บทที่ 260 ปีนขึ้นเตียง
บทที่ 260 ปีนขึ้นเตียง
จางอวี้เอ๋อติดตามฉู่ซิงอวี่ไปอย่างลับ ๆ และออกมาจากเงามืดหลังจากยืนยันว่าเสิ่นอี้โจวไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไป
เธอก้าวไปข้างหน้า พลางช่วยพยุงฉู่ซิงอวี่จากอีกด้านหนึ่งและกระซิบกระซาบ “ให้ฉันช่วยนะ”
ระหว่างทางไปหอพักมีเพียงไฟถนนสลัว ๆ และฉู่ซิงอวี่ก็สูงจนบังจางอวี้เอ๋อเกือบทั้งหมด ชายหนุ่มอีกคนมองไม่เห็นว่าใครเป็นคนช่วยเขา แค่คิดว่าเป็นเพื่อนร่วมงานในหน่วย
เขาไม่ปฏิเสธและพยุงฉู่ซิงอวี่ไปพร้อมกับจางอวี้เอ๋อที่ช่วยประคองไปด้วยกัน
ฉู่ซิงอวี่ต้องการที่จะเปิดตาของเขาเพื่อดูว่าใครมาพยุงแขนอีกข้างของตัวเอง แต่เขาเมามากจนมองเห็นร่างที่มาใหม่เบลอไม่ชัดเจน
เมื่อพวกเขาไปถึงห้อง ทั้งสองก็วางฉู่ซิงอวี่ลงและกำลังจะจากไป
ในขณะนี้ ฉู่ซิงอวี่พึมพำบางอย่างและหันไป
จางอวี้เอ๋อพูดทันที “เขาบอกว่าเขาต้องการดื่มน้ำน่ะ”
ขณะที่เธอพูดก็เดินไปหยิบขวดน้ำบนโต๊ะด้วย “คุณไปช่วยส่งผู้นำคนอื่น ๆ ก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะอยู่ต้มน้ำให้เขาแล้วจะออกไปทันที”
ชายหนุ่มไม่คิดมาก “งั้นผมไปก่อนนะ คุณทำอะไรก็ระวังหน่อยแล้วกัน”
พูดจบแล้วก็จากไป
เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินจากไป จางอวี้เอ๋อก็แสดงสีหน้าเย้ยหยันและวางกาน้ำกลับลงบนโต๊ะ
เธอไปที่ประตูและปิดทันที
จากนั้นเธอเดินไปที่เตียงทีละก้าว มองไปยังฉู่ซิงอวี่ที่หลับตาด้วยความมึนเมา รอยยิ้มบนริมฝีปากของเธอก็ปรากฏ
หลังจากคืนนี้เธอจะเป็นคุณนาย!
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น เธอก็ปลดกระดุมเสื้อผ้าของตัวเอง เธอแทบไม่สามารถหยุดรอยยิ้มพอใจบนใบหน้าของตัวเองได้ แม้แต่มือก็ยังสั่นเพราะความตื่นเต้น
เมื่อเธอปลดกระดุมเสื้อผ้าออกจนหมดแล้วกำลังจะปีนขึ้นเตียง จู่ ๆ ก็พบกับสายตาคู่หนึ่ง
เธอไม่รู้ว่าฉู่ซิงอวี่ตื่นขึ้นเมื่อไหร่ เขายังคงนอนอยู่แต่มองเธออย่างไร้อารมณ์
จางอวี้เอ๋อตัวสั่นทันที
ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่นอน
เธอต้องการให้แน่ใจว่าฉู่ซิงอวี่มีสติแล้ว
เธอก้าวไปข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ และเอื้อมมือออกไป
“ออกไป!”
ทันใดนั้นฉู่ซิงอวี่ก็ตะโกนออกมาโดยปราศจากความลังเลจากริมฝีปากของเขา
เขามองไปที่จางอวี้เอ๋ออย่างเยือกเย็นพร้อมกับแสดงสีหน้าเยาะเย้ย
จางอวี้เอ๋อถูกตรึงไว้กับที่ราวกับว่าเธอตกลงไปในน้ำแข็ง
หัวสมองของเธอแล่นฉับไว คิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ปัจจุบัน
หรือเธอควรจะตะโกนทันทีว่าถูกลวนลาม?
ในกรณีนี้ แม้ว่าฉู่ซิงอวี่จะไม่ต้องการแต่งงานกับเธอ เขาก็ทำได้เพียงต้องยอมรับเท่านั้น
แค่ว่ามันจะยากสำหรับเธอที่จะมีอนาคตที่ดีกับเขาบราวนี่ออนไลน์
เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นกับวันที่ไร้ซึ่งความหวังในหมู่บ้านชนบท เห็นได้ชัดว่าจางอวี้เอ๋อเลือกอย่างแรก
เธอคว้าชายเสื้อที่เพิ่งปลดออกและกำลังจะอ้าปากตะโกน
เมื่อรู้ได้ถึงความตั้งใจของเธอ ฉู่ซิงอวี่ก็ระงับความเมาของตัวเอง ลุกขึ้นพรวดไปข้างหน้าและยัดหมอนเข้าไปในปากของเธออย่างไว
เขาพลักตัวเธอล้มลมไปที่พื้น บีบคอของเธอแน่น
เขาสะบัดหัวที่ยังง่วงงุน นัยน์ตาสีเข้มของเขาเต็มไปด้วยความขยะแขยง
“ถ้าไม่อยากตายก็ไสหัวออกไปซะ!”
