาดเจ็บตามร่างกาย และหลังจากไปหาหมอท้องถิ่นเพื่อทำความสะอาดและพันผ้าพันแผล เธอถึงจะกล้าเดินทางกลับไปที่มณฑลยูนนาน
ตอนไปเหมือนมีภาระหนักกาย แต่กลับมาใจยังหนักอึ้งอยู่
ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร เธอเรียนรู้ที่จะรับมือกับมันด้วยหัวใจที่ปกติ
เธอลากกระเป๋าเดินทาง และก่อนที่เธอจะเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย เธอก็ได้ยินเสียงเชียร์จากข้างใน
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกตื่นเต้นมากจนเธออดไม่ได้ที่จะเร่งความเร็วฝีเท้าของตัวเอง
เมื่อเธอเดินเข้าไปในห้อง ทุกคนดูสนุกสนานและไม่มีใครสังเกตเห็นเธอเลย
ทุกคนมารวมตัวกันรอบเตียงตรงกลางนั้น รวมทั้งหมอ พยาบาล และอีกสองสามคนที่เธอไม่รู้จัก
เมื่อเดินเข้าไปข้างในมากขึ้น เธอเห็นเสิ่นอี้โจวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ด้วยใบหน้าที่อ่อนล้า แต่ดวงตายังคงชัดเจน
หลินตงซิ่วยืนอยู่ข้าง ๆ พลางเช็ดน้ำตา
เซี่ยจื่ออี้เองก็ยิ้มพลางน้ำตาคลอ ดูมีความสุขมาก
เมื่อเห็นว่าดวงตานกฟีนิกซ์ที่เคยปิดอยู่ตลอดของเสิ่นอี้โจวเปิดขึ้นแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็น้ำตาไหลออกมาทันทีเช่นกัน
เขาฟื้นแล้ว!
ในที่สุดเขาก็ฟื้นแล้ว!
เธอปิดปากของตัวเองกลัวว่าตนจะร้องไห้โฮออกมา
แต่น้ำตาของเธอไม่สามารถหยุดไหลได้ ตอนนี้มันไหลไปทั่วใบหน้าของเธออย่างรวดเร็ว
ขณะนี้ราวกับว่ามีญาณวิเศษบอกเขา เสิ่นอี้โจวหันหน้ามองมาที่เธอ
ใบหน้าที่ดูไร้อารมณ์ในตอนแรก วินาทีต่อมาเมื่อเขาเห็นเธอ มันเหมือนกับดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่ผลิบาน
เขายื่นมือออกไปหาเธอด้วยรอยยิ้มจาง ๆ บนริมฝีปาก “ชิงหยวน!”
ตามเสียงตะโกนของเสิ่นอี้โจว สายตาของทุกคนก็มองตามทิศทางนั้น และมองไปที่เซี่ยชิงหยวน
เธอสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแต่ขาดวิ่น ใบหน้าของเธอดำและเหลือง ผิวหนังที่ลอกออกมีสีแดงและบวม และมีบาดแผลที่หน้าผากของเธอด้วย
ในขณะที่ทุกคนยังมองไม่ออกว่าเธอเป็นใคร
แต่หลินตงซิ่วไม่ใช่ เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวน เธอก็ตะโกนอย่างตื่นเต้น “ชิงหยวน!”
เซี่ยชิงหยวนเดินไปโดยไม่สนใจสายตาของผู้คน เธอยืนอยู่หน้าเสิ่นอี้โจวพลางสะอื้นและพูดว่า “ทำไมคุณถึงเพิ่งตื่นเอาตอนนี้ล่ะ”
เธอบ่นพึมพำอยู่ในใจ แต่ในอกกลับเต็มไปด้วยความสุขล้นออกมาเต็มหน้า เธอร้องไห้สลับหัวเราะอยู่พักหนึ่ง
เสิ่นอี้โจวจับมือที่หยาบกร้านของภรรยา และดวงตาของเขากลายเป็นสีแดง “ผมขอโทษ ผมขอโทษ”
หลังจากตื่นขึ้น เขาได้รู้จากหลินตงซิ่วว่าเซี่ยชิงหยวนได้ไปแสวงบุญที่ทิเบต
ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็เจ็บปวด
หญิงสาวผู้บอบบางที่เขากำลังจับมืออยู่ในขณะนี้ยอมไปยังทิเบตที่ยากลำบากเพื่อเขา และเธอเดินไปตามเส้นทางที่แสนจะทุกข์ทน ซึ่งเขาเคยเผชิญมาก่อน
เขาเป็นผู้ชายตัวโตแข็งแรง แต่เขาแทบจะทนไม่ได้นับประสากับเธอที่บอบบาง?
เมื่อนึกถึงความทรมานที่เธอได้รับ เขารู้สึกเหมือนมีมีดปลายแหลมกรีดหัวใจของตน
เมื่อเห็นเธอกลับมาตอนนี้ หญิงสาวดูซีดเซียวจนเขาแทบจะจำเธอไม่ได้
ทันทีที่คำพูดออกจากปาก เสิ่นอี้โจวก็น้ำตาร่วงหล่น
นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยชิงหยวนเห็นเสิ่นอี้โจวร้องไห้
ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรต่อ หญิงสาวก็ถูกเขาดึงไปกอดในอ้อมแขนแน่น
โดยไม่คำนึงถึงสิ่งสกปรกบนร่างกายของเธอ เขากอดเธอแน่นมาก
ฉากนี้ทำเอาหลายคนที่อยู่รอบ ๆ อดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึม
พยาบาลที่อยู่ข้าง ๆ มองทั้งสองคนอย่างงงงวย
พวกเธอมาทีหลังและยังไม่เคยเห็นเซี่ยชิงหยวน
ก่อนหน้านี้พวกเธอเห็นแค่เซี่ยจื่ออี้ที่มาเยี่ยมเป็นระยะ ๆ จนพวกเธอคิดว่าเซี่ยจื่ออี้เป็นภรรยาของเสิ่นอี้โจว
ปรากฏว่าคุณนายเสิ่นคือผู้หญิงคนนี้เหรอ?
———————