ร่างกายของจางอวี้เอ๋อสั่นราวกับผีเข้า ทำไมทุกคนที่ดูภายนอกนั้นอ่อนโยน แต่จริง ๆ แล้วน่ากลัวขนาดนี้!
ทันใดนั้นเธอก็พลิกตัวและผลักเขาออกไป รีบลุกขึ้นจากพื้นแล้ววิ่งออกไปที่ประตูทันที
เมื่อเห็นแบบนี้ ฉู่ซิงอวี่ก็ล้มลงไปข้างหลังราวกับว่าร่างกายของเขาพังทลายลง
ร่างของเขากระแทกเข้ากับโต๊ะที่อยู่ใกล้เคียงอย่างแรง
เสียงดังทำให้เจ้าหน้าที่บริการในอยู่ห้องถัดไป ซึ่งกำลังส่งหัวหน้าอีกคนตกใจ
เขารีบแจ้งให้คนที่พามาให้เดินมาดู ก่อนจะพบว่าฉู่ซิงอวี่นอนอยู่บนพื้นและอาการดูไม่ปกติเท่าไหร่นัก
เขารีบไปช่วยฉู่ซิงอวี่ขึ้นนอนบนเตียง หลังจากนั้นก็ถอดรองเท้าและคลุมด้วยผ้านวม เขาก็ปิดประตูและจากไป
ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครเห็นร่างที่ตื่นตระหนกเดินผ่านห้องที่เปิดโล่งห้องหนึ่ง และมีเสียงบ่นขี้เมาจากข้างใน
ร่างนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันหลังกลับเข้าไปในห้องที่ยังเปิดประตูอยู่แล้วปิดประตูลง
…
เซี่ยชิงหยวนรู้ว่าเสิ่นอี้โจวมีงานเลี้ยงตอนกลางคืน
เธอไม่กล้านอนหลับ เอาแต่นั่งรออยู่ที่บ้าน
เมื่อได้ยินเสียงรถมาจากประตู เธอก็รีบลุกขึ้นไปต้อนรับเขาทันที
เสิ่นอี้โจวเพิ่งลงจากรถ ดวงตาของเขาก็พันสดใส เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เมา
เมื่อเห็นเธอออกมา เสิ่นอี้โจวก็โอบแขนรอบเอวของภรรยา “คุณนอนดึกขนาดนี้เลยเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนได้กลิ่นแอลกอฮอล์และบุหรี่จาง ๆ บนร่างกายของเขา ซึ่งน่าจะติดมาจากในงานเลี้ยง
เธอตบไหล่ของเขาเบาๆ “ก็ฉันกังวลเกี่ยวกับคุณนี่ ไม่ได้เหรอ?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเสิ่นอี้โจวก็อบอุ่นขึ้น “กลับเข้าบ้านกันเถอะ”
เมื่อกลับเข้าบ้าน เสิ่นอี้โจวนั่งบนโซฟาโดยเงยหน้าขึ้นและนวดขมับของตัวเอง
เซี่ยชิงหยวนนั่งลงและพูดว่า “ฉันทำให้นะ”
จากนั้นเธอก็จับมือของเขาออกและนวดขมับให้สามีอย่างเบามือ
เทคนิคเฉพาะของเซี่ยชิงหยวนช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าที่เกิดจากความเครียดสูงตลอดทั้งวันได้อย่างรวดเร็ว
เซี่ยชิงหยวนพูดว่า “พวกเขาไม่ได้ทำให้คุณลำบากในการดื่มคืนนี้หรอกเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวหยุดชั่วคราวและพูดว่า “ไม่นะ”
โดยรวมแล้วบรรยากาศที่โต๊ะเหล้าค่อนข้างกลมกลืน หลังจากทุกคนได้ข่าวว่าเขาอาเจียนเป็นเลือดและไปโรงพยาบาล
สำหรับพวกตัวตลกที่กระโดดไปมาสองสามตัว เขาไม่มีอะไรต้องกังวลกับคนเหล่านั้น
เมื่อคิดถึงฉู่ซิงอวี่ที่เมา รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเสิ่นอี้โจว “ผมเกรงว่าคืนนี้เสี่ยวฉู่คงรู้สึกอึดอัดมากแน่ ดังนั้นเขาจึงกันเหล้าให้ผมและตัวเองก็ดื่มแทนไปไม่น้อยเลย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ การเคลื่อนไหวของเซี่ยชิงหยวนก็ไม่ได้หยุด เธอยังคงยิ้มและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรเพิ่มเงินเดือนให้เขาสักหน่อยในอนาคตนะ ครั้งนี้ที่คุณเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เขาก็ช่วยได้มากเลย”
จากนั้นเธอก็จำได้ว่าครอบครัวของฉู่ซิงอวี่ไม่ได้ขาดแคลนเงิน เธอเลยอดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจว่าตัวเองคิดตื้นเกินไป
นับตั้งแต่ที่ทั้งสองพูดคุยกันอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา เมื่อพูดถึงฉู่ซิงอวี่และหลิงเยี่ยก็ไม่มีช่องว่างใดเลย มันเหมือนกับหัวข้อทั่วไปเท่านั้น
เสิ่นอี้โจวดึงมือที่นวดอยู่ของเซี่ยชิงหยวนแล้วพูดว่า “ถึงเวลาเลื่อนตำแหน่งให้เขาแล้วสินะ”
ขณะที่เขาพูด ชายหนุ่มก็ดึงเซี่ยชิงหยวนเข้ามาในอ้อมแขนอย่างแรงและกักขังเธอไว้
“แล้วผมล่ะ มีรางวัลอะไรให้ผมไหม?”
เขาดึงเซี่ยชิงหยวนและชุดนอนหลวม ๆ ก็เปิดออก เผยให้เห็นไหล่กลมเนียนของเธอ
หลังจากช่วงการบำรุงที่ผ่านมา ในที่สุดผิวของเธอก็ขาวขึ้น
แม้ว่าตัวเธอเองจะยังไม่พอใจ แต่เธอก็ขาวกว่าผู้หญิงหลายคนในมณฑลยูนนานแล้ว
เธอสังเกตเห็นว่าดวงตาของเสิ่นอี้โจวมืดลงและติดตามการจ้องมองของเขาโดยที่ไม่รู้ว่าเขากำลังมองอะไรอยู่
เธอรีบคว้าคอเสื้อแล้วพูดว่า “อยากได้รางวัลเหรอ? คุณต้องการของว่างตอนดึกไหมล่ะ?”
เสิ่นอี้โจวก้มหน้าลงแล้วกดหน้าผากกว้างไปหาเธอ “แต่ผมอยากกินคุณ”
เมื่อเขาพูด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประกายบวกกับน้ำเสียงที่นุ่มนวลของเขาทำให้รู้สึกน่าสงสารไม่น้อยจริงๆ
หัวใจของเซี่ยชิงหยวนอ่อนลงทันที
เสิ่นอี้โจวพูดต่อ “เกือบสองเดือนแล้วนะ”
เขาจับมือภรรยาไว้ และให้เธอเอนกายกึ่งนอนลง “คุณไม่ต้องการผมบ้างเหรอ?”
บทที่ 254 นอนหลับด้วยกัน
บทที่ 254 นอนหลับด้วยกัน
ดวงตาของเสิ่นอี้โจวลุกเป็นไฟ และดูเหมือนเขาจะไม่ได้ล้อเล่นเลย
เซี่ยชิงหยวนจับมือของเสิ่นอี้โจวออกจากต้นขาของเธอ และพูดว่า “ร่างกายต้องใช้เวลาพักฟื้นหนึ่งร้อยวัน และโดยเฉพาะคุณจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปี ดังนั้นในช่วงนี้ทำตัวเชื่อฟังจะดีกว่านะ”
เสิ่นอี้โจวถูกผ่าตัดที่ท้อง ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นมากที่เขาจะต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน
ท้ายที่สุดแม้สิบปีผ่านไป โรคนี้ก็ยังน่ากลัวอยู่พอสมควร
สีหน้าของเสิ่นอี้โจวค่อนข้างแย่อยู่ครู่หนึ่ง “ครึ่งปี?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่”
เสิ่นอี้โจวยิ้มด้วยท่าทางสบาย ๆ “คุณจำได้ไหมว่าหมอพูดว่าอะไร?”
เซี่ยชิงหยวนตกตะลึงชั่วขณะ และจากนั้นพูดว่า “ฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันพูดคล้ายกันกับของหมอนะ”
แม้ว่าหมอหมิ่นจะบอกว่าไม่มีปัญหาที่จะบอกให้เสิ่นอี้โจวไปวิ่ง แต่เธอก็รู้สึกเสมอว่าทุกครั้งที่เสิ่นอี้โจวทำแบบนี้ เขาจะต้องเสียไปมากกว่าพลังงานสำหรับการวิ่งเหยาะ ๆ แน่นอน
เสิ่นอี้โจวพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “อืม งั้นเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนคิดว่าโน้มน้าวเขาได้แล้ว “คิดดูสิ คุณจะต้องใช้กำลังที่ท้องของคุณด้วยเวลาทำแบบนั้นนะ ถ้ามันฉีกขึ้นมาจะทำยังไง?”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…” เสิ่นอี้โจวหัวเราะจริง ๆ
เขาพลิกตัวนั่งบนเตียงหัวเราะอย่างมีความสุข
นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยชิงหยวนเห็นเขาหัวเราะแบบนี้
เธอรู้สึกรำคาญจริง ๆ “ฉันพูดอะไรผิดไปรึไง?”
เสิ่นอี้โจวยื่นนิ้วออกมาแล้วแตะหน้าผากของเธอ “คนโง่ ผมใช้สะโพกของผมเท่านั้น ใช้ท้องอย่างที่คุณพูดที่ไหนล่ะ”
หลังจากพูดจบ เขายืนขึ้นและโยกเอวไปมาสองสามครั้ง “ดูสิ ผมใช้หน้าท้องที่ไหน”
การเคลื่อนไหวไม่มากและความเร็วก็ช้าลงนิดหน่อย ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้เธอนึกถึงภาพบางอย่าง
เซี่ยชิงหยวนพูดไม่ออก “…”
เสิ่นอี้โจวเช็ดน้ำตาออกจากมุมตาของเขา เลิกหัวเราะและปิดฝาขวดครีม
ชายหนุ่มเอ่ยต่อพลางเก็บของ “นอนกันเถอะ”
แล้วเขาก็ปิดไฟ
โดยใช้ประโยชน์จากแสงจันทร์ เขาจึงเดินกลับไปที่เตียงและนอนลงข้างภรรยา
เซี่ยชิงหยวนไม่รู้ว่าเสิ่นอี้โจวโกรธหรือไม่
เธอยื่นมือไปสะกิดเขา “คุณจะหลับจริง ๆ นะ?”
เสิ่นอี้โจวจับมือเธอแล้วพูดว่า “ถ้าคุณสร้างปัญหาอีกครั้ง ผมจะลงโทษคุณจริง ๆ ด้วย”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินแบบนี้ เธอก็ดึงมือออกทันทีแล้วนอนตะแคงเอาผ้าห่มคลุมไว้ “นอนได้แล้ว”
ถึงตอนนี้จะเข้านอนเร็วไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าถูกเขาจับออกกำลังกาย
อีกด้านหนึ่ง เขตที่อยู่อาศัย : ทางเข้าหอพักเจ้าหน้าที่
ฉู่ซิงอวี่และหลิงเยี่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้เอนที่ประตู โดยมีโต๊ะเล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง พวกเขากำลังดื่มเหล้ากัน
หลิงเยี่ยดื่มกับฉู่ซิงอวี่ “ฉันได้ยินมาว่าในอีกสองเดือน นายจะกลับไปมณฑลอวิ๋นกับเลขาธิการเสิ่นใช่ไหม?”
ฉู่ซิงอวี่จิบเหล้า “ใช่ ผลกระทบของเหตุการณ์ฝูเถียนในครั้งนี้มันใหญ่มาก บางคนต้องรับผิดชอบและบางคนได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ผู้คนจากเมืองหลวงเข้ามาแทรกแซง และคราวนี้เขาจะต้องสามารถปีนขึ้นไปได้สูงมากแน่นอน”
โดยไม่ต้องบอกว่า ‘เขา’ หมายถึงเสิ่นอี้โจว
เจ้าหน้าที่รัฐที่ให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นอันดับแรกโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองจะไปได้ไม่ไกลได้ยังไง?
ยิ่งไปกว่านั้นเสิ่นอี้โจวเองก็ยอดเยี่ยมอย่างมาก
หลังจากพูดจบ ฉู่ซิงอวี่ก็ยกแก้วขึ้นดื่มเหล้าจนหมดแก้วอีกครั้ง
ดวงตาของเขาขุ่นมัว และเห็นได้ชัดว่าเขาเมามาก
เมื่อเห็นแบบนี้ หลิงเยี่ยก็ถามว่า “มีอะไรคาใจนายรึเปล่า?”
พอได้ยินประโยคของอีกฝ่าย ใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนก็ฉายแวบเข้ามาในหัวของฉู่ซิงอวี่
เขาส่ายหัว “บอกฉันที ทำไมบางสิ่งที่ฉันรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ฉันกลับยังปล่อยวางมันไม่ได้สักทีล่ะ?”
เมื่อฟังคำพูดของฉู่ซิงอวี่ หลิงเยี่ยก็อึ้งไปชั่วขณะ
ถึงขนาดที่เขายังหยิบเหล้าขึ้นมากระดกอึกใหญ่ “ถ้าทำตามใจตัวเองได้ทุกอย่าง หรือรู้ว่าทำไม่ได้โดยไม่มีอาการหลงผิด ก็ไม่เรียกว่ามนุษย์แล้ว”
ปล่อยวางให้หมดงั้นเหรอ? มันจะง่ายขนาดนั้นได้ยังไงกัน?
ความสามารถในการยับยั้งตัวเองจากการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นั้นถือว่ามีความยับยั้งชั่งใจมากอยู่แล้ว
ฉู่ซิงอวี่ยิ้ม “ใช่ ถ้าเธอไม่ยอดเยี่ยมขนาดนั้น คงไม่มีผู้คนนึกถึง”
ทุกครั้งที่เขาเข้าใจว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่ทันทีที่เห็นเธอปรากฏตัว หัวใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไหวเพราะเธอ
เขาเงยหน้าขึ้นและดื่มเหล้าจากขวด เขาดื่มหนักและสำลักอย่างช่วยไม่ได้
หลิงเยี่ยถอนหายใจ คว้าขวดจากมือของสหายและจิบไม่กี่ครั้งเพื่อดื่มให้เสร็จ
หลิงเยี่ยชำเลืองมองที่ฉู่ซิงอวี่ “มีบางอย่างผิดแปลกเมื่อตอนนายกลับมาจากมณฑลอวิ๋นสินะ ทำไม? พ่อของนายกดดันนายอีกแล้วหรือผู้หญิงจื่ออี้คนนั้นสร้างปัญหาให้นายกัน?”
พวกเขาเติบโตมาในละแวกบ้านเดียวกัน เซี่ยจื่ออี้และพวกเขาคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
เมื่อตอนพวกเขายังเด็ก ผู้ใหญ่ในครอบครัวของพวกเขาพูดติดตลกว่าระหว่างหลิงเยี่ยกับฉู่ซิงอวี่ ให้เซี่ยจื่ออี้เลือกเป็นคู่ครองสักคนหนึ่งเพื่อสานต่อมิตรภาพของคนรุ่นก่อน
หลิงเยี่ยเข้าร่วมกองทัพในภายหลัง นอกเหนือจากการมองหาฉู่ซิงอวี่ในทุกครั้งที่เขากลับมาแล้ว จากนั้นเขาก็ไม่ค่อยได้ไปเล่นกับผู้หญิงอย่างเซี่ยจื่ออี้อีกต่อไป
ดังนั้นถ้าเทียบกันแล้ว ฉู่ซิงอวี่จึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเซี่ยจื่ออี้มากกว่าตัวเขาเอง
ฉู่ซิงอวี่ติดตามเสิ่นอี้โจวไปยังเมืองหลวงของมณฑลเพื่อประชุม ตอนนั้นก็พบว่าเซี่ยจื่ออี้มีการพูดที่ต่างออกไป
เมื่อหลิงเยี่ยได้ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันคาดไม่ถึงเล็กน้อย
ฉู่ซิงอวี่ถูที่หว่างคิ้ว เอ่ยว่า “ไม่ต้องไปคิดอะไรมากหรอก ฉันปฏิบัติต่อเธอเหมือนน้องสาวของฉันนั่นแหละ”
เนื่องจากเธอเป็นน้องสาว จึงไม่มีปัญหาสำหรับเขา
ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงบางสิ่งและชกหลิงเยี่ยที่หน้าอก “สหาย หรือว่านายเกิดคิดอะไรขึ้นมาน่ะ?”
หลิงเยี่ยเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งและเขาก็ยกมุมปากขึ้นเพื่อยิ้ม “เออ ถ้าในอดีตก็ใช่นะ แต่ตอนนี้มันไม่มีอะไรแล้ว”
ยกเว้นการเหลือบมองที่เขาเห็นบนถนนวันนี้ ดวงตาคู่นั้นของเธอที่อยู่ในรถมันเหมือนน้ำในฤดูใบไม้ร่วง แต่ใบหน้ากลับซีดเซียว
บางทีเขาอาจอยู่ในกองทัพมานานเกินไป ในแง่ของการควบคุมตนเอง เขาจึงมักโอ้อวดอยู่เสมอว่าตัวเองทำได้ดี
ตอนนี้ก็เป็นยามค่ำคืนแล้ว ลมฤดูใบไม้ร่วงได้พัดผ่านมา และพัดพาความเย็นสบายมาสู่ผิว
หลิงเยี่ยยืนขึ้น “ฉันจะกลับเข้าห้อง ฉันจะไม่ดื่มแล้ว”
หลังจากพูดจบ เขาก็ยื่นมือไปทางฉู่ซิงอวี่
ฉู่ซิงอวี่ยืนขึ้นตามแรงฉุดของหลิงเยี่ย แต่รู้สึกขาอ่อนกะทันหัน
เขาโซเซไปทางห้องและบังเอิญชนเข้ากับกรอบประตู
หลิงเยี่ยก้าวไปข้างหน้าและช่วยพยุง “ระวังด้วย”
หลังจากพูดอย่างนั้น ทั้งสองก็เดินเข้าไปในห้องพร้อมช่วยพยุงกันและกัน
หลังจากที่ส่งฉู่ซิงอวี่กลับไปที่ห้องแล้ว ทันทีที่เขาปล่อย ฉู่ซิงอวี่ก็นอนหงายบนเตียง
หลิงเยี่ยกำลังจะจากไป แต่แล้วเขาก็สะดุดเท้าที่ยื่นออกมาของฉู่ซิงอวี่และกระโดดขึ้นไปบนเตียงแทน
ที่ระยะห่างหนึ่งเซนติเมตรระหว่างเขากับฉู่ซิงอวี่ เขาวางมือไว้ข้างลำตัวเพื่อรักษาเสถียรภาพของตัวเอง
ริมฝีปากของเขาแดงก่ำเป็นประกายเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป
เมื่อไม่ทันตั้งตัว ขณะที่หลิงเยี่ยกำลังงุนงง ฉู่ซิงอวี่ก็เรอหนักและรมควันใส่เขา
หลิงเยี่ยผลักใบหน้าของฉู่ซิงอวี่ออกไปด้วยความขยะแขยง พลิกตัวและนอนลงข้าง ๆ
พอลมหนาวพัดโชยมาอีกครา เขาก็เวียนหัวมาก จึงไม่ได้กลับห้องตัวเองและนอนตะแคงโดยที่ยังใส่เสื้อผ้าอยู่แบบนั้น
หลังจากนอนไปสักพัก เขาก็ตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงง คลำหาผ้านวมผืนบางที่ด้านข้าง คลุมทั้งตัวเขากับฉู่ซิงอวี่ และหลับลึกอีกครั้ง…
…
กระเป๋าสัมภาระถูกจัดเข้าไปในตู้เสื้อผ้า
ข้างในเป็นห่อเล็ก ๆ ที่เธอวางไว้อย่างดี เมื่อเปิดออกมันคือกำไลข้อมือที่ปี่เหลาซานมอบให้
ตอนที่เซี่ยชิงหยวนไปแสวงบุญ เธอกังวลว่ามันจะเสียหายจึงไม่เคยใส่มันเลย
ตอนนี้เธอกลับมาแล้ว ในที่สุดก็จะได้สวมมันอย่างถูกต้องเสียที
เธอยกกำไลขึ้นและดูอย่างระมัดระวังกับแสงแดดที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่าง
กำไลดูเหมือนจะตอบสนองต่อหญิงสาวเช่นกัน และส่องแสงอ่อน ๆ ใต้แสงอาทิตย์
บอกได้เลยว่าเซี่ยชิงหยวนชอบมันมาก
เสิ่นอี้โจวเดินเข้ามาในห้อง เห็นกำไลในมือของเธออย่างชัดเจน เขาจ้องมองด้วยสีหน้าตกตะลึง “นี่…”
เขาจำกำไลนี้ได้
หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนจากไป สิ่งเดียวที่เหลือไว้คือกำไลหยกที่แตกหัก
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “นี่คือของขวัญจากอาจารย์ของฉันน่ะ ฉันบังเอิญเจอเขาที่ทิเบต”
บทที่ 248 คุยเรื่องเกิดใหม่
บทที่ 248 คุยเรื่องเกิดใหม่
ดวงตาที่สวยงามของเซี่ยชิงหยวนเบิกกว้างทันที “คุณได้ยินเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ผมได้ยินว่าคุณบอกพระพุทธเจ้าว่าคุณจะให้ชีวิตของคุณแก่ผมครึ่งหนึ่ง และคุณยังบอกว่าคุณจะอยู่และตายไปกับผม”
เซี่ยชิงหยวนเขานั่งลงโดยตรงทันที “คุณรู้เรื่องทั้งหมดได้ยังไงน่ะ?”
เธอรู้สึกว่ากำลังคุยกับเสิ่นอี้โจวเกี่ยวกับบางสิ่งที่ลึกลับมาก
เสิ่นอี้โจวเล่าว่า “เหมือนอยู่ในความฝัน ผมฝันถึงหลายสิ่งหลายอย่างในอดีต ในความฝันผมมีปีกคู่หนึ่งด้วย มองเห็นคุณและผู้คนมากมายเดินไปตามเส้นทางแสวงบุญในดินแดนอันกว้างใหญ่ของทิเบต ผมยังเห็นคุณตั้งจิตอธิษฐานอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้าด้วยนะ”
จนกระทั่งตื่นขึ้น จึงคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน
เขาฝันว่าเซี่ยชิงหยวนเดินไปตามเส้นทางที่เขาเคยเดิน
แต่ไม่คาดคิดเลยเมื่อเขาตื่นขึ้นมาไม่นาน หลินตงซิ่วก็บอกเขาว่าเซี่ยชิงหยวนเดินทางไปแสวงบุญที่ทิเบตจริง ๆ
จากนั้นเขาก็รู้ว่ามันไม่ใช่ความฝัน
มันเป็นวิญญาณของเขาที่บินไปอยู่ข้าง ๆ ของคนที่เขารัก
ก่อนหน้านั้นเขาเดินอยู่ในความมืดมิด
มีคนบอกให้เขาเดินลึกเข้าไป แต่ในขณะที่เขากำลังจะก้าวเข้าสู่ความมืดสุดลึกลับ เขาก็ได้ยินเสียงเพลงสรรเสริญแห่งทิศตะวันตก
พอมองย้อนกลับไปมันก็เต็มไปด้วยแสงสว่างแล้ว
เซี่ยชิงหยวนอ้าปากค้างด้วยความไม่เชื่อ
ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลลงมา
เป็นไปได้ไหมว่าพระพุทธเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของเธอจริง ๆ?
เธอรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้ จึงโผเข้ากอดเสิ่นอี้โจวทันที
“โชคดีที่ฉันไปจริง ๆ ไม่งั้นฉันคงเสียคุณไปแล้ว”
เสิ่นอี้โจวกอดเธอกลับเช่นกัน “ขอบคุณที่ให้ผมอยู่เคียงข้างคุณนะ”
หลังจากประสบกับช่วงเวลาที่ผ่าน พวกเขาต่างรู้สึกถึงความสำคัญต่อกันมากขึ้น
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเสิ่นอี้โจว ดวงตาของเธอดูจริงจัง “ครั้งนี้ฉันไปทิเบต ฉันพูดกับตัวเองว่า ถ้าฉันสามารถรอดกลับได้ และถ้าคุณตื่น ฉันจะบอกคุณเกี่ยวกับความลับของฉัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของเสิ่นอี้โจวยังคงสงบและเลิกคิ้ว “คุณยังมีความลับที่ผมไม่รู้อีกเหรอ?”
ในวังโปตาลา เซี่ยชิงหยวนจำสิ่งที่พระชราพูดได้เสมอ
เธอรู้ว่าเขาไม่ได้โกหก
ความรักของสองชาติที่เขากล่าวถึง เธอสามารถเข้าใจได้ว่าสองชาตินั้นคือการได้อยู่กับเสิ่นอี้โจว ซึ่งเธอยังไม่สมหวังตามปรารถนาเสียที
ด้วยความทรงจำในชาติที่แล้วเป็นของเธอ หญิงสาวจึงอดไม่ได้ที่จะถามเสิ่นอี้โจว เขาเองก็เคยขอพระพุทธเจ้าในชาติที่แล้วว่าให้พวกเขาสานต่อความสัมพันธ์ในชาติหน้าได้ใช่ไหม?
ทันใดนั้น เธอก็จำทัศนคติที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงของเสิ่นอี้โจวที่มีต่อเธอในชีวิตนี้ได้ และคำพูดที่เธอกำลังจะสารภาพก็กลับก้องอยู่ในลำคอ
เธอดูเหมือนจะค้นพบความลับที่น่าตกใจบราวนี่ออนไลน์
เธอระงับความตื่นเต้นในอกแล้วถามเขาว่า “เมื่อฉันอธิษฐานต่อพระพุทธเจ้า มีพระชราบอกฉันว่าฉันหลงรักคุณมาสองชาติแล้ว ในที่สุดความปรารถนาของฉันก็จะเป็นจริง”
เธอมองเข้าไปในดวงตาของเขา “จากคำพูดของพระชรารูปนั้น ฉันและคุณน่าจะอยู่ในชีวิตที่สองของเราแล้ว และเรายังคงมีความปรารถนาเช่นเดิม คุณบอกฉันที เขาหมายความว่ายังไงกันแน่?”
ดวงตาของเสิ่นอี้โจวแข็งค้าง จากนั้นเขาก็ยิ้ม
แทนที่จะตอบ เขากลับถามว่า “แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นและเร็วขึ้น
เธอยืดตัวขึ้นจากอ้อมแขนของเขา “เสิ่นอี้โจว นี่คุณเคยได้ยินเรื่องความรักสองชีวิตเหมือนที่พระชราคนนั้นพูดด้วยเหรอ?”
หลังจากพูดจบก็เธอเงียบไปครู่หนึ่ง
ทั้งสองมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร
เมื่อเซี่ยชิงหยวนคิดว่าเสิ่นอี้โจวจะหัวเราะกับเรื่องไร้สาระของเธอ เขาก็จับมือเธอแล้วยิ้ม “ใช่ เมื่อชาติที่แล้วตั้งแต่คุณจากผมไป ผมไปอธิษฐานอยู่สิบปีเต็มเพื่อให้คุณกลับมาหาผมอีกครั้ง”
เซี่ยชิงหยวน “!”
เธออดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง
ไม่เพียงตกใจกับการเกิดใหม่ แต่ยังตกใจกับสิบปีที่เขาพูดด้วย
รูขุมขนทั่วร่างกายของเธอพลันลุกขึ้น “คุณไปแสวงบุญที่ลาซาเหมือนกันเหรอ?”
คิ้วและดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรัก และเขาวางมือของเธอไว้ข้างแก้มของตนเอง “เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญหรอก สิ่งที่สำคัญคือในที่สุดเราก็อยู่ด้วยกันแล้วไม่ใช่เหรอ?”
หลังจากพูดจบ เขาก็จูบลงบนมือของเธอราวกับสารภาพอย่างเงียบ ๆ
ในวินาทีต่อมา เขาประสานนิ้วกับเธอ “ผมเคยคิดที่จะปล่อยคุณไปนับครั้งไม่ถ้วน ตอนที่ผมล้มลง ผมคิดว่าถ้าปล่อยคุณไปคุณจะอยู่คนเดียวยังไง แต่ตอนนี้ผมไม่กลัวอีกแล้ว ถึงคุณจะไม่ต้องการ ผมก็จะไม่ปล่อยคุณไป”
หลังจากพูดจบ เขาก็ดึงเธอเข้ามากอดและจูบ
สีหน้าตกใจของเซี่ยชิงหยวนยังไม่จางหายไป และดวงตาของเธอยังคงเบิกกว้าง
แต่เธอยังจำได้ว่าเขาเพิ่งผ่านการผ่าตัดมา และเธอไม่กล้าดิ้นขัดขืน
ริมฝีปากที่แตกของเธอยังไม่หายสนิท และเมื่อเขาใช้ปลายลิ้นชิมไล้บนริมฝีปากของเธอ ความเจ็บปวดก็พลันระเบิดออกมาอีกครั้ง
แต่ความเจ็บปวดนั้นก็ทำให้จิตใจของเธอปลอดโปร่งเช่นกัน หญิงสาววางมือบนไหล่ของเขา และผลักออกจากกันชั่วครู่
ลมหายใจของเธอไม่คงที่ “คุณยังไม่ได้ … ยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าเกิดอะไรขึ้น และฉันก็ยังไม่ได้บอกความลับของฉันเลย”
เสิ่นอี้โจวขบกัดมุมปากของเธอเบา ๆ “คุณอยู่ข้างหน้าผมแล้ว คุณจะมีความลับกับผมได้ยังไง หรือคุณยังต้องการคุยกับผมเรื่องที่คุณเกิดใหม่ได้ยังไงงั้นเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนตกใจมากจนลิ้นของเธอกำลังจะพันกัน
ชายหนุ่มที่ยังไม่หายดีใช้ประโยชน์จากการเผลอเปิดปากของเธอ เสิ่นอี้โจวรีบสอดลิ้นเข้าไปอย่างว่องไว
สมองของเซี่ยชิงหยวนพลันเกิดสับสนมากในขณะนี้
เสิ่นอี้โจวหมายถึงอะไรในคำพูดของเขา ไม่เพียงแต่เขาเกิดใหม่เท่านั้น แต่เขายังรู้ว่าเธอเกิดใหม่ด้วย?
ความคิดยุ่งเหยิงเต็มหัวของเธอ ในที่สุดเธอก็ทนไม่ได้และผละออกจากอ้อมแขนของเขา
เธอลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว รักษาระยะห่างจากเขามากกว่าหนึ่งเมตร “ฉันคิดว่าคุณต้องอธิบายนะ”
เขาได้เห็นแล้วผ่านความจริงที่เธอพยายามอย่างหนักที่จะซ่อนและยังคงเก็บเป็นความลับ
นี่มันคืออะไร?
เพื่อแกล้งเธองั้นเหรอ?
ถ้าเธอไม่เห็นว่าเขายังคงนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล และความรักระหว่างสองชาติที่พระชราบอกว่าเธอปรารถนา เธอคงเขวี้ยงรองเท้าใส่เขาไปแล้ว
เธอโกรธ แต่เสิ่นอี้โจวดูไม่เดือดร้อนเลย
เขาเอนหลังเลือกตำแหน่งที่สบาย พลางมองเธออย่างสบาย ๆ “ผมจะบอกคุณในสิ่งที่คุณต้องการจะฟัง”
ขณะที่เขาพูด เขาเอื้อมมือหมายตั้งใจจะดึงเธอมานั่งลง
เซี่ยชิงหยวนตีมือของเขาออกและพูดอย่างเคร่งขรึม “อย่าเพิ่งมาล้อเล่นกับฉันนะ บอกฉันก่อน คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันเกิดใหม่”
เสิ่นอี้โจวเหลือบมองมือตัวเองที่ถูกตี แต่หลังมือไม่แดง และพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่างแรก นับประสาอะไรกับการทำอาหาร แค่คุณไม่ทำครัวไหม้เมื่อเข้าไปในครัวก็ถือว่าโชคดีแล้ว ดูตอนนี้สิ คุณสามารถทำอาหารจัดเลี้ยงเต็มรูปแบบได้ และมันก็ไม่เลวเลย”
“ยิ่งไปกว่านั้น คุณยังเชี่ยวชาญด้านการทำอาหารของมณฑลตะวันตกและทางใต้เป็นพิเศษ ซึ่งทั้งสองที่นั้นคุณไม่เคยไปมาก่อนตั้งแต่เกิด”
“อย่างที่สอง คุณเคยหน้าซีดด้วยความตกใจเมื่อเห็นแมลง แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่คุณพาอี้หลินต่อสู้กับแมลงทั้งวัน แต่คุณยังฆ่าไก่และปลาโดยไม่กะพริบตาอีก”
“ประการที่สาม คุณไม่เพียงแต่มีความคิดเห็นที่แตกต่างและเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเสื้อผ้าเท่านั้น แต่ยังสามารถพูดภาษากวางตุ้งได้อีกด้วย…”
“พอแล้ว” เซี่ยชิงหยวนขัดจังหวะเขาเสียงดัง
เธอจ้องไปที่เขาทั้งหงุดหงิดและรำคาญ “คนเลว ในเมื่อรู้แล้ว ทำไมคุณไม่บอกฉันก่อนหน้านี้”
เสิ่นอี้โจวมองเธอด้วยท่าทางขบขัน “ผมแค่สงสัยแต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดและสำหรับผม มันไม่สำคัญว่าคุณจะเป็นเซี่ยชิงหยวนของชาตินี้หรือเซี่ยชิงหยวนของชาติที่แล้ว ผมแค่ต้องรู้ว่าคุณก็รักผมเช่นกัน และนั่นก็เพียงพอแล้ว”
ในตอนเริ่มต้น เขาคิดว่าเธอไม่ใช่เธออีกต่อไป
เซี่ยชิงหยวนยังคงจ้องที่เขา “ฉันไม่ได้รักคุณ”
เสิ่นอี้โจวหัวเราะและเกลี้ยกล่อมต่อไป “ตกลง คุณไม่จำเป็นต้องรักผมก็ได้ แค่ให้ผมรักคุณก็พอ”
เดิมทีเซี่ยชิงหยวนต้องการถามเสิ่นอี้โจวว่าทำไมเขาถึงไม่บอกตัวเธอว่าเขาเกิดใหม่อีกครั้ง
แต่เมื่อเธอคิดว่าตัวเธอเองก็ไม่บอกเขาทันทีเช่นกันด้วยเหตุผลบางอย่าง ดังนั้นเธอจึงคลายปมนี้ในใจ
แต่สิบปีที่เขาไปแสวงบุญอย่างทุกข์ทรมานเฝ้าอธิษฐานให้เธอกลับมา มันทำให้หัวใจของเธอรู้สึกประหนึ่งมีมีดกรีด
เพราะเธอเข้าใจความทนทุกข์ทรมานของเขาแล้ว ดังนั้นเธอจึงรู้สึกเป็นทุกข์และหวงแหนเขามากขึ้นอีก
———————
